Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Doctor Near you (หมอใกล้คุณ)
•
ติดตาม
6 ธ.ค. เวลา 12:00 • สุขภาพ
รู้ทัน "ไซยาไนด์" (Cyanide): มฤตยูเงียบที่คร่าชีวิตในไม่กี่นาที
ไซยาไนด์ (Cyanide) เป็นสารพิษที่มีความรุนแรงสูงและออกฤทธิ์เฉียบพลัน แม้จะได้รับในปริมาณเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้เสียชีวิตได้ในเวลาอันสั้น การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญในการระวังภัยและปฐมพยาบาลเบื้องต้น
⚙️ ไซยาไนด์ออกฤทธิ์อย่างไร? ทำไมถึงทำให้เสียชีวิต?
ไซยาไนด์ไม่ได้ทำลายอวัยวะด้วยการกัดกร่อนเหมือนน้ำกรด แต่เป็น "ยาพิษระดับเซลล์"
กลไกการออกฤทธิ์: เมื่อไซยาไนด์เข้าสู่ร่างกาย มันจะพุ่งตรงไปจับกับตัวทำงานสำคัญในเซลล์ (เอนไซม์ Cytochrome c oxidase) ซึ่งทำหน้าที่ช่วยให้เซลล์ดึงออกซิเจนจากเลือดไปใช้เป็นพลังงาน
ผลลัพธ์: เปรียบเสมือนการ "ตัดสะพานไฟ" ของร่างกาย แม้เราจะหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปเต็มปอด และเลือดมีออกซิเจนเต็มเปี่ยม แต่เซลล์ต่างๆ (โดยเฉพาะสมองและหัวใจ) กลับนำออกซิเจนไปใช้ไม่ได้ ทำให้เซลล์ "ขาดอากาศหายใจ" และตายลงอย่างรวดเร็ว ระบบหัวใจและสมองจึงล้มเหลวและเสียชีวิต
🤨 ลักษณะที่ต้องสังเกต: จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นไซยาไนด์?
ไซยาไนด์เป็นสารพิษที่สังเกตได้ยาก แต่มีจุดสังเกตดังนี้
สถานะ: พบได้ทั้งในรูปของ ของแข็ง (เกล็ดสีขาว คล้ายน้ำตาลหรือเกลือ), ของเหลว, และ ก๊าซ (ไม่มีสี)
กลิ่น: ตามทฤษฎีจะมีกลิ่นคล้าย "อัลมอนด์ขม" (Bitter Almond) หรือกลิ่นถั่วไหม้ๆ ฉุนๆ
• ข้อควรระวัง: ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้กลิ่นนี้ พันธุกรรมของมนุษย์ประมาณ 40-50% ไม่สามารถรับรู้กลิ่นไซยาไนด์ได้ ดังนั้นการ "ดมแล้วไม่มีกลิ่น" ไม่ได้แปลว่าปลอดภัย
แหล่งที่พบ: นอกจากสารเคมีในอุตสาหกรรมทองคำหรือยาฆ่าแมลงแล้ว ยังพบในธรรมชาติ เช่น มันสำปะหลังดิบ, เมล็ดของผลไม้ตระกูลพรุน (แอปริคอต, เชอร์รี่) ในปริมาณน้อยๆ
🧑⚕️ ช่องทางรับสารพิษและอาการแสดง
■
ช่องทางการรับสารพิษ
1. การกิน (Ingestion): เป็นทางที่พบบ่อยที่สุด (เช่น ปนเปื้อนในอาหาร/น้ำ)
2. การสูดดม (Inhalation): เช่น ควันไฟไหม้ (จากพลาสติกหรือโฟมที่ถูกเผา) หรือก๊าซในโรงงาน
3. การสัมผัสทางผิวหนัง (Dermal absorption): หากสัมผัสปริมาณมาก หรือผิวหนังมีแผล
■
อาการตามระยะเวลา (Timeline)
อาการจะเกิดขึ้นเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับ "ปริมาณ" และ "ช่องทาง" ที่ได้รับ หากสูดดมก๊าซอาการจะเกิดใน วินาที, หากกินเข้าไป อาการอาจเกิดใน นาทีถึงชั่วโมง (เมื่อกระเพาะดูดซึม)
1️⃣ ระยะเริ่มต้น (Early Stage): ร่างกายพยายามดิ้นรนหาออกซิเจน
• ปวดศีรษะ เวียนหัว มึนงง
• คลื่นไส้ อาเจียน
• หายใจเร็วและแรง (หอบ)
• หัวใจเต้นเร็ว
• กระวนกระวาย ตื่นตระหนก
2️⃣ ระยะรุนแรง (Late Stage): เมื่อเซลล์เริ่มตาย
• ซึมลง หมดสติ (Coma)
• ชักเกร็ง (Convulsion)
• หายใจช้าลง หรือหยุดหายใจ
• หัวใจเต้นช้าลง และความดันโลหิตตก
• หัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิต
ข้อสังเกตพิเศษ: ผู้ป่วยอาจตัวไม่เขียวคล้ำเหมือนคนขาดอากาศทั่วไป แต่ผิวอาจมีสีแดงสด (Cherry-red skin) เนื่องจากเลือดในเส้นเลือดดำยังมีออกซิเจนเหลืออยู่มาก (เพราะเซลล์ไม่ได้ดึงไปใช้) แต่ในทางปฏิบัติพบค่อนข้างน้อยและมักพบในระยะท้ายๆ แล้ว
■
เวลาในการรักษา (Golden Period) "ทุกวินาทีมีค่า"
• หากได้รับปริมาณมาก (เช่น ก๊าซความเข้มข้นสูง) อาจเสียชีวิตใน หลักนาที
• หากได้รับปริมาณน้อยหรือกินเข้าไป อาจมีเวลา หลักนาทีถึงไม่กี่ชั่วโมง ก่อนจะเสียชีวิต
• ต้องนำส่งโรงพยาบาลทันทีที่สงสัย ไม่ควรรอดูอาการ
🔎 การตรวจวินิจฉัย
ในสถานการณ์จริง แพทย์มักต้อง "รักษาทันทีโดยดูจากประวัติและอาการ" เพราะการตรวจยืนยันใช้เวลานานเกินไป
✓
ประวัติ: การสัมผัสสาร, กลิ่นอัลมอนด์, อาการเกิดขึ้นพร้อมกันหลายคน (ในกรณีสูดดม), หรือพบขวดยา/ซองสารเคมีใกล้ตัว
✓
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ (Lab)
• เจาะเลือดพบภาวะเลือดเป็นกรดรุนแรง (High Anion Gap Metabolic Acidosis) และค่าแลคเตท (Lactate) สูงมาก
• เลือดดำมีสีแดงสดผิดปกติ (เพราะมีออกซิเจนเหลือเยอะ)
• ระดับไซยาไนด์ในเลือด (ใช้ยืนยันผลภายหลัง เพราะผลออกช้า)
🏥 การรักษาเบื้องต้นและในโรงพยาบาล
■
การปฐมพยาบาล (First Aid) - สำหรับผู้พบเห็น
1. ความปลอดภัยต้องมาก่อน: ระวังอย่าสูดดมหรือสัมผัสสารพิษจากผู้ป่วย
2. ห้ามผายปอดด้วยวิธีปากต่อปาก (Mouth-to-Mouth): เด็ดขาด! เพราะผู้ช่วยเหลืออาจได้รับพิษจากลมหายใจหรือสารที่ติดปากผู้ป่วย
3. นำผู้ป่วยออกจากจุดเกิดเหตุ: ไปยังที่อากาศถ่ายเทสะดวก
4. ถอดเสื้อผ้า: หากสงสัยว่าสารพิษเปื้อนเสื้อผ้า ให้ตัดหรือถอดออกแล้วใส่ถุงปิดสนิท (ระวังอย่าให้เสื้อผ้าสัมผัสผิวหนังส่วนอื่น) ล้างตัวด้วยน้ำและสบู่
5. รีบนำส่ง รพ. หรือโทร 1669 ทันที: แจ้งเจ้าหน้าที่ว่า "สงสัยได้รับสารพิษไซยาไนด์"
■
การรักษาในโรงพยาบาล (Hospital Care)
แพทย์จะทำการกู้ชีพพร้อมกับให้ยาแก้พิษทันที
1. ให้บำบัดด้วยออกซิเจน 100%: เพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือดให้มากที่สุด
2. การให้ยาต้านพิษ (Antidote): มียาเฉพาะทางที่ใช้แก้พิษไซยาไนด์ เช่น
• Sodium Nitrite / Amyl Nitrite: เปลี่ยนฮีโมโกลบินให้ช่วยจับไซยาไนด์ออกจากเซลล์ (แต่ทำให้ความดันตกได้ ต้องใช้ระวัง)
• Sodium Thiosulfate: ช่วยเปลี่ยนไซยาไนด์ให้เป็นสารที่ไม่มีพิษและขับออกทางปัสสาวะ
• ยาใหม่ (Hydroxocobalamin): หรือวิตามิน B12 รูปแบบเข้มข้น จะเข้าไปจับกับไซยาไนด์เปลี่ยนเป็นวิตามิน B12 ที่ไม่มีพิษและขับออกได้ (วิธีนี้ปลอดภัยและผลข้างเคียงน้อยที่สุดในปัจจุบัน)
บทสรุป: ไซยาไนด์คือภาวะฉุกเฉินวิกฤต การรอดชีวิตขึ้นอยู่กับ "ความเร็ว" ในการสังเกตเห็นความผิดปกติและการนำส่งถึงมือแพทย์ หากพบคนหมดสติไม่ทราบสาเหตุที่มีอาการหอบเหนื่อยรุนแรง หรือมีประวัติเสี่ยง ให้รีบแจ้งหน่วยแพทย์ฉุกเฉินทันที
ในฐานะแพทย์ การวินิจฉัย Cyanide toxicity เป็นภาวะที่ต้องแข่งกับเวลา (Time-critical diagnosis) เพราะการรอผล confirmatory test มักจะช้าเกินไปสำหรับการรักษาชีวิตผู้ป่วย ดังนั้น Key message สำคัญคือ "Treat clinically, Confirm later"
สำหรับการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ (Investigations) สามารถแบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก คือ Surrogate markers (สำหรับการตัดสินใจรักษา) และ Confirmatory tests
1️⃣ Surrogate Markers (สำคัญที่สุดสำหรับการตัดสินใจหน้างาน)
เนื่องจาก Cyanide ยับยั้งกระบวนการ Cellular respiration (ที่ Cytochrome c oxidase ใน mitochondria) ทำให้เนื้อเยื่อใช้ออกซิเจนไม่ได้ เกิดเป็น Anaerobic metabolism อย่างรุนแรง สิ่งที่ต้องตรวจทันทีคือ
✓
Serum Lactate (Plasma Lactate)
• เป็นตัวบ่งชี้ที่มีประโยชน์ที่สุดในทางคลินิก (Sensitivity และ Specificity สูงในบริบทที่สงสัย)
• Cut-off: ระดับ Lactate > 8-10 mmol/L (หรือ > 72-90 mg/dL) ในผู้ป่วยที่สงสัยการได้รับสารพิษ (เช่น เหยื่อไฟไหม้ หรือกินสารเคมี) บ่งชี้ว่ามีโอกาสสูงมากที่จะเป็น Cyanide toxicity
Note: Correlation ระหว่างระดับ Lactate กับระดับ Cyanide ในเลือดมีความสัมพันธ์กันสูงมาก
✓
Arterial Blood Gas (ABG) & Electrolytes
• Findings: จะพบ High Anion Gap Metabolic Acidosis (HAGMA) อย่างรุนแรง
• ค่า pH มักจะต่ำมาก (Acidemia) ร่วมกับ Bicarbonate ต่ำ
✓
‼️ Venous Blood Gas (VBG) - mixed venous oxygen saturation (SvO2) ‼️
• Findings: พบค่า SvO2 สูงผิดปกติ (Elevated mixed venous oxygen saturation)
• Mechanism: เนื่องจากเนื้อเยื่อไม่สามารถดึง Oxygen จากเลือดไปใช้ได้ (Uncoupling of oxidative phosphorylation) ทำให้เลือดดำที่ไหลกลับหัวใจยังมี Oxygen เหลืออยู่สูงมาก อาจเห็นสีเลือดดำแดงสดคล้ายเลือดแดง (Arterialization of venous blood)
Clinical Pearl: การพบ Narrow AVDO2 (Arteriovenous oxygen difference) คือความแตกต่างของ O2 ในเลือดแดงและดำน้อยลง เป็น sign ที่จำเพาะมาก
★
ค่า Venous blood gas O2 saturation (SvO2 หรือ ScvO2)
โดยทั่วไป จุดตัด (Cut-off) ที่ตำราและ Evidence ส่วนใหญ่แนะนำให้สงสัยคือ SvO2 > 90% (หรือค่าที่สูงกว่า 80% ในผู้ป่วยที่ดูอาการหนัก/Shock)
ทำไมตัวเลขนี้ถึงสำคัญ? (The Clinical Paradox) ⚠️
ความผิดปกตินี้เรียกว่า "Arterialization of Venous Blood" ซึ่งเกิดจากกลไกที่ขัดแย้งกับสรีรวิทยาปกติของผู้ป่วยวิกฤต
1. ในผู้ป่วย Shock ทั่วไป (Septic, Cardiogenic, Hypovolemic)
• เลือดไหลเวียนช้าลง (Low Cardiac Output)
• ร่างกายพยายามดึงออกซิเจนไปใช้ให้มากที่สุด (High extraction ratio)
• ผลลัพธ์: เลือดดำที่ไหลกลับหัวใจจะมีออกซิเจนเหลือน้อยมาก (SvO2 มักจะต่ำ < 65-70%)
2. ในผู้ป่วย Cyanide Toxicity
• Cyanide ไปบล็อก Cytochrome c oxidase (Complex IV) ใน Mitochondria
• เซลล์ "ดึงออกซิเจนไปใช้ไม่ได้" (Uncoupling of oxidative phosphorylation)
• ออกซิเจนจึงเหลือค้างอยู่ในเลือดแดง แล้วไหลผ่าน Capillary bed กลับมาสู่เลือดดำเต็มไปหมด
• ผลลัพธ์: เลือดดำจึงมีค่า Saturation สูงลิ่ว (SvO_2 สูง > 90%) และสีของเลือดดำอาจจะดูแดงสดคล้ายเลือดแดง (Bright red venous blood)
🔑 Key Diagnostic Triad
หากในสถาณการณ์ที่สงสัยและเจอผู้ป่วยที่มีอาการหนัก (Shock/Coma/Acidosis) แต่ผล Lab ขัดแย้งกัน 3 ข้อนี้ ให้สงสัย Cyanide ทันที
1. Lactate สูง (> 8-10 mmol/L) บ่งบอกว่าเซลล์ขาดออกซิเจน
2. SvO2 สูง (> 90%) แต่เลือดกลับมีออกซิเจนเหลือเฟือ
3. Narrow AVDO2 Difference ความต่างของออกซิเจนในเลือดแดงกับเลือดดำแคบมาก เพราะเซลล์ไม่ดึงไปใช้
2️⃣ Confirmatory Test (สำหรับการยืนยันและนิติเวช)
✓
Whole Blood Cyanide Level เป็นการตรวจยืนยัน (Gold standard)
• ข้อจำกัด: มักใช้เวลาหลายวันหรือเป็นสัปดาห์กว่าจะทราบผล (Send-out lab) จึง ไม่ใช้ ในการตัดสินใจเริ่มยาต้านพิษ (Antidote)
• ระดับที่เป็นพิษ: > 0.5 - 1 mg/L (Toxic), > 3 mg/L (Potentially lethal)
🏥 การรักษา
หลักการรักษา Cyanide toxicity คือ "Empiric Treatment ทันที" โดยไม่ต้องรอผล Lab ยืนยันครับ เพราะผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้ในหลักนาที
แนวทางการรักษาแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนหลัก ดังนี้
1️⃣ Resuscitation & Decontamination (ABC & Safety)
• Safety First: บุคลากรต้องระวังการได้รับพิษจากการสัมผัสสารคัดหลั่งหรือเสื้อผ้าผู้ป่วย (โดยเฉพาะกรณี ingestion หรือ skin exposure) ควรใส่ PPE ให้เหมาะสม
• 100% Oxygen: ให้ High-flow 100\% O2 (non-rebreather mask หรือ ET-tube) ทันที ; เหตุผล: แม้ O2 sat จะดูปกติ แต่การเพิ่ม PaO2 จะช่วยเพิ่ม gradient ในการขับสารพิษและช่วยการทำงานของ Antidote (synergistic effect)
• IV Fluids & Vasopressor: แก้ไขภาวะ Hypotension
• Gastric Lavage/Activated Charcoal: พิจารณาทำในกรณี Oral ingestion และมาถึง รพ. เร็ว (ภายใน 1 ชม.) แต่ต้องระวัง Aspiration เพราะผู้ป่วยมักจะซึมเร็วมาก
2️⃣ Specific Antidotes (หัวใจสำคัญ)
การเลือก Antidote ขึ้นอยู่กับ ประวัติ (History) และ ยาที่มีใน รพ.
■
Option A: Hydroxocobalamin (Cyanokit)
(Preferred First Line โดยเฉพาะในผู้ป่วย Fire/Smoke Inhalation)
กลไก: ตัวยาคือ Vitamin B12 precursor จะเข้าไปจับกับ Cyanide โดยตรง เปลี่ยนเป็น Cyanocobalamin (Vitamin B12) ซึ่งไม่มีพิษและขับออกทางปัสสาวะ
Dose: 5 g IV drip ใน 15 นาที (ผู้ใหญ่) , สามารถซ้ำได้อีก 5 g (รวม 10 g) ถ้าอาการไม่ดีขึ้น
ข้อดี
• ไม่รบกวนการขนส่งออกซิเจน (ไม่ทำให้เกิด Methemoglobinemia)
• ปลอดภัยในผู้ป่วยที่สงสัย Carbon Monoxide poisoning ร่วมด้วย (เช่น เหยื่อไฟไหม้)
Side effect: ปัสสาวะและผิวหนังจะเปลี่ยนเป็น สีแดงเข้ม (Red discoloration) นานหลายวัน (ต้องระวัง Lab error บางค่าที่ใช้ colorimetric assay)
■
Option B: Sodium Nitrite + Sodium Thiosulfate (Cyanide Antidote Kit)
(Classic Regimen - ใช้เมื่อมั่นใจว่า ไม่ใช่ กรณีไฟไหม้ หรือไม่มี Hydroxocobalamin)
ยาชุดนี้ประกอบด้วย 2 ตัว ต้องให้ตามลำดับ
1. Sodium Nitrite
กลไก: สร้าง Methemoglobin เพื่อไปแย่งจับ Cyanide จาก tissues ให้มาอยู่ในเลือดแทน (เกิดเป็น Cyanomethemoglobin)
Dose: 300 mg (10 mL of 3% solution) IV ช้าๆ ใน 2-5 นาที
ข้อควรระวัง (Major Warning)
• ทำให้เกิด Hypotension ได้ถ้าให้เร็วเกินไป
• ห้ามใช้ใน Smoke Inhalation หรือผู้ป่วยที่มี CO toxicity ร่วมด้วย เพราะการสร้าง MetHb จะยิ่งทำให้ผู้ป่วยขาดออกซิเจนจนเสียชีวิตได้
2. Sodium Thiosulfate
กลไก: เป็น Sulfur donor ให้ enzyme Rhodanese เปลี่ยน Cyanide ให้กลายเป็น Thiocyanate ซึ่งไม่มีพิษและขับออกทางไต
Dose: 12.5 g (50 mL of 25% solution) IV bolus (ให้ต่อจาก Nitrite หรือให้คู่กับ Hydroxocobalamin ก็ได้)
3️⃣ Supportive Care & Monitoring
• Acidosis: โดยปกติภาวะ Lactic acidosis จะดีขึ้นเองหลังได้รับ Antidote ที่ได้ผล ไม่แนะนำให้ Sodium Bicarbonate เว้นแต่ pH ต่ำมาก (< 7.0-7.1) หรือมีผลต่อ Hemodynamics
• Seizure: รักษาด้วย Benzodiazepines เป็นตัวแรก
• ECG Monitoring: เฝ้าระวัง Arrhythmia
😭 กรณีที่ไม่มียา specific antidote
ในกรณีที่โรงพยาบาล ไม่มียาแก้พิษจำเพาะ (No Specific Antidotes) เลย (ไม่มีทั้ง Hydroxocobalamin และ Sodium Nitrite/Thiosulfate) สถานการณ์จะวิกฤตมากครับ เพราะอัตราการเสียชีวิตจะสูงมาก
แนวทางการรักษาต้องเปลี่ยนเป็น Aggressive Supportive Care อย่างเต็มที่ เพื่อซื้อเวลาให้ตับ (Rhodanese enzyme ตามธรรมชาติ) และไต พยายามกำจัดสารพิษเอง ซึ่งมีหลักการปฏิบัติ
1. Oxygen คือ "Antidote" ที่ดีที่สุดที่มีอยู่
• Action: ใส่ ET-Tube และให้ 100% Oxygen (FiO2 1.0) ตลอดเวลา
• Hyperbaric Oxygen (HBO): หากโรงพยาบาลมี HBO chamber และผู้ป่วยเคลื่อนย้ายได้ (ซึ่งมักจะทำยากในผู้ป่วย unstable) การทำ HBO ถือเป็นทางเลือกที่มีประโยชน์ในกรณีที่ไม่มี Antidote
2. Aggressive Decontamination (สำคัญมากกรณี Ingestion)
ถ้าผู้ป่วย กิน สารพิษเข้าไป และมาถึงเร็ว (ภายใน 1 ชั่วโมง) ต้องรีบเอาสารพิษออกจากกระเพาะให้มากที่สุดเพื่อลด absorption
• Gastric Lavage: พิจารณาทำทันทีหลัง protect airway
• Activated Charcoal: ให้ขนาด 1 g/kg (Multiple-dose activated charcoal อาจมีประโยชน์ในการดักจับสารพิษที่ยังไม่ดูดซึม)
3. Hemodynamic Support (ประคับประคองรอเวลา)
ผู้ป่วยจะเสียชีวิตจาก Refractory hypotension และ Cardiac arrest เป็นหลัก
• Vasopressors: ต้องให้ยากระตุ้นความดันโลหิต (เช่น Norepinephrine) อย่างรวดเร็วและ titrate dose สูงเพื่อ maintain MAP
• Correction of Acidosis: แม้ต้นเหตุคือ Cyanide แต่หาก pH ต่ำมาก (< 6.9 - 7.0) การให้ Sodium Bicarbonate แบบ aggressive เพื่อดึง pH ขึ้นมาชั่วคราว อาจช่วยให้ Vasopressor ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น และซื้อเวลาให้หัวใจทำงานต่อได้ (แม้จะไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุก็ตาม)
4. ตรวจสอบ "แหล่งยาทางเลือก" ในโรงพยาบาล (Hidden Sources)
ลองเช็คห้องยาหรือ ER ดูว่ามีสิ่งเหล่านี้หลงเหลืออยู่หรือไม่
• Amyl Nitrite Inhalant: ในกล่องยาฉุกเฉินรุ่นเก่า (Emergency kit สมัยก่อน) อาจจะมี Amyl nitrite แบบดม (poppers) เหลืออยู่
วิธีใช้: หักหลอดในผ้ากอซ แล้วจ่อที่จมูกหรือท่อช่วยหายใจ (Ambu bag intake) นาน 15-30 วินาที ทุกๆ นาที
• Sodium Thiosulfate (ผง/สารเคมี): บางครั้งเภสัชกรรมอาจมีสารเคมีตัวนี้ในรูปแบบ bulk substance (ใช้ผสมยาโรคผิวหนัง หรือใช้ในงานเภสัชกรรมอื่น)
ถ้ามีและสามารถเตรียมเป็น Sterile solution ได้ ก็สามารถนำมาใช้ทาง IV ได้ (ในสถานการณ์ Life-saving ที่ไม่มีทางเลือกอื่น)
ความรู้รอบตัว
สุขภาพ
การแพทย์
บันทึก
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
รวมความรู้ทางการแพทย์ทั่วไป
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย