7 ส.ค. เวลา 12:17 • สุขภาพ

Ketogenic Diet ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1, LADA และเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มี C-peptide ต่ำ

การประยุกต์ใช้ Ketogenic diet (KD) หรืออาหารคีโตเจนิก ซึ่งเป็นอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำมาก โปรตีนปานกลาง และไขมันสูง ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes Mellitus, T1DM), Latent Autoimmune Diabetes in Adults (LADA), และเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีระดับ C-peptide ต่ำ (T2DM with low C-peptide) เป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายและความเสี่ยงที่สำคัญอย่างยิ่ง
การพิจารณาใช้ KD ในกลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจในกลไกทางสรีรวิทยาอย่างลึกซึ้ง การติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด และการตัดสินใจร่วมกันระหว่างแพทย์และผู้ป่วย
โดยสรุปแล้ว สามารถใช้ได้ แต่มีความเสี่ยงสูงและต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดที่สุด เนื่องจากผู้ป่วยทั้งสามกลุ่มนี้มีภาวะการขาดอินซูลิน (absolute or significant insulin deficiency) เป็นแกนกลางของพยาธิสรีรวิทยา ซึ่งแตกต่างจากผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ทั่วไปที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลินเป็นหลัก
-- กลไกและเหตุผลที่น่าสนใจ (Rationale) --
การจำกัดคาร์โบไฮเดรตอย่างเข้มงวดใน KD (<50 กรัมต่อวัน) ทำให้ร่างกายเปลี่ยนแหล่งพลังงานหลักจากการใช้กลูโคสไปเป็นการใช้ไขมันและสารคีโตน (Ketone bodies) ที่สร้างจากตับ ภาวะนี้เรียกว่า Nutritional Ketosis ซึ่งมีข้อดีในเชิงทฤษฎีคือ
  • ลดความผันผวนของระดับน้ำตาลในเลือด: เมื่อรับประทานคาร์โบไฮเดรตน้อยลง ความต้องการอินซูลินเพื่อจัดการกับระดับน้ำตาลหลังมื้ออาหาร (Postprandial hyperglycemia) จะลดลงอย่างมาก ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดมีเสถียรภาพมากขึ้น
  • ลดขนาดยาอินซูลิน: ความต้องการอินซูลินจากภายนอกทั้งชนิด Basal และ Bolus อาจลดลง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) ที่เกี่ยวข้องกับการฉีดอินซูลินเกินขนาด
  • อาจช่วยควบคุมน้ำหนัก: ในผู้ป่วยบางรายที่มีน้ำหนักเกินร่วมด้วย
-- การประยุกต์ใช้และข้อควรระวังในแต่ละกลุ่มโรค --
  • เบาหวานชนิดที่ 1 (T1DM)
ผู้ป่วย T1DM มีการทำลายเซลล์เบต้าในตับอ่อนจากระบบภูมิคุ้มกันของตนเอง ทำให้ไม่สามารถสร้างอินซูลินได้เลย (absolute insulin deficiency)
  • หลักฐานปัจจุบัน
มีรายงานผู้ป่วยและซีรีส์ผู้ป่วยขนาดเล็ก (case series) ที่แสดงให้เห็นว่าการใช้ KD หรือ Very-Low-Carbohydrate Diet (VLCD) ในผู้ป่วย T1DM สามารถช่วยให้ควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีเยี่ยม โดยมีค่า HbA1c อยู่ในเกณฑ์ดีมาก และลดความแปรปรวนของระดับน้ำตาลได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุด: Diabetic Ketoacidosis (DKA)
ความท้าทายหลัก :
คือการแยกภาวะ Nutritional Ketosis (คีโตนในเลือด 0.5-3.0 mmol/L) ซึ่งเป็นเป้าหมายของ KD ออกจากภาวะ DKA (คีโตนในเลือดสูงมาก >3.0 mmol/L ร่วมกับภาวะเลือดเป็นกรดและน้ำตาลในเลือดสูง)
Euglycemic DKA (euDKA) :
เป็นความเสี่ยงที่อันตรายอย่างยิ่งในผู้ป่วย T1DM ที่ใช้ KD คือภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตนโดยที่ระดับน้ำตาลในเลือดอาจ "ปกติ" หรือ "ไม่สูงมากนัก" (<250 mg/dL) ซึ่งอาจเกิดจากการที่ผู้ป่วยลดขนาดยาอินซูลินพื้นฐาน (basal insulin) มากเกินไป หรือเมื่อมีภาวะเจ็บป่วยอื่น ๆ ร่วมด้วย ทำให้การวินิจฉัยล่าช้าและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือการใช้ยาในกลุ่ม SGLT2 inhibitors ร่วมด้วย ซึ่งเป็นข้อห้ามเด็ดขาดในผู้ป่วย T1DM ที่ทำ KD
  • การจัดการ
💉ต้องมีการตรวจวัดคีโตนในเลือด (Blood ketones) อย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่แค่คีโตนในปัสสาวะ
💉ห้ามหยุดอินซูลินชนิดออกฤทธิ์ยาว (Basal insulin) เด็ดขาด แม้จะไม่ได้รับประทานอาหารก็ตาม และต้องปรับขนาดอย่างระมัดระวังโดยแพทย์
💉ต้องมีความรู้ในการจัดการเมื่อเจ็บป่วย (Sick-day management) เป็นอย่างดี
💉จำเป็นต้องได้รับการดูแลจากทีมสหสาขาวิชาชีพที่มีประสบการณ์
  • Latent Autoimmune Diabetes in Adults (LADA)
LADA คือเบาหวานชนิดที่ 1 ที่เกิดในผู้ใหญ่ มีลักษณะการทำลายเบต้าเซลล์ที่ช้ากว่า T1DM ในเด็ก ในช่วงแรกอาจยังพอสร้างอินซูลินได้บ้าง แต่ในที่สุดก็จะเข้าสู่ภาวะขาดอินซูลินโดยสมบูรณ์และต้องพึ่งพาการฉีดอินซูลินเช่นเดียวกับ T1DM
  • หลักฐานปัจจุบัน:
ไม่มีงานวิจัยทางคลินิกขนาดใหญ่ที่ศึกษาการใช้ KD ในผู้ป่วย LADA โดยเฉพาะ แต่เนื่องจากพยาธิกำเนิดเป็นแบบเดียวกับ T1DM คือเป็นโรคภูมิต้านตนเองที่ทำลายเบต้าเซลล์
การอนุมาน: หลักการ ข้อดี และความเสี่ยงจึง เหมือนกับผู้ป่วย T1DM ทุกประการ ความเสี่ยงต่อ DKA และ euDKA ยังคงเป็นความกังวลหลัก ยิ่งในผู้ป่วย LADA ที่ยังมี C-peptide หลงเหลืออยู่บ้าง อาจทำให้เกิดความชะล่าใจในการปรับลดอินซูลินได้
  • การจัดการ
ต้องใช้แนวทางการดูแลที่เข้มงวดเช่นเดียวกับ T1DM คือการตรวจติดตามระดับน้ำตาลและคีโตนในเลือดอย่างใกล้ชิด และปรับยาอินซูลินภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
  • เบาหวานชนิดที่ 2 ที่มี C-peptide ต่ำ (T2DM with Low C-peptide)
ผู้ป่วยกลุ่มนี้คือผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มาเป็นระยะเวลานาน จนกระทั่งเบต้าเซลล์ทำงานล้มเหลว (beta-cell failure) และไม่สามารถสร้างอินซูลินได้อย่างเพียงพออีกต่อไป ระดับ C-peptide ที่ต่ำเป็นตัวบ่งชี้ถึงภาวะนี้ ทำให้ลักษณะทางคลินิกและการจัดการคล้ายคลึงกับผู้ป่วย T1DM มากขึ้น คือต้องพึ่งพาการฉีดอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาล
  • หลักฐานปัจจุบัน
มีข้อมูลมากเกี่ยวกับการใช้ KD ใน T2DM ทั่วไป ซึ่งพบว่าได้ผลดีในการลดน้ำหนักและควบคุมระดับน้ำตาล แต่ข้อมูลที่ศึกษาจำเพาะในกลุ่มย่อยที่มี C-peptide ต่ำยังมีจำกัด
  • การพิจารณา
เมื่อผู้ป่วย T2DM มี C-peptide ต่ำมาก แสดงว่าศักยภาพในการสร้างอินซูลินของร่างกายเหลือน้อยมาก ความเสี่ยงในการเกิด DKA จึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับผู้ป่วย T2DM ที่ยังสร้างอินซูลินได้ดี (ซึ่งมีภาวะดื้ออินซูลินเป็นหลัก)
  • การจัดการ
การดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ที่ต้องการทำ KD ควรใช้มาตรฐานความปลอดภัยเดียวกับผู้ป่วย T1DM
💉จำเป็นต้องประเมินความสามารถในการสร้างอินซูลินที่เหลืออยู่ (ผ่าน C-peptide) อย่างละเอียด
💉การปรับลดอินซูลินต้องทำอย่างระมัดระวังและค่อยเป็นค่อยไป
💉ต้องมีการให้ความรู้ผู้ป่วยเกี่ยวกับอาการและอาการแสดงของ DKA และ euDKA
💉การติดตามคีโตนในเลือดเป็นสิ่งจำเป็น
-- ข้อสรุปและคำแนะนำเชิงปฏิบัติ --
การใช้ Ketogenic Diet ในผู้ป่วย T1DM, LADA, และ T2DM ที่มี C-peptide ต่ำ เป็นแนวทางที่ยังถือว่าอยู่ในระดับทดลอง (experimental) และมีความเสี่ยงสูง
⛔️ ไม่ใช่แนวทางการรักษามาตรฐาน และไม่แนะนำให้ผู้ป่วยเริ่มต้นด้วยตนเองโดยเด็ดขาด
⚠️ หากจะพิจารณาใช้แนวทางนี้ ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขต่อไปนี้เท่านั้น
1. การดูแลโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: ต้องมีทีมแพทย์โรคเบาหวาน (Endocrinologist) และนักกำหนดอาหารที่มีความรู้ความเข้าใจใน KD และการจัดการเบาหวานที่ต้องใช้อินซูลินอย่างลึกซึ้ง
2. ผู้ป่วยต้องมีความรู้และแรงจูงใจสูง: ผู้ป่วยต้องเข้าใจความเสี่ยง สามารถตรวจติดตามระดับน้ำตาลและคีโตนในเลือดได้ด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ และพร้อมที่จะติดต่อทีมแพทย์ทันทีเมื่อมีปัญหา
3. การเข้าถึงอุปกรณ์: ผู้ป่วยควรสามารถเข้าถึงเครื่องตรวจคีโตนในเลือด (Blood ketone meter) และอาจพิจารณาใช้เครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลต่อเนื่อง (Continuous Glucose Monitoring, CGM) เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
4. การปรับยาอย่างเป็นระบบ: การปรับขนาดยาอินซูลินต้องทำอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการลด Bolus insulin ตามปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ลดลง และการปรับ Basal insulin อย่างระมัดระวังเพื่อป้องกัน DKA
📝 โดยสรุป การใช้ Ketogenic diet ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะขาดอินซูลินอาจมีประโยชน์ในด้านการควบคุมระดับน้ำตาลให้เรียบขึ้น แต่ประโยชน์ดังกล่าวต้องชั่งน้ำหนักกับความเสี่ยงต่อ DKA และ Hypoglycemia ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งต้องอาศัยการจัดการที่เข้มข้นและอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดที่สุด

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา