2 ส.ค. เวลา 14:00 • ข่าวรอบโลก
เวียดนาม

เวียดนามจะก้าวขึ้นมาระดับแนวหน้าได้หรือไม่?

การที่คุณจะเหนือกว่าคนอื่นหรือไม่นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนอื่นเสมอไป บางครั้งมันอาจขึ้นอยู่กับว่าคุณทำตัวไร้ค่าหรือไม่ (ภาพปกจากFBคุณ Sarawut Niamloi )
หากคุณไร้ค่ามากพอ การที่คนอื่นจะเหนือกว่าคุณก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
1
ดูเหมือนว่าคนจำนวนมากจะมองเวียดนามในแง่ดี ถ้าคุณมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับเวียดนาม ผมก็จะขอมองโลกในแง่ดีเช่นเดียวกัน!
1
....สงสารประเทศไทย...
แต่เมื่อไม่นานมานี้ การมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับเวียดนาม
ก็ทำให้มีข่าวสำคัญๆหลายข่าวจากเวียดนามที่น่าสนใจ
1. เวียดนามได้ดำเนินการปฏิรูปสถาบันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
โดยลดกระทรวงกลางและหน่วยงานบริหารระดับจังหวัดลงอย่างมีนัยสำคัญ
งานนี้เวียดนามได้ลดระดับการบริหาร และลดจำนวนข้าราชการ
และสถาบันสาธารณะที่ต้องพึ่งพางบประมาณลง 250,000 คน
2. เวียดนามกลายเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ที่บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐอเมริกา
โดยสหรัฐฯ จะไม่เก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ
1
ขณะที่สหรัฐฯ ได้เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนาม 40%
และภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นๆ ที่ขนส่งผ่านเวียดนามมายังสหรัฐฯ 46%
3. ผู้นำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามย้ำในการประชุมนานาชาติว่า
เวียดนามจะกลายเป็น "ประเทศพัฒนาแล้วที่มีรายได้สูง" ภายในปี 2588
4. อัตราการเติบโตของ GDP ของเวียดนามในช่วงครึ่งแรกของปีนี้สูงถึง 7.52%
ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี ในช่วงครึ่งปีแรก การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น 8.1%
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเช่นเดียวกัน
และการส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้น 14.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ข่าวทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงลำพัง หรือแยกออกจากกันนะครับ
แต่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด
1
กล่าวโดยรวม คือ เวียดนามตระหนักดีว่านี่เป็นโอกาสการพัฒนาที่หาได้ยากได้เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งพันปี
และจะคว้าโอกาสนี้ไว้ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
เวียดนามหวังที่จะเปลี่ยนตัวเองจากประเทศยากจนไปสู่ "ประเทศพัฒนาแล้วที่มีรายได้สูง" ผ่านความพยายามอย่างหนักตลอด 20 ปี
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ เขาต้องเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาเสียก่อน
ดังนั้น เวียดนามจึงกลายเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ที่บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐอเมริกา
และยอมรับ "สนธิสัญญาที่ไม่เท่าเทียม" ของสหรัฐอเมริกา
1
เวียดนามได้ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เป็นศูนย์ ยอมรับภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น (20%) ของสหรัฐฯ ต่อเวียดนาม
และยกเลิกการส่งออกซ้ำ (อัตราภาษีนำเข้า 46 %) โดยจะเห็นได้ว่า
โอกาสมากมายสำหรับเวียดนามนี้เกิดจากยุทธศาสตร์การควบคุมจีนของสหรัฐอเมริกา
ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในยุคโอบามา
1
ในขณะนั้น “ข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก” (TPP)
ซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น
ซึ่งกำหนดเกณฑ์ที่เข้มงวด พวกเขาได้เชิญเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศยากจน ให้เข้าร่วม
1
โดยมีเป้าหมายเพื่อชี้นำบริษัทข้ามชาติให้ย้ายกำลังการผลิตจากจีนมายังเวียดนาม
ตั้งแต่ โอบามา ทรัมป์ ไบเดน ไปจนถึงทรัมป์ ต่างก็หวังว่าบริษัทข้ามชาติจะย้ายกำลังการผลิตจากจีนเพื่อสกัดกั้นการพัฒนาของพี่จีนในอนาคต
แต่ๆๆๆๆๆ ...ไม่ใช่ทุกประเทศที่จะเหมาะสมที่จะเป็นโรงงานของโลกนะครับ
ผมขอยกตัวอย่างเช่น
ในประเทศอินเดียที่มีประชากร 1.4 พันล้านคน แต่ด้วยปัจจัยทางวัฒนธรรมและศาสนา
ความปรารถนาที่จะหารายได้ของประชาชนจึงไม่สูงนัก และประสิทธิภาพการผลิตก็ดูไม่สูงสักเท่าไหร่
ทางด้าน เวียดนาม ที่บรรจุอยู่ในกลุ่มแนววัฒนธรรมของขงจื๊อ ประชาชนมีความขยันขันแข็งและมีจิตสำนึกแบบรวมหมู่ พวกเขาชอบหารายได้ ชอบบริโภค และชอบเปรียบเทียบ
1
พวกเขาเกิดมาเพื่อเป็นแรงงานที่ดี
1
แม้ว่าเวียดนามจะมีพื้นที่ไม่กว้างใหญ่และมีประชากรเพียง 100 ล้านคน แต่ก็สามารถเบี่ยงเบนกำลังการผลิตของประเทศชั้นนำได้อย่างมาก
1
หากด้วยความร่วมมือจากเม็กซิโก อินเดีย อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และบังกลาเทศ
มันจะทำให้กลุ่มแนววัฒนธรรมแบบพุทธนิกายนี้
สามารถบรรลุเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาได้
แต่ เวียดนามไม่ได้โง่นะครับ
1
พวกเขาเคยประสบกับความยากจนจากการตามรอยสหภาพโซเวียต
#วันนี้เขมรโกหกอะไร
และได้เห็นผ่านสายตาตนเอง
ในความเจริญรุ่งเรืองของจีนในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา
เมื่อเห็นว่าได้ถึงเวลาของพวกเขา(ที่จะหาเงิน) พวกเขาจะไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปอย่างแน่นอน
หลังจากที่ทรัมป์ถอนตัวออกจาก TPP องค์กรนี้ได้พัฒนาเป็น CPTPP (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership)
ซึ่งยังคงเป็นกลไกการค้าเสรีที่มีมาตรฐานสูงสุดในโลก
เวียดนามจึงกลายเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งและได้รับการอนุมัติที่สำคัญ
ปัจจุบัน เวียดนามได้บรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา
มันได้ขจัดอุปสรรคทางการค้ากับประเทศตะวันตก และกลายเป็นหนึ่งใน
ผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากระเบียบโลกใหม่ หลังจากแก้ไขปัญหาสภาพแวดล้อมการพัฒนาแล้ว
เวียดนามก็เริ่มหันกลับมามุ่งเน้นภายในประเทศ
โดยพยายามปรับปรุงสถาบัน
1
เพิ่มประสิทธิภาพ ปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจผ่านการปฏิรูปรัฐบาลขนาดใหญ่
เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
กระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนภายในประเทศ และใช้ทรัพยากรทางการเงินมากขึ้น
มาดูกันในด้านการศึกษาและโครงสร้างพื้นฐาน กันดักว่า...
แทนที่จะเลี้ยงเจ้าหน้าที่จำนวนมากที่กินเงินงบประมาณแผ่นดิน
1
และปล่อยให้พวกเขาแสวงหาผลประโยชน์จากวิสาหกิจเมื่อพวกเขาไม่มีอะไรทำ.... ฮาาาา
เอาล่ะๆๆๆ เพื่อทำความเข้าใจในข้อนี้ ผมขอนำเพื่อนๆกลับไปก่อนการปฏิรูปกันนะครับ
ในตอนนั้น 70% ของรายได้ทางการคลังของเวียดนามถูกนำไปใช้เลี้ยงข้าราชการและสถาบันสาธารณะ
และ ณ ตอนนี้ หวังว่าการลดขนาดจะช่วยลดจำนวนข้าราชการและสถาบันสาธารณะได้มากกว่า 250,000 คน
เป้าหมายสูงสุดคือ 50% ของรายได้ทางการคลังถูกนำไปใช้เพื่อช่วยเหลือประชาชน
และอีก 50% นำไปใช้ในด้านการศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน และด้านอื่นๆ
โดยผ่านมาตรการเฉพาะเจาะจง
ที่ประกอบด้วย การลดจำนวนกระทรวงกลางอย่างมีนัยสำคัญ
1
และริเริ่มปรับปรุงสถาบันกลาง
ก่อนการปฏิรูป รัฐบาลกลางของเวียดนามมีอยู่จำนวน 22 กระทรวง
และหน่วยงานระดับรัฐมนตรีโดยตรง 8 แห่ง
หลังจากการลดขนาดในปีนี้ จำนวนกระทรวงลดลงเหลือ 14 กระทรวง และจำนวนหน่วยงานโดยตรงลดลงเหลือ 3 กระทรวง
1
โดยเพิ่มการรวมเขตการปกครองระดับจังหวัด
ซึ่งจะช่วยลดจำนวนจังหวัดที่ต้องดูแลลงเกือบครึ่งหนึ่ง
งานนี้ หน่วยงานบริหารระดับจังหวัด 63 แห่งของประเทศจะถูกปรับลดเหลือ 34 แห่ง ซึ่งประกอบด้วย 28 จังหวัด และ 6 เทศบาล
ผนวกด้วย การลดขนาดการบริหาร โดยรัฐบาลท้องถิ่นจะยังคงใช้รูปแบบการบริหารแบบสองระดับตามปกติ คือ “จังหวัดและตำบล” ต่อไป
แต่การปฏิรูปครั้งนี้ได้ยกเลิกเขตการปกครองระดับอำเภอ และการลดขนาดการบริหารท้องถิ่นจาก 3 ระดับเหลือ 2 ระดับ
ซึ่งสามารถลดจำนวนตำบลในประเทศลงได้2/3 และลดขนาดของทีมงานพลเรือนระดับรากหญ้าลงไปด้วยในตัว
1
ด้วยเหตุนี้ กระทรวงมหาดไทยของเวียดนามจึงได้จัดสรรเงินชดเชยการเลิกจ้างประมาณ 130 ล้านล้านดองเวียดนาม (ประมาณ 161,057 ล้านบาท)
และทางเวียดนามเองก็เรียกการปฏิรูปนี้ว่า “การฟื้นฟูประเทศ”
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในเจตนารมณ์ของตนเองเป็นอย่างมาก
1
แล้ว......เวียดนามจะสามารถเข้าร่วมกลุ่ม "ประเทศพัฒนาแล้วที่มีรายได้สูง" ได้จริงหรือไม่ในอีก 20 ปีข้างหน้า?
สำหรับผมมันหมายความว่าอย่างไร?
เอาล่ะๆๆๆๆ เป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้วนะครับว่า มันแทบไม่มีมาตรฐานเดียวสำหรับเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้วในโลก
โดยทั่วไปแล้วเชื่อกันว่าประเทศที่มี GDP (Gross Domestic Product) ต่อหัวมากกว่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ จะถือเป็นเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว
ประเทศที่มี GDP ต่อหัวมากกว่า 25,000 หรือ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นเศรษฐกิจที่พัฒนาปานกลาง
และประเทศที่มี GDP ต่อหัวมากกว่า 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว
ปัจจุบันมี 3 ประเทศและ 3 ภูมิภาคในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ตรงตามมาตรฐานนี้ ได้แก่
สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ โดยมี GDP ต่อหัวอยู่ที่ 88,900 ดอลลาร์สหรัฐ 32,400 ดอลลาร์สหรัฐ และ 36,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 ตามลำดับ
ฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน มีมูลค่าประมาณ 54,000 ดอลลาร์สหรัฐ 73,000 ดอลลาร์สหรัฐ และ 34,000 ดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ
ซึ่งเป้าหมายของเวียดนามในปี 2588 จะต้องเทียบเท่ากับ "ประเทศพัฒนาแล้วที่มีรายได้สูง" ในระดับใดกันล่ะ?
กล่าวคือ การเทียบเท่ากับเป้าหมายปี 2578 ใน "กลยุทธ์สองขั้นตอน" ซึ่งจะเป็น "ประเทศพัฒนาปานกลาง" ในลำดับแรกก่อน...
1
หากเมื่อเรา เมื่อคำนวณจากราคาคงที่ในปีถัดไป ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวจะต้องสูงถึงอย่างน้อย 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ
หมายความว่าเวียดนามวางแผนที่จะลดช่องว่างจากประมาณการ 20 ปีเหลือประมาณ 10 ปี
1
แต่ในความเห็นส่วนตัว ผมเข้าใจว่า เวียดนามต้องการไล่ตามระดับการพัฒนาของญี่ปุ่นและสิงคโปร์ภายใน 20 ปี
แต่ความเป็นไปได้นี่ อาจเป็น..... ศูนย์
เวียดนามยังคงอยู่ในขั้นการผลิตแบบ Original Equipment Manufacturer
ระหว่างประเทศ
ซึ่ง OEM หรือผู้รับจ้างผลิตสินค้านี้จะหมายถึงธุรกิจที่รับผลิตสินค้าให้กับแบรนด์อื่นๆ ตามที่ลูกค้ากำหนด โดยลูกค้าจะเป็นผู้กำหนดรายละเอียดต่างๆ ของสินค้า
ดังนั้นในปัจจุบันมีเพียง OEM ของเวียดนามเท่านั้น แต่ไม่มีการผลิตแบบเวียดนามที่แท้จริง
1
นับประสาอะไรกับ "การสร้างสรรค์" และ "การผลิตอัจฉริยะ" ของเวียดนาม
ผมจึงเห็นว่าโดยพื้นฐานแล้วเป็นไปไม่ได้ที่เวียดนามจะผ่านขั้นเหล่านี้ภายใน 20 ปี
แม้ว่าเราจะเข้าใจเอาเองว่าเวียดนามจะมุ่งสู่ "ประเทศพัฒนาปานกลาง" แต่เป้าหมายของเวียดนามก็มีความทะเยอทะยานเป็นอย่างมาก
การปฏิรูปและเปิดประเทศของเวียดนามนั้นก็ไม่เชื่องช้านะครับ ซึ่งในขณะนั้นเวียดนามยังคงอยู่ในค่ายโซเวียต
จนกระทั่งปี 2534 เวียดนามจึงฟื้นฟูความสัมพันธ์กับจีน
และเป็นการยอมรับจากโลกตะวันตก
ในปี 2538 เวียดนามก็ได้พยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา(ให้เป็นปกติ) เพื่อการเปิดประเทศอย่างเต็มที่อย่างแท้จริงต่อโลกตะวันตก
จะเห็นได้ว่า ในปี 2567 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ต่อหัวของเวียดนามอยู่ที่เพียง 4,700 ดอลลาร์สหรัฐ
1
ต่อมา เวียดนามได้กำหนดเป้าหมาย GDP ต่อหัวสำหรับปี 2588 ไว้ที่ระดับประเทศพัฒนาปานกลาง (>25,000 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งประกาศไว้ค่อนข้างชัดเจน
แต่เวียดนามก็มีข้อได้เปรียบของตัวเอง นั่นคือช่องว่างภายในประเทศไม่กว้างนัก สภาพธรรมชาติโดยทั่วไปดี มีแนวชายฝั่งที่ยาว
และต้นทุนการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่ำ
หากยุโรปและสหรัฐอเมริกาสนับสนุนอย่างเต็มที่ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุเป้าหมายข้างต้น
หากกล่าวถึงสภาพธรรมชาติโดยทั่วไป ที่จะหลีกเลี่ยงไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือ ในแง่ของระบบที่ดินและกรรมสิทธิ์
ในเรื่องที่ดินและกรรมสิทธิ์ เวียดนามจะไม่เหมือนของไทยนะครับ โดยเวียดนามจะมีการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์และสิทธิการใช้ที่ดิน
กรรมสิทธิ์ในที่ดินในเวียดนามทั้งหมดจะเป็นของประชาชนทั้งหมด และทั้งหมดมีสิทธิในการใช้ที่ดิน
1
กล่าวคือ ในมาตรา 17 ของรัฐธรรมนูญเวียดนาม (แก้ไขเพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2556) ระบุว่าทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ที่ดิน ภูเขา ป่าไม้ และแม่น้ำ
เป็นของประชาชนทั้งหมด และรัฐในฐานะตัวแทนของประชาชนทั้งหมด จะต้องบริหารจัดการที่ดินอย่างเท่าเทียมกัน
มาตรา 18 ระบุว่ารัฐต้องรับรองการใช้ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพผ่านการวางแผนและกฎหมาย และมอบที่ดินให้แก่องค์กรหรือบุคคลเพื่อการใช้งานในระยะยาว
แต่ผู้ใช้ที่ดินมีสิทธิ์เพียงการใช้และโอนกรรมสิทธิ์เท่านั้น(ไม่ใช่กรรมสิทธิ์)
มีสิทธิในการใช้ที่ดินในเวียดนามสามารถสืบทอด โอน บริจาค หรือให้เช่าได้
สิทธิในการใช้ที่ดินในเวียดนามแบ่งออกเป็นการใช้ที่ดินระยะยาว และการใช้ที่ดินในระยะเวลาจำกัด
ส่วนระยะเวลาเช่าที่ดินแบบจำกัดระยะเวลาโดยทั่วไปมีตั้งแต่ 5, 20, 50, 70 หรือ 90 ปี ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของที่ดินและประเภทของผู้ลงทุน
1
กล่าวอีกนัยหนึ่ง สิทธิการใช้ที่ดินที่ชาวเวียดนามบางคนที่ได้รับนั้นเป็นสิทธิถาวรและสามารถสืบทอดได้
1
ตามมาตรา 634 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งเวียดนาม สิทธิการใช้ที่ดินสามารถสืบทอดเป็นมรดกได้
และวิธีการสืบทอดมรดกประกอบด้วยการสืบทอดตามกฎหมายและการสืบทอดตามพินัยกรรม
นอกจากนี้ยังกำหนดว่าเฉพาะพลเมืองเวียดนาม (รวมถึงชาวเวียดนามโพ้นทะเลที่ยังคงมีสัญชาติอยู่) เท่านั้น
ที่สามารถสืบทอดสิทธิการใช้ที่ดินเพื่ออยู่อาศัยในระยะยาวได้
หากทายาทไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการใช้ที่ดิน (เช่น ยกให้ชาวต่างชาติ) ทายาทจะได้รับมรดกเฉพาะมูลค่าทางเศรษฐกิจของสิทธิการใช้ที่ดิน (เงินชดเชย) เท่านั้น
1
และไม่สามารถขอรับหนังสือรับรองสิทธิการใช้ที่ดินที่แท้จริงได้
จะเห็นได้ว่า เวียดนามที่มั่งคั่งและเปิดกว้างย่อมดีกว่าเวียดนามที่ยากจนและปิดประเทศเสมอ
1
หากชาวเวียดนามหยุดก่อปัญหา เรียนรู้จากความผิดพลาด และค่อยๆ ถอนตัวจากความฝันอันลวงตาของคอมมิวนิสต์
พวกเขาจะต้องมีชีวิตที่ดีอย่างแน่นอน
เท่าที่ผ่านมาเวียดนามค่อยๆ ยืนหยัดขึ้นมาได้ ตั้งแต่ขยับเข้าใกล้สหรัฐอเมริกา และหากพวกเขาสามารถตามทันเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์
และไต้หวันได้นั้นถือเป็นเรื่องที่น่ายกย่องแล้ว
เมื่อพิจารณาจากการปฏิรูปเหล่านี้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเวียดนามจะกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียง...
1
โฆษณา