7 ก.ย. เวลา 10:00 • สุขภาพ

"พิษจากกัญชา" (Cannabis Toxicity)? เข้าใจให้ลึกถึงกลไกและผลกระทบที่อาจไม่หายกลับคืน 🧠

ในยุคที่กัญชาเป็นเรื่องที่เข้าถึงง่ายและถูกพูดถึงอย่างแพร่หลาย การทำความเข้าใจพืชชนิดนี้ในทุกมิติเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
"ภาวะพิษจากกัญชา" ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายและสมองทั้งในระยะสั้นและระยะยาว บทความนี้จะเจาะลึกถึงกลไกการออกฤทธิ์ อาการ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นแบบถาวร และการใช้ทางการแพทย์ที่มีข้อบ่งชี้ที่จำกัดมากเมื่อเทียบกับผลเสียที่อาจเกิดขึ้น
☘️ กัญชา (Cannabis) vs. กัญชง (Hemp): ฝาแฝดที่แตกต่าง
หลายคนอาจสับสนระหว่างพืชสองชนิดนี้ แต่ในทางพฤกษศาสตร์ ทั้งกัญชาและกัญชงคือพืชในตระกูลเดียวกัน (Cannabis sativa L.) แต่ถูกจำแนกตามการใช้งานและองค์ประกอบทางเคมี
  • กัญชา (Marijuana): เป็นสายพันธุ์ที่ถูกพัฒนาให้มีสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทที่ชื่อว่า THC (Tetrahydrocannabinol) ในปริมาณสูง (โดยทั่วไปมากกว่า 0.3% - 1%) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการ "เมา" หรือ "high"
  • กัญชง (Hemp): เป็นสายพันธุ์ที่มี THC ต่ำมาก (ตามกฎหมายหลายประเทศคือต้องน้อยกว่า 0.3%) แต่มักจะมีสาร CBD (Cannabidiol) สูง ซึ่งเป็นสารที่ไม่มีฤทธิ์ต่อจิตประสาท กัญชงจึงมักถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ, อาหาร, และสกัด CBD เพื่อประโยชน์ทางสุขภาพ
สรุปง่ายๆ คือ: ความแตกต่างสำคัญอยู่ที่ปริมาณสาร THC กัญชาเน้น THC เพื่อสันทนาการหรือการแพทย์ที่ต้องการฤทธิ์ต่อจิตประสาท ส่วนกัญชงเน้นเส้นใยและสาร CBD
😵‍💫 อาการและผลกระทบจากการใช้กัญชา
ภาวะพิษเฉียบพลัน (Acute Toxic Symptoms) 💥
เป็นอาการที่เกิดขึ้นทันทีหลังใช้ โดยความรุนแรงขึ้นอยู่กับปริมาณ THC ที่ได้รับ, วิธีการใช้ (การสูบจะออกฤทธิ์เร็วกว่าการกิน), และความทนของแต่ละบุคคล
  • ด้านจิตใจ: รู้สึกผ่อนคลาย, เคลิบเคลิ้ม, หัวเราะง่าย, แต่หากได้รับมากไปอาจเกิดอาการวิตกกังวลรุนแรง, หวาดระแวง (Paranoia), สับสน, เห็นภาพหลอน (Hallucinations) หรือมีอาการของโรคจิตเฉียบพลัน (Acute Psychosis)
  • ด้านร่างกาย: หัวใจเต้นเร็ว, ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง, ตาแดง, ปากแห้ง คอแห้ง, เวียนศีรษะ, การทำงานของกล้ามเนื้อและการทรงตัวผิดปกติ, ความจำระยะสั้นลดลง
ผลกระทบระยะยาวจากการใช้เรื้อรัง (Chronic Cannabis Effects) 😵
การใช้กัญชาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้น
  • การใช้กัญชาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้น
  • กลุ่มอาการอาเจียนรุนแรง (Cannabinoid Hyperemesis Syndrome - CHS): เป็นภาวะที่แปลกและพบในผู้ใช้เรื้อรัง คือจะมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนอย่างรุนแรงเป็นรอบๆ ซึ่งบรรเทาได้ด้วยการอาบน้ำร้อน และจะหายไปเมื่อหยุดใช้กัญชาโดยสิ้นเชิง
  • ผลต่อระบบทางเดินหายใจ: การสูบกัญชาเรื้อรังเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง (Chronic Bronchitis)
  • ผลต่อสุขภาพจิต: เพิ่มความเสี่ยงของโรคซึมเศร้า, วิตกกังวล และภาวะสิ้นยินดี (Amotivational Syndrome)
🧠 ความเสียหายที่อาจไม่กลับคืน (Irreversible Damage)
นี่คือประเด็นที่น่ากังวลที่สุดของการใช้กัญชา โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น วัยรุ่น หรือผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคทางจิตเวชอยู่แล้ว
ภาวะพิษเฉียบพลันที่นำไปสู่ความเสียหายถาวร (Acute toxic related irreversible damage) ⚡️
การใช้กัญชาในปริมาณสูง (Overdose) โดยเฉพาะ THC ความเข้มข้นสูง สามารถกระตุ้นให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงที่สร้างความเสียหายถาวรได้
  • โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke): มีรายงานเคสที่การใช้กัญชาสัมพันธ์กับการหดตัวของหลอดเลือดสมอง (Vasospasm) หรือการอักเสบของหลอดเลือด (Arteritis) ซึ่งนำไปสู่ภาวะสมองขาดเลือดและเกิดความพิการถาวรได้
  • ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Myocardial Infarction): THC ทำให้หัวใจเต้นเร็วและทำงานหนักขึ้น ในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจอยู่เดิม อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันได้
  • การกระตุ้นโรคจิตเภท (Triggering Schizophrenia): ในบุคคลที่มีความเปราะบางทางพันธุกรรมต่อโรคจิตเภท การใช้กัญชาที่มี THC สูงแม้เพียงครั้งเดียว อาจเป็นตัวกระตุ้น (Trigger) ที่ทำให้เกิดอาการของโรคจิตเภทเต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นภาวะที่ต้องรักษาไปตลอดชีวิต
ผลกระทบเรื้อรังที่นำไปสู่ความเสียหายถาวร (Chronic toxic related irreversible damage) 💀
นี่คือผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและการทำงานของสมองอย่างถาวร
  • การทำลายสมองของวัยรุ่น: สมองของมนุษย์จะพัฒนาไปจนถึงอายุประมาณ 25 ปี โดยเฉพาะส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการตัดสินใจ, การยับยั้งชั่งใจ และการวางแผน การใช้กัญชาในช่วงวัยรุ่นจะรบกวนกระบวนการพัฒนานี้อย่างรุนแรง ทำให้การเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทผิดปกติ นำไปสู่ปัญหาด้านการคิดวิเคราะห์และสติปัญญา (IQ) ที่ลดลงอย่างถาวร
  • ความเสี่ยงต่อโรคจิตเภทถาวร: การใช้กัญชาอย่างหนักและเริ่มใช้ตั้งแต่อายุน้อย เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคจิตเภทสูงขึ้น 2-4 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่เคยใช้ กลไกเชื่อว่า THC ไปรบกวนสมดุลของสารสื่อประสาทโดพามีน (Dopamine) ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับโรคจิตเภท
  • การเสื่อมถอยของกระบวนการคิดและความจำ: ผู้ที่ใช้กัญชาปริมาณมากเป็นเวลานาน อาจมีการฝ่อของสมองส่วน ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ซึ่งสำคัญต่อการสร้างความทรงจำ ทำให้มีความบกพร่องด้านความจำและการเรียนรู้ในระยะยาว แม้จะหยุดใช้กัญชาไปแล้วก็ตาม
📊 หลักฐานเชิงประจักษ์ (Evidence Base) ของผลเสียในระยะยาว
  • การศึกษา Dunedin Study: เป็นการศึกษาติดตามประชากรกลุ่มใหญ่ในนิวซีแลนด์เป็นเวลายาวนาน พบว่ากลุ่มที่เริ่มใช้กัญชาอย่างหนักตั้งแต่วัยรุ่นและใช้ต่อเนื่องไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ มี ระดับ IQ ลดลงโดยเฉลี่ย 8 จุด ซึ่งไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาได้เต็มที่แม้จะหยุดใช้แล้วก็ตาม
*Title: Persistent cannabis users show neuropsychological decline from childhood to midlife
Journal: Proceedings of the National Academy of Sciences (PNAS), 2012
  • Systematic Reviews and Meta-analyses: งานวิจัยทบทวนวรรณกรรมขนาดใหญ่หลายชิ้นยืนยันความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างการใช้กัญชาในวัยรุ่นกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการเกิดโรคซึมเศร้า, ความคิดฆ่าตัวตาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคจิตเภท (Psychosis/Schizophrenia)
*Title: The contribution of cannabis use to variation in the incidence of psychotic disorder across Europe
Journal: The Lancet Psychiatry, 2019
*Title: Meta-analysis of the Association Between the Level of Cannabis Use and Risk of Psychosis
Journal: Schizophrenia Bulletin, 2016
  • Neuroimaging Studies: การศึกษาภาพถ่ายสมอง (เช่น fMRI, PET scan) แสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและการทำงานในสมองของผู้ใช้กัญชาเรื้อรัง โดยเฉพาะในส่วนที่ควบคุมความจำ, การตัดสินใจ และอารมณ์
ภายในต้นกัญชามีสารประกอบที่เรียกว่า "แคนนาบินอยด์" (Cannabinoids) มากกว่า 100 ชนิด แต่ตัวที่ถูกพูดถึงและมีความสำคัญหลักๆ มีดังนี้
1️⃣ THC (Δ⁹-Tetrahydrocannabinol): "นักสร้างความเมา"
  • กลไก: THC ออกฤทธิ์โดยการจับกับตัวรับในสมองที่ชื่อว่า CB1 receptors ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบเอ็นโดแคนนาบินอยด์ (Endocannabinoid System) ที่ร่างกายสร้างขึ้นเองเพื่อควบคุมสมดุลต่างๆ เปรียบเสมือน THC เป็น "กุญแจผี" ที่ไปไขและกระตุ้นระบบนี้อย่างรุนแรง ทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น เคลิบเคลิ้ม, การรับรู้เวลาและประสาทสัมผัสผิดเพี้ยน, ความจำระยะสั้นลดลง และความอยากอาหารเพิ่มขึ้น
2️⃣ CBD (Cannabidiol): "ผู้ไกล่เกลี่ย"
  • กลไก: CBD แทบจะไม่จับกับ CB1 receptors โดยตรง จึงไม่ทำให้เกิดอาการ "เมา" ในทางกลับกัน CBD อาจช่วยลดผลข้างเคียงบางอย่างของ THC ได้ เช่น อาการวิตกกังวล หรืออาการทางจิต (Psychosis) CBD ได้รับความสนใจอย่างมากในทางการแพทย์จากสรรพคุณด้านการลดการอักเสบ, ลดปวด, คลายกังวล และรักษาโรคลมชักบางชนิด
3️⃣ CBG (Cannabigerol): "ต้นกำเนิด"
  • กลไก: CBG ถูกเรียกว่าเป็น "Mother of all cannabinoids" เพราะมันเป็นสารตั้งต้น (Precursor) ที่พืชจะนำไปสร้างเป็น THC และ CBD ต่อไป ในต้นกัญชาที่โตเต็มที่จะมี CBG เหลืออยู่น้อยมาก งานวิจัยเบื้องต้นพบว่า CBG อาจมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย, ต้านการอักเสบ และปกป้องเซลล์ประสาท แต่ยังต้องการการศึกษาในมนุษย์เพิ่มเติม
ความแตกต่างหลัก: THC ทำให้เมา, CBD ไม่เมาและอาจมีประโยชน์ทางการแพทย์, CBG เป็นสารตั้งต้นที่กำลังมีการวิจัย
🧑‍⚕️การใช้กัญชาทางการแพทย์
การพิจารณาใช้ยาหรือสารใดๆ จำเป็นต้องอิงตามหลักฐานเชิงประจักษ์ (Evidence-Based Medicine) เป็นสำคัญ สำหรับกัญชาทางการแพทย์ สามารถแบ่งกลุ่มข้อบ่งใช้ตามความหนักแน่นของหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้ดังนี้
กลุ่มที่ 1: หลักฐานเชิงประจักษ์ระดับสูง (High-Level Evidence)
  • โรคลมชักที่รักษายากในเด็ก (Refractory Childhood Epilepsy)
  • ภาวะ: Dravet Syndrome และ Lennox-Gastaut Syndrome (LGS)
  • สารสำคัญ: CBD (Cannabidiol) บริสุทธิ์
  • หลักฐาน: มีหลักฐานคุณภาพสูงมากจาก RCTs หลายฉบับ จนนำไปสู่การอนุมัติยา Epidiolex® (สารสกัด CBD บริสุทธิ์จากพืช) โดย FDA และ EMA (องค์การยาแห่งสหภาพยุโรป) ยานี้สามารถลดความถี่และความรุนแรงของอาการชักได้อย่างมีนัยสำคัญในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อยากันชักมาตรฐาน
  • ภาวะคลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบำบัด (Chemotherapy-Induced Nausea and Vomiting: CINV)
  • สารสำคัญ: THC (Tetrahydrocannabinol) หรือสารสังเคราะห์ที่มีโครงสร้างคล้ายกัน
  • หลักฐาน: เป็นหนึ่งในข้อบ่งใช้แรกๆ ที่ได้รับการยอมรับ มีหลักฐานชัดเจนว่าสามารถลดอาการคลื่นไส้อาเจียนในผู้ป่วยมะเร็งที่รับยาเคมีบำบัดและไม่ตอบสนองต่อยาแก้คลื่นไส้มาตรฐาน (conventional antiemetics)
  • ยาที่ได้รับการรับรอง: Dronabinol (Marinol®, Syndros®) และ Nabilone (Cesamet®) ซึ่งเป็น THC สังเคราะห์
  • ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Spasticity in Multiple Sclerosis - MS)
  • สารสำคัญ: THC และ CBD ในอัตราส่วน 1:1
  • หลักฐาน: มี RCTs และข้อมูลการใช้จริงที่สนับสนุนประสิทธิภาพในการลดอาการปวดและภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วย MS ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น
  • ยาที่ได้รับการรับรอง: Nabiximols (Sativex®) เป็นสเปรย์พ่นในช่องปาก ได้รับการอนุมัติในหลายประเทศ (เช่น สหราชอาณาจักร แคนาดา และหลายประเทศในยุโรป)
  • ภาวะเบื่ออาหารและน้ำหนักลดในผู้ป่วย AIDS (Anorexia and Cachexia)
  • สารสำคัญ: THC สังเคราะห์
  • หลักฐาน: มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า Dronabinol ช่วยกระตุ้นความอยากอาหารและทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นในผู้ป่วย AIDS ที่มีภาวะผอมแห้ง (wasting syndrome)
  • ยาที่ได้รับการรับรอง: Dronabinol (Marinol®)
กลุ่มที่ 2: หลักฐานเชิงประจักษ์ระดับปานกลาง (Moderate-Level Evidence)
กลุ่มนี้มีผลการศึกษาทางคลินิกสนับสนุน แต่คุณภาพหรือขนาดของงานวิจัยอาจยังไม่แข็งแกร่งเท่ากลุ่มแรก หรือผลลัพธ์อาจมีความไม่สม่ำเสมอ (inconsistent) แต่มีแนวโน้มที่เป็นประโยชน์
  • อาการปวดเรื้อรัง (Chronic Pain) : ภาวะที่ได้ผลดีที่สุด: อาการปวดจากเส้นประสาท (Neuropathic Pain)
  • สารสำคัญ: ส่วนใหญ่งานวิจัยใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีทั้ง THC และ CBD
  • หลักฐาน: รายงานสำคัญจาก National Academies of Sciences, Engineering, and Medicine (NASEM) ของสหรัฐฯ สรุปว่ามีหลักฐานที่หนักแน่น (conclusive or substantial evidence) ว่ากัญชาหรือสารแคนนาบินอยด์มีประสิทธิภาพในการรักษาอาการปวดเรื้อรังในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอาการปวดเส้นประสาท อย่างไรก็ตาม ผลการลดปวดมักอยู่ในระดับปานกลาง (modest effect) และต้องชั่งน้ำหนักกับผลข้างเคียง
กลุ่มที่ 3: หลักฐานยังจำกัดหรือกำลังอยู่ระหว่างการวิจัย (Limited/Emerging Evidence)
กลุ่มนี้เป็นภาวะที่มีข้อมูลเบื้องต้นจากงานวิจัยขนาดเล็ก รายงานผู้ป่วย หรือการศึกษาในสัตว์ทดลอง แต่ยังขาด RCTs ขนาดใหญ่เพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่ชัดเจน
1. โรควิตกกังวล (Anxiety Disorders): มีหลักฐานเบื้องต้นว่า CBD อาจช่วยลดความวิตกกังวลได้ แต่ในทางกลับกัน THC ในขนาดสูงอาจกระตุ้นให้เกิดความวิตกกังวลหรือภาวะหวาดระแวงได้ (biphasic effect)
2. โรคพาร์กินสัน (Parkinson's Disease): อาจช่วยบรรเทาอาการบางอย่างที่ไม่ใช่การเคลื่อนไหว (non-motor symptoms) เช่น การนอนหลับ แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าช่วยเรื่องอาการสั่นหรือการเคลื่อนไหวผิดปกติ
3. ภาวะนอนไม่หลับ (Insomnia): อาจช่วยให้หลับง่ายขึ้นในระยะสั้น แต่มีข้อกังวลเรื่องผลกระทบต่อรูปแบบการนอน (sleep architecture) ในระยะยาว เช่น การกดช่วง REM sleep
4. โรค PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder): มีรายงานว่าผู้ป่วยใช้เพื่อควบคุมฝันร้ายและภาวะตื่นตัวสูง (hyperarousal) แต่งานวิจัยทางคลินิกที่มีคุณภาพยังคงมีจำกัด
5. โรคต้อหิน (Glaucoma): เป็นความเข้าใจที่พบบ่อย แต่ไม่แนะนำให้ใช้เป็นยารักษาหลัก แม้กัญชาจะสามารถลดความดันในลูกตา (IOP) ได้จริง แต่ผลอยู่ได้เพียง 3-4 ชั่วโมง ทำให้ผู้ป่วยต้องใช้ยาบ่อยมากตลอดวัน และปัจจุบันมียามาตรฐานที่มีประสิทธิภาพดีกว่าและออกฤทธิ์ได้ยาวนานกว่ามาก
อ่านบน FB ได้ที่นี่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา