22 ส.ค. เวลา 01:49 • สุขภาพ

Rhabdomyolysis: เมื่อกล้ามเนื้อสลาย... อันตรายกว่าที่คิด

หลายคนอาจเคยได้ยินเรื่องราวของคนที่ออกกำลังกายอย่างหนักหน่วง หรือประสบอุบัติเหตุรุนแรง แล้วจู่ๆ ก็มีอาการปวดกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง ตัวบวม และปัสสาวะเป็นสีโคล่า ซึ่งอาการเหล่านี้คือสัญญาณอันตรายของภาวะที่เรียกว่า "Rhabdomyolysis" (แรบโดไมโอไลซิส) หรือ "ภาวะกล้ามเนื้อลายสลาย" ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่อาจนำไปสู่ภาวะไตวายเฉียบพลันและเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจภาวะนี้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ตั้งแต่สาเหตุ กลไกการเกิดโรค ไปจนถึงสัญญาณเตือนที่ต้องรีบมาพบแพทย์
💪 Rhabdomyolysis คืออะไร และเกิดจากอะไรได้บ้าง?
Rhabdomyolysis คือภาวะที่เซลล์กล้ามเนื้อลาย (Skeletal Muscle) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อส่วนใหญ่ของร่างกายที่เราใช้ในการเคลื่อนไหว ได้รับบาดเจ็บรุนแรงจนเซลล์แตกสลาย (Lysis) และปลดปล่อยสารต่างๆ ที่อยู่ภายในเซลล์ทะลักเข้าสู่กระแสเลือด
ปัจจัยต้นเหตุ (Etiology) สามารถแบ่งได้เป็นกลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
🤕 การบาดเจ็บโดยตรง (Traumatic/Physical Injury)
  • อุบัติเหตุรุนแรง (Crush Injury): เช่น ถูกของหนักทับเป็นเวลานาน, อาคารถล่ม, อุบัติเหตุรถยนต์ ทำให้กล้ามเนื้อถูกกดทับและขาดเลือดไปเลี้ยง
  • การออกกำลังกายหักโหมเกินไป (Strenuous Exercise): พบได้บ่อยในผู้ที่เริ่มออกกำลังกายอย่างหนักทันทีโดยไม่มีการเตรียมพร้อม (เช่น วิ่งมาราธอน, Crossfit, ยกน้ำหนัก) หรือในนักกีฬาที่ฝึกหนักเกินขีดจำกัด
  • ไฟฟ้าช็อต หรือฟ้าผ่า
  • แผลไฟไหม้รุนแรง
💊 สาเหตุที่ไม่ใช่การบาดเจ็บ (Non-Traumatic)
  • ยาและสารเสพติด: เป็นสาเหตุที่พบบ่อยมาก (จะกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป)
  • การติดเชื้อ: เชื้อไวรัส (เช่น ไข้หวัดใหญ่, HIV, COVID-19), แบคทีเรีย (เช่น Legionella, Streptococcus) สามารถทำให้เกิดการอักเสบและทำลายเซลล์กล้ามเนื้อโดยตรง
  • ภาวะเมตาบอลิกและเกลือแร่ผิดปกติ: ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ (Hypokalemia) หรือฟอสเฟตในเลือดต่ำ (Hypophosphatemia) อย่างรุนแรง ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อทำงานผิดปกติและสลายตัวได้
  • อุณหภูมิร่างกายสูงหรือต่ำเกินไป: เช่น ภาวะลมแดด (Heat Stroke) หรือภาวะตัวเย็นเกิน (Hypothermia)
  • โรคทางพันธุกรรม: โรคที่เกี่ยวกับการเผาผลาญพลังงานของกล้ามเนื้อผิดปกติ เช่น McArdle's disease
⚠️ ปัจจัยเสี่ยงเฉพาะบุคคล (Individual Risk Factors)
  • ภาวะขาดน้ำ (Dehydration)
  • การดื่มแอลกอฮอล์
  • ผู้ที่มีโรคไตเรื้อรังอยู่เดิม
  • ผู้ที่มีโรคทางพันธุกรรมเกี่ยวกับกล้ามเนื้อแฝงอยู่
⚙️ กลไกการเกิดโรค: ข้างในเซลล์กล้ามเนื้อเกิดอะไรขึ้น?
ลองจินตนาการว่าเซลล์กล้ามเนื้อเป็นเหมือน "ถุง" ที่บรรจุสารสำคัญต่างๆ ไว้ เมื่อมีปัจจัยกระตุ้นมารบกวน กลไกการทำลายตัวเองจะเริ่มขึ้น
1. การขาดพลังงาน (ATP Depletion): เมื่อกล้ามเนื้อบาดเจ็บหรือขาดเลือด จะทำให้เซลล์ไม่สามารถสร้างพลังงาน (ATP) ได้เพียงพอ ซึ่งพลังงานนี้จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับ "ปั๊มโซเดียม-โพแทสเซียม" (Na+/K+ pump) ที่อยู่บนเยื่อหุ้มเซลล์
2. แคลเซียมทะลักเข้าเซลล์: เมื่อปั๊มดังกล่าวล้มเหลว จะเกิดการเสียสมดุลของไอออน ทำให้แคลเซียม (Ca^{2+}) ที่ปกติจะอยู่นอกเซลล์เป็นส่วนใหญ่ ทะลักเข้ามาภายในเซลล์ในปริมาณมหาศาล
3. กระบวนการทำลายตัวเอง: แคลเซียมที่สูงผิดปกตินี้จะไปกระตุ้นเอนไซม์ย่อยสลายต่างๆ (เช่น Proteases, Phospholipases) เปรียบเสมือนการปลดปล่อย "กรรไกรระดับเซลล์" ออกมาตัดทำลายโปรตีนและไขมันที่เป็นโครงสร้างของเซลล์
4. เซลล์แตกและปล่อยของเสีย: ในที่สุดเยื่อหุ้มเซลล์ก็ฉีกขาด ทำให้สารต่างๆ ที่อยู่ภายในรั่วไหลออกมาสู่กระแสเลือด สารหลักๆ ที่เป็นตัวปัญหาคือ
  • ไมโอโกลบิน (Myoglobin): เป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่เก็บออกซิเจนในกล้ามเนื้อ มีลักษณะคล้ายฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง แต่มีขนาดเล็กกว่า เมื่อไมโอโกลบินปริมาณมหาศาลถูกส่งไปที่ไต มันจะเข้าไปอุดตันท่อหน่วยไต (Renal tubules) เปรียบเหมือนการเอาโคลนไปเทใส่ท่อระบายน้ำ นอกจากนี้ตัวมันเองยังมีความเป็นพิษโดยตรงต่อเซลล์ไตอีกด้วย นี่คือกลไกหลักที่ทำให้เกิด ภาวะไตวายเฉียบพลัน (Acute Kidney Injury - AKI)
  • โพแทสเซียม (Potassium - K+): เป็นเกลือแร่ที่ปกติจะอยู่ในเซลล์สูงมาก เมื่อเซลล์แตก โพแทสเซียมจะรั่วสู่เลือด ทำให้เกิด ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง (Hyperkalemia) ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อหัวใจ อาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรงจนถึงขั้นหยุดเต้นได้
  • ครีเอทีนไคเนส (Creatine Kinase - CK): เป็นเอนไซม์ที่พบในเซลล์กล้ามเนื้อเป็นหลัก การมี CK ในเลือดสูงเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญที่สุดว่ามีการสลายของกล้ามเนื้อเกิดขึ้น
  • กรดยูริก (Uric Acid) และ ฟอสเฟต (Phosphate): สารเหล่านี้ก็รั่วออกมาเช่นกัน และสามารถไปตกตะกอนที่ไต ทำให้ไตทำงานหนักและเกิดภาวะไตวายซ้ำเติมได้
5. ภาวะแทรกซ้อนที่ตามมา
  • ไตวายเฉียบพลัน (พบได้บ่อยและอันตรายที่สุด)
  • เกลือแร่ในเลือดผิดปกติรุนแรง
  • ภาวะความดันในช่องกล้ามเนื้อสูง (Compartment Syndrome): กล้ามเนื้อที่บวมอักเสบในช่องปิด ทำให้เลือดไปเลี้ยงไม่ได้ เป็นภาวะฉุกเฉินทางศัลยกรรม
  • ภาวะเลือดแข็งตัวผิดปกติในหลอดเลือด (Disseminated Intravascular Coagulation - DIC)
💉 ยาและการใช้ยาที่ทำให้เกิด Rhabdomyolysis 💊
ยาหลายชนิดสามารถเป็นสาเหตุของภาวะนี้ได้โดยตรง หรือเพิ่มความเสี่ยงเมื่อใช้ร่วมกับยาอื่นหรือในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยง
💊 ยาลดไขมันกลุ่มสแตติน (Statins)
เป็นยาที่เกี่ยวข้องบ่อยที่สุด แม้ผลข้างเคียงนี้จะพบได้ไม่บ่อย (ประมาณ 1 ใน 100,000) และมักจะมีอาการระดับต่ำที่ตรวจพบได้ก่อน เช่น ปวดกล้ามเนื้อมัดใหญ่และน่องร่วมกับตรวจพบค่า CPK 200-1000 ; แต่ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อ
  • ใช้ในขนาดสูง
  • ใช้ร่วมกับยาอื่น ที่รบกวนการเผาผลาญของสแตติน เช่น ยาฆ่าเชื้อราบางชนิด (Azole antifungals), ยาปฏิชีวนะกลุ่ม Macrolides (Erythromycin, Clarithromycin), หรือยาลดไขมันกลุ่ม Fibrates (โดยเฉพาะ Gemfibrozil)
* พบบ่อยกว่าในกลุ่ม Lipophillic ( Atorvastatin , Simvastatin) และน้อยกว่าในกลุ่ม Hydrophillic (Rosuvastatin , Pravastatin)
💊 ยาอื่นๆ
  • Fibrates: ยาลดไขมันอีกกลุ่มหนึ่ง (เช่น Gemfibrozil, Fenofibrate)
  • Colchicine: ยารักษาโรคเกาต์
  • ยาทางจิตเวช: ยารักษาโรคจิต (Antipsychotics) อาจทำให้เกิดกลุ่มอาการ Neuroleptic Malignant Syndrome (NMS) ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวรุนแรงจนสลายได้
  • สารเสพติด: โคเคน (Cocaine), แอมเฟตามีน (Amphetamines), เฮโรอีน (Heroin)
  • แอลกอฮอล์: การดื่มปริมาณมากทำให้เกิดพิษต่อกล้ามเนื้อโดยตรง
🏥 อาการที่ต้องสงสัย และการตรวจเพื่อยืนยัน
หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีประวัติเสี่ยง (เช่น เพิ่งไปออกกำลังกายอย่างหนัก, เริ่มยาใหม่, หรือมีอุบัติเหตุ) ร่วมกับมีอาการดังต่อไปนี้ ควรต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
1. ปวดกล้ามเนื้อ (Myalgia): มักจะปวดรุนแรงบริเวณกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ เช่น ต้นขา, สะโพก, หลัง, หรือหัวไหล่
2. อ่อนแรง (Weakness): อ่อนแรงอย่างชัดเจนจนอาจลุกยืนหรือยกแขนไม่ไหว
3. ปัสสาวะสีเข้ม (Dark Urine): เป็นสัญญาณสำคัญที่สุด! ปัสสาวะจะมีสีน้ำตาลแดง, สีชา, หรือสีโคล่า เกิดจากสารไมโอโกลบินที่ถูกขับออกมา
อาการอื่นๆ ที่อาจพบร่วมด้วย: มีไข้, คลื่นไส้, อาเจียน, สับสน, ใจสั่น, ตัวบวม
🩸การตรวจเพื่อยืนยัน (Diagnosis)
  • Creatine Kinase (CK หรือ CPK): นี่คือการตรวจที่สำคัญที่สุดในการวินิจฉัย ค่า CK จะสูงกว่าปกติมหาศาล โดยทั่วไปจะสูงเกิน 5 เท่าของค่าสูงสุดของเกณฑ์ปกติ (>1,000 U/L) และอาจพุ่งสูงไปถึงหลักหมื่นหรือหลักแสนได้
  • การทำงานของไต: ตรวจค่า BUN, Creatinine เพื่อประเมินภาวะไตวาย
  • เกลือแร่: ตรวจระดับ Potassium, Calcium, Phosphate
  • การตรวจปัสสาวะ (Urinalysis): จะพบว่าแถบตรวจ (Dipstick) ให้ผลบวกลวงสำหรับเลือด (Heme positive) แต่เมื่อนำไปส่องกล้องจุลทรรศน์กลับไม่พบเม็ดเลือดแดงหรือพบเพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นลักษณะจำเพาะของภาวะที่มีไมโอโกลบินในปัสสาวะ (Myoglobinuria)
📔 บทสรุป
Rhabdomyolysis เป็นภาวะที่อันตรายแต่สามารถป้องกันและรักษาได้ หัวใจสำคัญคือการตระหนักรู้ถึงความเสี่ยง การดื่มน้ำให้เพียงพอก่อนและหลังการออกกำลังกาย การค่อยๆ เพิ่มความหนักของการออกกำลังกาย และการใช้ยาอย่างระมัดระวังภายใต้การดูแลของแพทย์
หากมีอาการน่าสงสัย โดยเฉพาะ "ปวดกล้ามเนื้อรุนแรงร่วมกับปัสสาวะสีเข้ม" ให้รีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะการให้สารน้ำทางหลอดเลือดอย่างรวดเร็วและเพียงพอ คือการรักษาหลักที่จะช่วยป้องกันภาวะไตวายเฉียบพลันและช่วยชีวิตผู้ป่วยไว้ได้
อ่านบน FB ได้ที่นี่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา