Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
FA Talk
•
ติดตาม
10 ก.ค. เวลา 02:30 • ไลฟ์สไตล์
พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
ความลับใต้รอยยิ้ม กับการโจรกรรมที่เปลี่ยนมูลค่าศิลปะตลอดกาล
FA Talk | จักรวาลเรื่องเล่าจากชมรมศิลป์ #16
แกลเลอรี่กรุงปารีส
“คุณแน่ใจเหรอ… ว่าเธอยิ้ม?”
เสียงรองเท้ากระทบพื้นไม้ลั่นเอี๊ยดในเช้าตรู่อันเงียบงันของวันพุธ
ผมเดินเข้ามาในแกลเลอรี่เอกชน ใกล้แม่น้ำแซน หวังแค่จะพักสายตาจากกราฟตลาดโลกที่วุ่นวาย แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาไม่ใช่ผลงานสมัยใหม่ราคาเจ็ดหลักตรงหน้า กลับเป็น "ภาพจำลองโมนาลิซ่า" ที่ตั้งอยู่เงียบๆ ติดมุมห้อง ไม่มีกรอบทอง ไม่มีไฟสปอร์ตไลต์ส่องเฉพาะจุด มีเพียงสายตาที่เหมือนจับจ้องผมอยู่เงียบๆ
“คุณว่าเธอยิ้มเหรอ?”
เสียงหนึ่งดังจากด้านหลัง เป็นหญิงวัยกลางคนที่ผมเพิ่งเจอเมื่อครู่นี้ เธอเป็นภรรยาของเจ้าของแกลเลอรี่
“ฉันมองเท่าไหร่ก็ไม่แน่ใจเลยว่าเธอกำลังยิ้มหรือกำลังเยาะเราอยู่...”
The Mona Lisa by Leonardo da Vinci
ความลับที่เริ่มต้นจากรอยยิ้ม
ผมนั่งลงช้าๆ หน้าภาพ ในฐานะนักวิเคราะห์การลงทุน ผมชินกับการหาความหมายในสิ่งที่ดูไม่มีความหมาย แต่ในโลกศิลปะ… บางอย่างกลับ "มีความหมายมาก" ทั้งที่ไม่ได้พูดอะไรเลย
"เธอกำลังซ่อนอะไรไว้หรือเปล่า?"
ความคิดนั้นสะกิดใจผมอย่างแรง รอยยิ้มแบบนั้น ไม่ใช่รอยยิ้มของคนมีความสุข มันคือรอยยิ้มของคนที่รู้ความลับบางอย่าง… แต่ไม่ยอมบอกคุณ
หรืออาจจะแย่กว่านั้น…
"เธอยิ้มเยาะพวกเรา… ที่ยังหลงเชื่อว่ารู้จักเธอ"
1
Guillaume Duchenne นักประสาทวิทยาชาวฝรั่งเศสในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เคยกล่าวไว้ว่า “รอยยิ้มที่ไม่สมมาตรสะท้อนความรู้สึกที่ไม่ใช่ของแท้ และรอยยิ้มดังกล่าวจะเกิดขึ้นต่อเมื่อผู้นั้นกำลังโกหก”
www.unlockmen.com
ก่อนปี 1911 - ไม่มีใครสนใจเธอ
1911 ภาพโมนาลิซ่าถูกขโมยจากพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ โดยวิเซนโซ เปรูจเจีย ชายอิตาเลียนที่แอบซ่อนตัวในตู้ตลอดคืน ก่อนจะเดินออกพร้อมภาพในตอนเช้า ไม่มีเสียงเตือน ไม่มีกล้องวงจรปิด ไม่มีใครเอะใจ ภาพหายไปแบบเงียบๆ แต่สิ่งที่ตามมาคือ ปรากฏการณ์ระดับโลก
1
ภาพที่คนรู้จักไม่มากนักภาพนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับภาพวาดอื่นที่ถูกขโมยในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน กลับมีการรายงานข่าวอย่างกว้างขวาง มีการออกข่าวถี่มากกว่าปกติ เหตุการณ์นี้กลายเป็น ข่าวหน้าหนึ่ง ของหนังสือพิมพ์หลายฉบับทั่วโลก
ข่าวมีการเล่นประเด็นข้อสงสัยต่าง ๆ ต่อเนื่อง ซ้ำแล้วซ้ำอีก หนังสือพิมพ์แทบทุกหัวพาดหัวข่าวเรื่องนี้ ประจวบกับการที่คนมีชื่อเสียงอย่าง Picasso ถูกเชิญไปสอบสวน เพราะเคยมีภาพโมนาลิซ่าปลอมในครอบครอง กลายเป็นการจุดชนวนให้ภาพที่เคยไม่มีใครสนใจ กลับกลายเป็น “ภาพที่คนพูดถึงมากที่สุดในโลก” ผู้คนเข้าแถวเพื่อชม "ที่ว่าง" บนผนัง
ผมพยายามสลัดความคิดหนึ่งออกไปจากสมอง การเผยแพร่และกระแสข่าวที่ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วผ่านช่องทางต่างๆ ช่างบังเอิญที่มีความคล้ายคลึงกับวิธีการที่ใช้สร้างข่าวปั่นราคา (หรือที่เรียกว่า "Pump and Dump")ที่เรารู้จักกันดี
หลังจากถูกส่งคืนในปี 1913 ภาพโมนาลิซ่ากลายเป็นสัญลักษณ์ของศิลปะระดับโลก แต่มีบางคนเริ่มตั้งคำถามว่า "ภาพที่กลับมาใช่ภาพเดียวกับที่หายไปจริงหรือ?"
จุดที่น่าสงสัยคือ...
• รอยแตกเล็กๆ (craquelure) ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย
• การสะท้อนแสงบนใบหน้าเปลี่ยนจากภาพก่อนหาย
• ที่สำคัญ...ไม่มีใคร “ยืนยัน” ได้อย่างเป็นทางการ
และมีคนพูดกันว่า… รอยยิ้มของเธอดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่ใช่แค่ลึกลับอีกต่อไป แต่มันคือรอยยิ้มแบบ... "เยาะเย้ย"
แต่ภาพนี้เป็นของจริงหรือไม่อาจไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกแล้ว เพราะตอนนี้ “เรื่องเล่า” ได้กลายเป็นสินทรัพย์ที่แพงกว่าภาพจริงไปแล้ว คุณค่าของภาพไม่ได้อยู่ที่สี หรือลายเส้น แต่อยู่ที่ “สิ่งที่คนทั้งโลกเชื่อว่ามันเป็น”
ศิลปะกับตลาดโลกที่เปลี่ยนไป
นับจากวันนั้นราคาศิลปะระดับโลกพุ่งขึ้นเป็นเท่าตัวในทุกยุค ไม่ใช่แค่เพราะความงามทางสายตา แต่เพราะ “ความลึกลับ” กลายเป็น “พลังในการปั่นมูลค่า”
นักลงทุนรายใหญ่เริ่มเข้าสะสมงานศิลป์แทนหุ้น บางกองทุนในยุโรปถือครองภาพระดับมาสเตอร์พีซ บริษัทยักษ์ใหญ่เริ่มซื้อภาพเพื่อใช้ลดภาษีและกระจายความเสี่ยงพอร์ต และบริษัทประกันยอมให้ "ศิลปะ" เป็นหลักประกันเงินกู้ ทั้งที่ไม่รู้เลยว่า ภาพนั้น "ของจริงหรือเปล่า"
งานวิจัยจาก Deloitte และ Art Basel พบว่า ผลงานศิลปะระดับสูง (Blue-Chip Art) เช่น Picasso, Warhol, Monet ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 8-12% ต่อปี (ระยะยาว 10-20 ปี)
ผมนั่งมองโมนาลิซ่าอีกครั้ง ก่อนจะเผลอถามในใจว่า
“คุณกำลังยิ้มเพราะรู้อะไรบางอย่าง… หรือกำลังเยาะเย้ยเรากันแน่?”
เธอยังคงไม่ตอบ แต่รอยยิ้มบนมุมปากข้างซ้ายดูเหมือนจะแคบลงเล็กน้อย ดวงตากลับแน่นิ่งอย่างไม่ไว้ใจ มันไม่ใช่ภาพศิลปะอีกต่อไป… แต่มันคือ “สิ่งมีชีวิต” ที่รู้ว่าเรากำลังพยายามตีความผิดทิศอยู่
เรื่องราวของโมนาลิซ่าที่ถูกโจรกรรม กลายเป็นมากกว่าเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ศิลปะ มันมีส่วนในการเปลี่ยน “ศิลปะ” จากของสะสมธรรมดา ให้กลายเป็น “สินทรัพย์ทางอารมณ์” ที่มีราคาทางเศรษฐกิจมหาศาล
นี่คือปรากฏการณ์ที่ทำให้เราเริ่มถามว่า… “ภาพโด่งดังเพราะศิลปิน หรือเพราะโจร?” และอาจมากกว่านั้น...
"รอยยิ้มของเธอ มีความลับอะไรที่เธอรู้ แต่โลกนี้จะไม่มีวันได้รู้?"
ความลับใต้รอยยิ้ม...ที่เปลี่ยนมูลค่าศิลปะไปตลอดกาล
• พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ กลายเป็นแลนด์มาร์กอันดับหนึ่งของโลก ก่อนปี 1911 มีผู้เข้าชมเพียงราว 250,000–400,000 คน/ปี หลังภาพกลับมา ยอดพุ่งทะยานสู่ หลักล้าน จนปี 2018 ทะลุ 10.2 ล้านคน/ปี — มากที่สุดในโลก
• โมนาลิซ่า กลายเป็นแม่เหล็กดึงดูด ปัจจุบันมีคนเข้าชมภาพนี้มากถึง 20,000–30,000 คน/วัน แม้แต่จะได้เห็นแค่ไม่กี่วินาทีก็ตาม
• ชื่อเสียงของภาพ พุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดด จากภาพที่แทบไม่มีใครรู้จักในยุคก่อน 1911 กลายเป็นแบรนด์วัฒนธรรมระดับโลก
• รัฐบาลฝรั่งเศส เจ้าของแกลเลอรี่ บริษัทประมูลภาพ บริษัทประกัน และนักลงทุนศิลปะล้วนได้รับประโยชน์เต็มๆ โดยไม่ต้องแตะต้องภาพเลย
Credit : pexels.com
หมายเหตุท้ายเรื่องเล่า....
การมอง “ภาพศิลปะ” ว่าเป็น “สินทรัพย์” ไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่ค่อยๆ เปลี่ยนไปตามบริบทของประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ และพฤติกรรมของผู้คน
ในยุคก่อนเป็นยุคศิลปะเพื่อศรัทธา (ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 15)
ศิลปะเป็นสิ่งสะท้อน “ความศักดิ์สิทธิ์” ไม่ใช่ “มูลค่าตลาด” ศิลปะถูกสร้างขึ้นเพื่อศรัทธาและความงาม เป็นของโบสถ์ ราชวงศ์ หรือผู้มีอำนาจ
แต่เมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะในยุคเรอเนสซองส์บาโรก (คริสต์ศตวรรษที่ 15-17)ศิลปะเริ่มเป็นเครื่องแสดงสถานะ ศิลปินเริ่มมี “ผู้อุปถัมภ์” เช่น ตระกูลเมดิชี สปอนเซอร์ศิลปิน คนรวยจ้างศิลปินให้วาดภาพเพื่อแสดงอำนาจหรือรสนิยมส่วนตัว
เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 18-19 ตลาดประมูลอย่าง Sotheby’s และ Christie’s เริ่มเกิดขึ้น ทำให้ภาพศิลปะกลายเป็นของที่ซื้อขายได้ คนเริ่มมองว่า “ภาพที่ดี” มีราคา และสามารถเก็งกำไรได้ในอนาคต โดยเฉพาะผลงานของศิลปินดังที่ราคาพุ่งขึ้นหลังเสียชีวิต
ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา นักลงทุนเริ่มกระจายความเสี่ยงจากหุ้นหรืออสังหาฯ มายังศิลปะ เพราะศิลปะมีคุณสมบัติ “ของหายาก” และ “ไม่ขึ้นตรงกับตลาดหุ้น” จนเริ่มมีการสร้างดัชนีวัดราคาศิลปะ และกองทุนลงทุนในงานศิลป์โดยเฉพาะ
การมาของ NFT และศิลปะดิจิทัล ทำให้แนวคิดนี้กระจายไปสู่นักลงทุนรุ่นใหม่มากขึ้น ทุกวันนี้ศิลปะไม่ใช่แค่ของประดับบ้านหรือพิพิธภัณฑ์อีกต่อไป แต่เป็นอีกหนึ่ง “สินทรัพย์ทางเลือก” ที่ใช้สร้างความมั่งคั่งได้
จักรวาลเรื่องเล่าจากชมรมศิลป์ : ศิลปะกับการเงิน นำเสนอการเงินพื้นฐานผ่านเรื่องสั้นแนวศิลปะ ตัวละครและเรื่องราวทั้งหมดในเรื่องเป็นเหตุการณ์ที่สมมุติขึ้นโดยไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่หรือชี้นำใดๆ และบางส่วนอาจอิงข้อมูลที่ค้นจากแหล่งต่าง รวมทั้งการแต่งขึ้นตามจินตนาการที่ไม่เป็นจริงในประวัติศาสตร์ และเป็นมุมมองของผมซึ่งอาจยังไม่ถูกต้องครบถ้วน
ผมขอขอบคุณที่มาของข้อมูล ภาพประกอบ เจ้าของประโยคข้อความต่างๆ และผู้ที่ถูกเชื่อมโยงทุกคนไว้ ณ ที่นี้ครับ
การลงทุน
ไลฟ์สไตล์
ประวัติศาสตร์
1 บันทึก
5
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
จักรวาลเรื่องเล่าจากชมรมศิลป์ : ศิลปะกับการเงิน
1
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย