Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Doctor Near you (หมอใกล้คุณ)
•
ติดตาม
8 พ.ย. เวลา 08:15 • สุขภาพ
ทำความรู้จัก "โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์" (RA): เมื่อภูมิคุ้มกันทำลายข้อต่อ
หลายคนอาจเคยมีอาการปวดข้อ แต่ "โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์" หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า "RA" (Rheumatoid Arthritis) นั้น แตกต่างจากอาการปวดข้อทั่วไปอย่างสิ้นเชิง มันคือโรคเรื้อรังที่หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง อาจนำไปสู่ความพิการของข้อได้
บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจว่าโรคนี้คืออะไร, ใครคือกลุ่มเสี่ยง, และเราจะสังเกตอาการหรือวินิจฉัยโรคนี้ได้อย่างไร
👨⚕️ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) คืออะไร? และเกิดจากอะไร?
โรค RA คือ โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune Disease) ชนิดหนึ่ง
พูดให้ง่ายคือ โดยปกติระบบภูมิคุ้มกันของเรามีหน้าที่ต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอม เช่น เชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย แต่ในผู้ป่วยโรค RA ภูมิคุ้มกันกลับทำงานผิดพลาด โดยหันมาโจมตีเนื้อเยื่อปกติของร่างกายตัวเอง เป้าหมายหลักที่ภูมิคุ้มกันเข้าไปโจมตีคือ "เยื่อหุ้มข้อ" (Synovium)
เมื่อเยื่อหุ้มข้อถูกโจมตี จะเกิดการอักเสบอย่างรุนแรงและเรื้อรัง (ปวด, บวม, แดง, ร้อน) หากการอักเสบนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ มันจะค่อยๆ ทำลายกระดูกอ่อนที่ผิวข้อและกระดูกบริเวณใกล้เคียง ทำให้ข้อถูกทำลาย ผิดรูป และใช้งานไม่ได้ในที่สุด
👨⚕️ สาเหตุของโรค
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงแน่ชัดว่าทำไมภูมิคุ้มกันถึงเริ่มทำงานผิดพลาด แต่เชื่อว่าเกิดจากหลายปัจจัยประกอบกัน ได้แก่
พันธุกรรม: ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ อาจมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป
ปัจจัยกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม
• การสูบบุหรี่: ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ชัดเจนที่สุดและรุนแรงที่สุด
• การติดเชื้อ: เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียบางชนิด อาจเป็นตัวกระตุ้นให้โรคเริ่มแสดงอาการในผู้ที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมอยู่แล้ว
🤨 กลุ่มเสี่ยงและอาการของโรค
มักพบในคนกลุ่มไหน?
• เพศ: พบใน ผู้หญิง มากกว่า ผู้ชาย ประมาณ 2-3 เท่า
• อายุ: มักเริ่มแสดงอาการในช่วง วัยกลางคน (อายุ 30-50 ปี) แต่จริงๆ แล้วสามารถพบได้ในทุกช่วงอายุ
• ปัจจัยเสี่ยง: ดังที่กล่าวไป คือ การสูบบุหรี่ และประวัติครอบครัว
👨⚕️ อาการที่ควรสังเกต
อาการของโรค RA ไม่ได้มีแค่ "ปวดข้อ" แต่มีลักษณะเฉพาะที่ควรสังเกต ดังนี้
■
ข้อฝืดตึงตอนเช้า (Morning Stiffness): นี่คืออาการเด่นที่สุด ผู้ป่วยจะรู้สึกข้อฝืด ขยับลำบากมากในตอนเช้าหลังตื่นนอน โดยมักจะเป็นนาน เกิน 30 นาที หรือบ่อยครั้งนานเป็นชั่วโมง (ต่างจากข้อเสื่อม ที่มักฝืดแค่ไม่กี่นาที)
■
ตำแหน่งข้อที่อักเสบ: มักเริ่มที่ ข้อนิ้วมือ, ข้อมือ, และข้อเท้า โดยเฉพาะข้อนิ้วมือส่วนโคนและส่วนกลาง (ไม่ค่อยเป็นที่ปลายนิ้ว)
■
อาการอักเสบแบบสมมาตร: มักมีอาการ ปวด บวม พร้อมกันทั้งสองข้าง ของร่างกาย เช่น เป็นที่ข้อมือซ้ายและขวาพร้อมๆ กัน
■
อาการทางร่างกายอื่นๆ (Systemic Symptoms): เนื่องจากเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันทั้งร่างกาย ผู้ป่วยจึงอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อ่อนเพลียมากผิดปกติ , เบื่ออาหาร น้ำหนักลด , มีไข้ต่ำๆ
หากปล่อยทิ้งไว้ อาจพบ "ก้อนรูมาตอยด์" (Rheumatoid nodules) ขึ้นตามปุ่มกระดูก หรือมีอาการตาแห้ง ปากแห้ง และในบางรายอาจมีการอักเสบที่อวัยวะอื่น เช่น ปอด หรือหัวใจ
🔎 การวินิจฉัยโรค: RF และ Anti-CCP คืออะไร?
การวินิจฉัยโรค RA ต้องอาศัยการรวบรวมข้อมูลหลายด้านประกอบกัน แพทย์ไม่สามารถใช้เพียงผลเลือดอย่างเดียวในการตัดสินโรคได้ โดยมีเกณฑ์หลักๆ ดังนี้
1️⃣ การซักประวัติและตรวจร่างกาย: แพทย์จะถามถึงอาการ (เช่น ข้อฝืดตอนเช้านานแค่ไหน) และตรวจดูว่ามีข้อบวมอักเสบกี่ข้อ ตำแหน่งสมมาตรหรือไม่
2️⃣ การตรวจเลือด: เพื่อหา "แอนติบอดี" หรือสารที่บ่งชี้การทำงานที่ผิดพลาดของภูมิคุ้มกัน
✓
รูมาตอยด์ แฟคเตอร์ (Rheumatoid Factor หรือ RF): เป็นแอนติบอดีที่พบได้บ่อยในผู้ป่วย RA (ประมาณ 70-80%)
ข้อควรระวัง: การมี RF ไม่ได้แปลว่าเป็น RA เสมอไป เพราะสามารถพบในคนปกติ (โดยเฉพาะผู้สูงอายุ) หรือในโรคอื่นๆ ได้เช่นกัน
✓
แอนติ-ซีซีพี (Anti-CCP หรือ ACPA): เป็นแอนติบอดีที่มี ความจำเพาะต่อโรค RA สูงมาก (พบได้ประมาณ 60-70%) หากตรวจพบค่านี้ โอกาสที่จะเป็นโรค RA จะสูงมาก และมักใช้ในการพยากรณ์โรคด้วย
✓
ค่าการอักเสบ (ESR และ CRP): ใช้ดูความรุนแรงของการอักเสบที่เกิดขึ้นในร่างกาย
3️⃣ การเอกซเรย์ (X-rays): ในระยะแรกอาจไม่เห็นอะไรผิดปกติ แต่เมื่อโรคดำเนินไป จะเริ่มเห็นการสึกกร่อนของกระดูกบริเวณขอบข้อ ซึ่งช่วยยืนยันการวินิจฉัยได้
👩⚕️ การแบ่งกลุ่มความเสี่ยง และพยากรณ์โรค
เมื่อวินิจฉัยว่าเป็นโรค RA แล้ว แพทย์จะประเมิน "ความรุนแรง" หรือ "ความเสี่ยง" ของโรค เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
★
ปัจจัยที่บ่งชี้ว่าเป็น "กลุ่มความเสี่ยงสูง" (High Risk) หรือโรครุนแรง
• ตรวจพบ Anti-CCP (โดยเฉพาะในปริมาณที่สูงมาก)
• ตรวจพบ RF (โดยเฉพาะในปริมาณที่สูงมาก)
• มี ค่าการอักเสบ (ESR, CRP) ที่สูง
• มี ข้ออักเสบหลายข้อ ตั้งแต่เริ่มเป็น
• พบการกร่อนของกระดูก จากฟิล์มเอกซเรย์ตั้งแต่ระยะแรกๆ
ผู้ป่วยกลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่เข้มข้นและรวดเร็ว เพื่อหยุดยั้งการทำลายข้อ
🤨 พยากรณ์โรค: จะเกิดอะไรขึ้นหากไม่รักษา?
นี่คือส่วนที่สำคัญที่สุด หากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ไม่ได้รับการรักษา หรือรักษาไม่ต่อเนื่อง
การอักเสบเรื้อรังที่เกิดขึ้น จะทำลายกระดูกอ่อนและกระดูกภายในข้อไปเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป (อาจเพียง 1-2 ปี) ข้อจะเริ่ม "ผิดรูป" อย่างถาวร เช่น นิ้วมืองอผิดรูป (Swan neck, Boutonniere), ข้อมือหรือข้อศอกบิดเบี้ยว
เมื่อข้อผิดรูปแล้ว จะไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้อีก ผู้ป่วยจะสูญเสียความสามารถในการใช้งานข้อเหล่านั้น เช่น กำมือไม่ได้, หยิบจับของลำบาก, เดินไม่ถนัด จนนำไปสู่ "ความพิการ" และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและการทำงานอย่างรุนแรง
นอกจากนี้ การอักเสบเรื้อรังทั่วร่างกายยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงอื่นๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง อีกด้วย
สรุป
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) ไม่ใช่แค่โรคปวดข้อธรรมดา แต่เป็นโรคจากการที่ภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเองที่ต้องได้รับการรักษาอย่างจริงจัง กุญแจสำคัญคือ "การวินิจฉัยให้เร็ว และรักษาให้เร็วที่สุด" (Window of Opportunity)
ปัจจุบัน มียา (กลุ่ม DMARDs) ที่มีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมโรคให้สงบ (Remission) สามารถหยุดยั้งการทำลายข้อ และป้องกันความพิการได้ หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการที่น่าสงสัย โดยเฉพาะ "ข้อฝืดตึงตอนเช้านานเกิน 30 นาที" ร่วมกับ "ข้อบวมสมมาตร" ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคข้อและรูมาติสซึมทันที
🧑⚕️ กลุ่มผู้ป่วยที่พบบ่อย (Epidemiology)
1. เพศ (Sex): พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายอย่างชัดเจน โดยมีอัตราส่วนประมาณ 2:1 ถึง 3:1
2. อายุ (Age of Onset): แม้ว่าจะเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงอายุ แต่ช่วงอายุที่พบบ่อยที่สุด (Peak Onset) คือ 40-60 ปี
• Late-Onset RA (LORA): ในกรณีที่เริ่มมีอาการหลังอายุ 60 ปี มักมีลักษณะที่แตกต่างเล็กน้อย เช่น อาจพบอัตราส่วนชาย:หญิง ใกล้เคียงกันมากขึ้น และมักมีการอักเสบของข้อใหญ่ (เช่น ไหล่, สะโพก) ร่วมด้วย
3. ปัจจัยเสี่ยง (Risk Factors)
• พันธุกรรม: ดังที่กล่าวไปคือกลุ่มที่มี HLA-DRB1 Shared Epitope
• การสูบบุหรี่: เป็นปัจจัยเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงและชัดเจนที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มที่มียีนเสี่ยง (Gene-environment interaction) และสัมพันธ์กับการตรวจพบ ACPA (Anti-CCP)
🩺 อาการและอาการแสดง (Clinical Presentation)
อาการของ RA สามารถแบ่งได้เป็น 3 ส่วนหลักๆ
1️⃣ อาการทางข้อ (Articular Manifestations)
■
ลักษณะการอักเสบ
• Chronic Symmetric Polyarthritis: เป็นการอักเสบของข้อหลายๆ ข้อ (Polyarthritis, > 5 ข้อ) ที่เป็นแบบสมมาตร (Symmetric) ซ้าย-ขวา และเป็นเรื้อรัง (Chronic)
• Synovitis: เมื่อตรวจร่างกายจะพบข้อบวม (Swelling) ซึ่งมีลักษณะเฉพาะคือบวมนุ่ม (Boggy swelling) จากการหนาตัวของเยื่อบุข้อ (Synovial proliferation) ไม่ใช่การบวมจากกระดูกงอก (Bony enlargement) แบบ Osteoarthritis (OA) และจะพบอาการเจ็บเมื่อกด (Tenderness) และอุ่น (Warmth)
■
ตำแหน่งข้อที่พบบ่อย (Joint Distribution)
• ข้อเล็กของมือและเท้า: นี่คือตำแหน่งคลาสสิก ได้แก่ MCPs (Metacarpophalangeal), PIPs (Proximal Interphalangeal) และ Wrists (ข้อมือ)
• ข้อเท้า: MTPs (Metatarsophalangeal)
• ลักษณะสำคัญ: มักจะ "Spare" DIPs (Distal Interphalangeal joints) ซึ่งช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคจาก OA หรือ Psoriatic Arthritis (PsA)
• ข้อใหญ่: อาจพบการอักเสบของข้อใหญ่ได้ เช่น เข่า (Knees), ข้อศอก (Elbows), ไหล่ (Shoulders) และข้อเท้า (Ankles)
■
อาการปวดข้อและข้อฝืด (Joint Pain & Stiffness)
• Morning Stiffness: เป็นอาการสำคัญ (Hallmark) ผู้ป่วยจะมีอาการข้อฝืดยามเช้า (หรือหลังจากการไม่ใช้งานข้อเป็นเวลานาน) โดยมีระยะเวลานานกว่า 1 ชั่วโมง (ในขณะที่ OA มักฝืดไม่เกิน 30 นาที)
■
อาการทางกระดูกสันหลัง (Spinal Involvement)
• RA มักจะไม่ยุ่งกับกระดูกสันหลังส่วน Thoracic และ Lumbar (ต่างจากกลุ่ม Spondyloarthropathies)
• ยกเว้นส่วนคอ (Cervical Spine): สามารถเกิดการอักเสบที่ Atlantoaxial joint (C1-C2) ซึ่งอาจนำไปสู่ Atlantoaxial subluxation ได้ ถือเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย
■
การเปลี่ยนแปลงระยะยาว (Late Deformities)
•หากไม่ได้รับการรักษา จะเกิดการทำลายข้อและเอ็นรอบข้อ นำไปสู่ความผิดรูปที่จำเพาะ เช่น Ulnar deviation, Swan neck deformity, และ Boutonnière deformity
2️⃣ อาการทางระบบ (Systemic Symptoms)
เป็นอาการที่เกิดจากภาวะอักเสบเรื้อรังทั่วร่างกาย (Systemic inflammation) ซึ่งขับเคลื่อนโดย Cytokines (TNF-α, IL-1, IL-6)
• อ่อนเพลียอย่างมาก (Profound fatigue)
• อาการครั่นเนื้อครั่นตัว (Malaise)
• ไข้ต่ำๆ (Low-grade fever)
• น้ำหนักลด (Weight loss)
• เบื่ออาหาร (Anorexia)
3️⃣ อาการนอกข้อ (Extra-Articular Manifestations - EAMs)
พบได้ประมาณ 40% ของผู้ป่วย มักสัมพันธ์กับผู้ที่มี Seropositive (RF/ACPA สูง), สูบบุหรี่ และมีโรคที่รุนแรง EAMs เป็นสาเหตุสำคัญของ Morbidity และ Mortality
■
Rheumatoid Nodules
•พบได้บ่อยที่สุด (20-30%) เป็นก้อนใต้ผิวหนัง (Subcutaneous nodules) มักพบบริเวณที่รับแรงกด (Pressure points) เช่น Olecranon process (ข้อศอก), หลังมือ (Extensor surfaces)
■
อาการทางปอด (Pulmonary)
• Interstitial Lung Disease (ILD): เป็น EAM ที่อันตราย พบบ่อยในรูปแบบ UIP (Usual Interstitial Pneumonia) หรือ NSIP
• Pleural effusion (น้ำในเยื่อหุ้มปอด)
• Rheumatoid nodules ในปอด (Caplan syndrome หากร่วมกับ Pneumoconiosis)
■
อาการทางหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular)
• Accelerated Atherosclerosis: นี่คือ สาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของผู้ป่วย RA เนื่องจาก Chronic inflammation ทำให้ความเสี่ยงต่อ MI, Stroke สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
• Pericarditis (เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ)
■
อาการทางโลหิตวิทยา (Hematologic)
• Anemia of Chronic Disease (ACD): พบบ่อยมาก
• Thrombocytosis (จากภาวะอักเสบ)
• Felty's Syndrome: เป็น Triad ของ (1) RA รุนแรง, (2) Splenomegaly และ (3) Neutropenia
■
อาการทางตา (Ocular)
• Keratoconjunctivitis Sicca (KCS): หรือ Secondary Sjögren's Syndrome (ตาแห้ง ปากแห้ง)
• Scleritis หรือ Episcleritis (Scleritis มีความรุนแรงกว่า และอาจนำไปสู่ Scleromalacia perforans)
■
อาการอื่นๆ
• Rheumatoid Vasculitis (RV): การอักเสบของหลอดเลือด มักเกิดในผู้ป่วยรุนแรงและคุมโรคไม่ได้ แสดงอาการได้หลายแบบ เช่น Skin ulcers, Digital infarcts, Mononeuritis multiplex
• Carpal tunnel syndrome (จากการอักเสบของข้อมือไปกดทับ Median nerve)
🧪 Rheumatoid factor & Anti-CCP
1️⃣ Rheumatoid Factor (RF)
RF คือ autoantibody (ส่วนใหญเป็น IgM) ที่จับกับ Fc portion ของ IgG
• Sensitivity: ประมาณ 60-80% (อาจต่ำกว่านี้มากในระยะเริ่มต้นของโรค - Early RA)
• Specificity: ประมาณ 70-85% (ขึ้นอยู่กับประชากรที่ศึกษาและ cut-off)
ข้อจำกัด (Limitation): False Positive บ่อย นี่คือปัญหาหลักของ RF ; สามารถพบผลบวกได้ในหลายภาวะที่ไม่ใช่ RA เช่น
• โรค Autoimmune อื่นๆ (เช่น Sjögren's syndrome (75-95%), SLE, Scleroderma)
• การติดเชื้อเรื้อรัง (เช่น Hepatitis C (HCV), Hepatitis B, Endocarditis, TB)
• โรคปอดเรื้อรัง (เช่น Sarcoidosis, ILD)
• ผู้สูงอายุที่แข็งแรงดี (Healthy elderly) พบได้ 5-10%
2️⃣ Anti-CCP (Anti-Citrullinated Protein Antibodies - ACPA)
ACPA คือ autoantibody ที่จับกับโปรตีนที่ถูกดัดแปลง (Citrullinated proteins) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลไกการเกิดโรคโดยตรง
• Sensitivity: ประมาณ 60-75% (ใกล้เคียงกับ RF)
• Specificity: สูงมาก >95% (บางการศึกษา >98%)
ข้อดี (Advantages)
• จำเพาะต่อ RA สูง: หากผลเป็นบวก (โดยเฉพาะ High-titer) แทบจะยืนยันการวินิจฉัย RA (หากมีอาการทางคลินิกเข้าได้)
• ปรากฏก่อนเกิดอาการ: ACPA สามารถตรวจพบในเลือดได้ หลายปี (5-10 ปี) ก่อนที่ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการข้ออักเสบ (Pre-clinical RA)
🖊️โดยสรุปคือ
• Rheumatoid Factor (RF): มีความไวสูง (Sensitive) แต่ความจำเพาะต่ำ (Not Specific)
• Anti-CCP (ACPA): มีความจำเพาะสูงมาก (Highly Specific)
📊 การพยากรณ์โรค (Prognosis)
Titer (ระดับความสูง) ของ Antibody ทั้งสองตัว (RF , Anti-CCP) มีความสำคัญมาก
■
Double Positive (RF+ และ ACPA+)
• กลุ่มนี้มีพยากรณ์โรคที่แย่ที่สุด (Worst prognosis)
• มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิด Erosive disease (ข้อถูกทำลายอย่างรวดเร็ว)
• มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิด Extra-Articular Manifestations (EAMs) เช่น ILD, Rheumatoid vasculitis
■
ACPA Positive (แม้ RF จะลบ)
• เป็นตัวทำนาย (Strong predictor) ที่สำคัญที่สุดของการดำเนินโรคไปสู่ Erosive disease
■
Seronegative (RF- และ ACPA-)
• มักจะมีพยากรณ์โรคที่ดีกว่า (Milder disease course) และเสี่ยงต่อการเกิด erosion น้อยกว่ากลุ่ม Seropositive
ความรู้รอบตัว
สุขภาพ
การแพทย์
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
รวมความรู้ทางการแพทย์ทั่วไป
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย