25 ก.ค. เวลา 14:00 • ข่าวรอบโลก
ไทย

ฉากนี้น่าตื่นเต้นกว่าละครสงครามธุรกิจ ในเงาของเกมมหาอำนาจ ! #ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด..

สงครามชายแดนปะทุขึ้นอีกครั้ง สาเหตุภายใต้เบื้องหลังความขัดแย้งไทย-กัมพูชา และเงาของเกมมหาอำนาจ
นี่คือ ความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศของทั้งสองประเทศและเกมระหว่างอำนาจภายนอก
1
ในปีนี้ (2568) ความขัดแย้งทางอาวุธบริเวณชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง
เปลวเพลิงสงครามโหมกระหน่ำรอบปราสาทพระวิหารและพื้นที่พิพาทโดยรอบ ดึงดูดความสนใจจากประชาคมโลกอย่างมาก
แม้เผินๆ อาจดูเหมือนเป็นการเผชิญหน้าทางทหารที่เกิดจากข้อพิพาททางดินแดน
แต่เบื้องหลังกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกทางชาติพันธุ์ที่ซับซ้อน ความแตกต่างทางศาสนา เกมการเมืองภายในประเทศ และกลยุทธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ของมหาอำนาจ
โดยบทความนี้จะวิเคราะห์สาเหตุของความขัดแย้งนี้ด้วยความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆนะครับ ผิดตกลบฟ้องให้ลบโพสต์ได้ตามสบายนะครับ
ด้วยการสำรวจบทบาทอันลึกซึ้งของปัจจัยทางชาติพันธุ์และศาสนาอันยาวนานของผม
1
และพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากประวัติศาสตร์(อาณานิคมของฝรั่งเศส)และการแทรกแซงของอเมริกาในปัจจุบัน
1
เพื่อให้เปิดสมองเปิดเผยภาพรวมของวิกฤตการณ์ชายแดนครั้งนี้ตามแบบฉบับมุกเก่าๆกันอีกสักครั้ง....
เริ่มที่ชนวนความขัดแย้ง ความคั่งแค้นที่สืบทอดกันมายาวนานนับศตวรรษของปราสาทพระวิหาร
ผมขอย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 กองทัพไทยและกัมพูชาได้ยิงต่อสู้กันสั้นๆ รอบปราสาทพระวิหาร
ทั้งสองฝ่ายได้เพิ่มกำลังทหารและปิดด่านชายแดนทันที
1
ทำให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ตามรายงานระบุว่า ฝ่ายกัมพูชาเริ่มปฏิบัตการทางทหารจนกระสุนลงมายังฝ่ายไทย ตามมาเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ไทยได้ใช้เครื่องบินขับไล่ F-16 โจมตีเป้าหมายในกัมพูชา
1
และภายหลังทั้งสองฝ่ายยังคงใช้ปืนครกยิงตอบโต้กัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่าสิบคนและทำให้ประชาชนหลายพันคนต้องพลัดถิ่น
2
สาเหตุโดยตรงของความขัดแย้ง คือ กับระเบิดที่ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ก่อให้เกิดข้อพิพาทเรื่องดินแดนที่ยืดเยื้อ
ปราสาทเขาพระวิหารเป็นปราสาทโบราณแบบเขมรที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 ตั้งอยู่บนหน้าผาบนชายแดนไทย-กัมพูชา
กรรมสิทธิ์ของปราสาทแห่งนี้เป็นที่ถกเถียงกันมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20
ต่อมาในปี พ.ศ. 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ได้ตัดสินว่าปราสาทเป็นของกัมพูชา แต่กรรมสิทธิ์ในพื้นที่โดยรอบประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตรยังไม่ชัดเจน โดยแต่ละฝ่ายมีความคิดเห็นเป็นของตนเอง
พื้นที่คลุมเครือแห่งนี้กลายเป็นแหล่งดินปืนสำหรับความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ โดยเคยเกิดการปะทะกันที่คล้ายคลึงกันนี้ในปี 2551 และ 2554
3
ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน เหตุการณ์นี้เป็นเพียงความต่อเนื่องของความคับข้องใจทางประวัติศาสตร์
1
แต่เหตุใดจึงทวีความรุนแรงขึ้นอย่างกะทันหันในปี 2568
เอาล่ะๆๆๆ คำตอบไม่ได้อยู่แค่ในพื้นที่เท่านั้นนะครับ แต่ยังอยู่ในความขัดแย้งที่หยั่งรากลึกระหว่างเชื้อชาติและศาสนาอีกด้วย
หากพูดกันถึง ความแตกแยกระหว่างเชื้อชาติและศาสนา นี่อาจเป็นการเผชิญหน้ากันนับพันปีระหว่างชาวเขมรและชาวไทย
ความขัดแย้งทางเชื้อชาติและศาสนาระหว่างไทยและกัมพูชามีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์อันลึกซึ้ง
กัมพูชามีชาวเขมรเป็นชนชาติหลักคิดเป็นประมาณ 90% ของประชากรทั้งหมด และนับถือศาสนาพุทธเถรวาท
ขณะที่ประเทศไทยมีชาวไทยเราเป็นศาสนิกชน ซึ่งนับถือศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลัก
2
แม้ว่าทั้งสองประเทศนับถือศาสนาพุทธ แต่ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ประจำชาติกลับยิ่งทำให้การเผชิญหน้ากันรุนแรงยิ่งขึ้น
เอาล่ะ ๆๆๆ มาที่ความรุ่งเรืองทางประวัติศาสตร์และความภาคภูมิใจของชาติในอาณาจักรเขมรกันก่อน
ชาวกัมพูชาถือว่าปราสาทพระวิหารเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรืองของอาณาจักรเขมร
2
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 ถึงศตวรรษที่ 13 อาณาจักรเขมรเจริญรุ่งเรืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และนครวัดและปราสาทพระวิหารต่างก็เป็นตัวแทนของจุดสูงสุดทางวัฒนธรรม
การที่ชาวกัมพูชายึดมั่นในมรดกทางประวัติศาสตร์นี้อย่างเหนียวแน่น ทำให้พวกเขายึดมั่นในทัศนคติที่มีต่ออำนาจอธิปไตยของปราสาท
และการประนีประนอมใดๆ ถือเป็นการทรยศต่อศักดิ์ศรีของชาติ ซึ่ง ฮุนเซน เคยอ้างระหว่างการตรวจชายแดนเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ว่า
กัมพูชามีอาวุธที่สามารถโจมตีกรุงเทพฯ ได้ทุกเมื่อ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของความรู้สึกชาตินิยมนี้ .
2
ดังนั้น นี่จึงเป็นตัวอย่างทางด้านชาตินิยมและความทรงจำทางประวัติศาสตร์ของพวกเขา
ในทางตรงกันข้าม ในประเทศไทย ชาวไทยอพยพลงใต้จาก ตะวันออกเฉียงใต้ในศตวรรษที่ 11 โน้นนนนน.. (ในอดีต มีแนวคิดที่ว่าชนชาติไทยมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาอัลไต ซึ่งปรากฏในหนังสือ "หลักไทย" ของ ขุนวิจิตรมาตรา)แล้วค่อยๆ เข้ามาแทนที่อำนาจของอาณาจักรเขมรเหนือคาบสมุทรอินโดจีน
1
และสถาปนาอาณาจักรต่างๆ เช่น สุโขทัยและอยุธยาขึ้น (ผิดถูกอย่างไร บอกกันด้วยนะครับ อันนี้ต้องขอขอบพระคุณไว้ล่วงหน้า)
จนปัจจุบันคนไทยมองว่าปราสาทพระวิหารเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ และเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจในชาติ
1
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศ ข้อพิพาทเรื่องพรมแดนมักถูกนักการเมืองใช้เป็นเครื่องมือปลุกปั่นอารมณ์ชาตินิยมเพื่อเบี่ยงเบนความขัดแย้งภายในประเทศ
1
เช่น ความขัดแย้งในปี พ.ศ. 2551 เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศไทย และความขัดแย้งในปี พ.ศ. 2568 ก็เกิดขึ้นพร้อมกับวิกฤตการณ์การปกครองของรักษาการนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน
มาที่...อิทธิพลอันละเอียดอ่อนของปัจจัยทางศาสนา กันต่อนะครับ
แม้ว่าทั้งสองประเทศจะนับถือพุทธศาสนา และจริงๆ ศาสนาเองก็ไม่ใช่แกนหลักของความขัดแย้ง
แต่ปราสาทพระวิหารในฐานะสถานที่สำคัญทางศาสนาและวัฒนธรรม มีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ของอัตลักษณ์ประจำชาติ
ปราสาทพระวิหารไม่เพียงแต่เป็นสมบัติของวัฒนธรรมเขมรเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนาอีกด้วย
1
ทั้งสองฝ่ายต่างมองว่าปราสาทพระวิหารเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์และไม่อาจละเมิดได้ การผสมผสานระหว่างศาสนาและชาตินิยมนี้ทำให้การประนีประนอมใดๆ
อาจถูกมองว่าเป็น "การทรยศต่อศรัทธา" โดยประชาชนภายในประเทศนั่นเอง
1
เอาล่ะ...มาทางด้านปัจจัยการเร่งปฏิกิริยาการเมืองภายในประเทศกันบ้าง มาดูความวุ่นวายของไทยและการเมืองแบบเผด็จการของกัมพูชากันนะครับ
สำหรับประเทศไทย หากความไม่มั่นคงทางการเมืองภายในประเทศของไทยเป็นแรงผลักดันสำคัญเบื้องหลังความขัดแย้งนี้
ทำให้มี"การเบี่ยงเบนทางการเมือง" ของความขัดแย้งชายแดนเกิดขึ้นตามมา
นั่นคือ นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะลงจากตำแหน่งเนื่องจากการรั่วไหลของบันทึกเสียงการสนทนาทางโทรศัพท์กับอดีตผู้นำกัมพูชา ฮุน เซน
1
ในบันทึกเสียงดังกล่าวท่าทีดูถูกเหยียดหยามผู้บัญชาการทหารของไทยก่อให้เกิดความโกรธแค้นของสาธารณชนและนำไปสู่การแตกแยกของฝ่ายสัมพันธมิตร
1
เท่าที่ผ่านมา ประเทศไทยเองก็ได้ใช้ข้อพิพาทชายแดนเพื่อเบี่ยงเบนความขัดแย้งภายในประเทศหลายครั้งในประวัติศาสตร์
เช่นในความขัดแย้งในปี พ.ศ. 2551 นำไปสู่การลาออกของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล
ในความขัดแย้งครั้งนี้ ซึ่งบ่งชี้ว่ากองทัพอาจใช้โอกาสนี้ในการขยายอิทธิพลเพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันทางการเมืองภายในประเทศ
จนกองทัพไทยถูกกล่าวหาว่า "ต้องสงสัยว่าสร้างปัญหาเพื่อปูทางไปสู่การแทรกแซงทางทหาร"
2
สำหรับกัมพูชา ปัญหากลับเป็น จุดยืนที่แข็งกร้าวของฮุนเซน
1
ในกัมพูชา แม้ว่าฮุนเซนจะลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่เขาก็ยังคงมีอำนาจที่แท้จริงในฐานะประธานพรรคประชาชน
ในจุดยืนชาตินิยมที่แข็งกร้าวของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดยืนที่แข็งกร้าวเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร มุ่งเป้าไปที่การรวบรวมแรงสนับสนุนภายในประเทศ
คำพูดที่ยั่วยุของฮุนเซนระหว่างการตรวจชายแดนอาจเป็นการ "ฉวยโอกาสจากความวุ่นวายภายในประเทศของไทย"ก็เป็นได้...
1
เพื่อพยายามยกระดับสถานะของกัมพูชาในภูมิภาคโดยแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางทหาร
นอกจากนี้ กัมพูชายังมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับเวียดนามมายาวนาน
และความขัดแย้งกับไทยอาจช่วยให้กัมพูชาได้เปรียบในการต่อรองมากขึ้นในเกมระดับภูมิภาค
1
มาที่ประเด็นที่ผมเคยได้เปรยไว้..... มรดกทางอาณานิคมและเกมมหาอำนาจ นั่นคือเงาของฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา และ....
1
"คำสาปจากชายแดน"
3
"คำสาปชายแดน" ของลัทธิอาณานิคมฝรั่งเศส ข้อพิพาทชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาสามารถสืบย้อนกลับไปถึงยุคอาณานิคมของฝรั่งเศส ปลายศตวรรษที่ 19
เมื่อชาวอาณานิคมฝรั่งเศสได้กำหนดเขตแดนในอินโดจีน พวกเขาได้ทำให้การแบ่งเขตแดนไทย-กัมพูชาพร่าเลือนไปเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
1
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทิ้งข้อพิพาทไว้ในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร สนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ค.ศ. 1907 ได้โอนปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา
1
แต่ประเทศไทยเราเชื่อเสมอมาว่าการแบ่งแยกนี้ไม่ยุติธรรม
ดังนั้น...กลยุทธ์ “แบ่งแยกแล้วปกครอง” ของชาวอาณานิคมฝรั่งเศสได้วางรากฐานสำหรับความขัดแย้งในปัจจุบันจริงๆ
แล้วววววว เท่าที่ผ่านมา...สหรัฐอเมริกาเป็นผู้ส่งเสริมภูมิรัฐศาสตร์หรือไม่?
นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าสหรัฐอเมริกาอาจกำลังผลักดันความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาไว้เบื้องหลังเพื่อจำกัดอิทธิพลของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
1
เพราะจีนเป็นพันธมิตรสำคัญของกัมพูชามายาวนาน และได้ให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและการทหารอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงและหลังยุคเขมรแดง
1
ในช่วงสงครามเย็น สหรัฐอเมริกาสนับสนุนเวียดนามใต้(South Vietnam) และไทยในการต่อต้านฝ่ายคอมมิวนิสต์
และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
สหรัฐอเมริกาได้เสริมสร้างการรุกคืบเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่าน “ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” ในฐานะพันธมิตรคนเดิมของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาค
ในกรณีนี้ ประเทศไทยเราอาจถูกใช้เพื่อควบคุมกัมพูชาและควบคุมจีนทางอ้อม
อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานโดยตรงที่บ่งชี้ว่าสหรัฐอเมริกาได้เข้าแทรกแซงโดยตรงในความขัดแย้งปี 2568 เลยนะครับ
1
ในทางตรงกันข้าม สหรัฐอเมริกามีแนวโน้มที่จะใช้อิทธิพลผ่านวิธีการทางการทูตและเศรษฐกิจมากกว่า
เช่น การสนับสนุนการปรับปรุงยุทโธปกรณ์ของกองทัพไทย (เช่น เครื่องบินขับไล่ F-16)
เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถทางทหารที่ชายแดน นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกาอาจใช้แรงกดดันทางอ้อมผ่านเวทีต่างๆ เช่น อาเซียน เพื่อให้ความขัดแย้งอยู่ในระดับต่ำ
1
หากพูดถึงเวที่ต่างๆ ในเรื่องการไกล่เกลี่ยก็คงไม่พ้น อาเซียน เพื่อบังคับทิศทางในอนาคตของความขัดแย้ง
ท้ายสุดแล้ว....อาเซียนมีบทบาทสำคัญในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งนี้ กล่าวคือ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 อันวาร์ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย
ซึ่งเป็นประธานอาเซียนหมุนเวียน ได้เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายใช้ความยับยั้งชั่งใจและส่งเสริมการเจรจา
ต่อมา เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2568 การเจรจาระดับสูงระหว่างไทยและกัมพูชากลับไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้
1
แต่การแทรกแซงของอาเซียนกลับเปิดโอกาสให้สถานการณ์คลี่คลายลง(เล็กน้อย)
1
โดยหลักการ "ไม่แทรกแซง" ของอาเซียนกลับจำกัดความสามารถในการไกล่เกลี่ยของอาเซียน
1
แต่บทบาทในการส่งเสริมการเจรจาก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้นะครับ
และสุดท้าย ทิศทางความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาอาจจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่อไปนี้
เกมการเมืองภายในประเทศ หากไทยสามารถรักษาเสถียรภาพของสถานการณ์ภายในประเทศได้ ความขัดแย้งอาจคลี่คลายลง
เกมมหาอำนาจ หากสหรัฐอเมริกาเพิ่มการสนับสนุนทางทหารให้กับไทย หรือถ้าหากพี่จีนกระชับพันธมิตรกับกัมพูชาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ความขัดแย้งอาจมีความซับซ้อนจากปัจจัยภายนอก
1
ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ทรัพยากรแร่เหล็กที่อุดมสมบูรณ์ในภูมิภาคเขาพระวิหารอาจเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง และการแข่งขันแย่งชิงทรัพยากรอาจทำให้การเผชิญหน้าทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
1
ท้ายสุด(สรุปล่ะน้าาาา)...จากความคับข้องใจทางประวัติศาสตร์สู่เกมหมากรุกทางภูมิรัฐศาสตร์
ความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา แม้โดยนัยแล้วจะเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในดินแดนปราสาทพระวิหาร
แต่แท้จริงแล้วกลับเกี่ยวพันกับปัจจัยหลายประการนะครับ
เช่น ความภาคภูมิใจในชาติ สัญลักษณ์ทางศาสนา เกมการเมืองภายในประเทศ และยุทธศาสตร์ทางภูมิรัฐศาสตร์ของมหาอำนาจ
การเผชิญหน้ากันนับพันปีระหว่างชาวเขมรและชาวไทยได้ก่อกำเนิดประวัติศาสตร์แห่งความขัดแย้ง
และการแบ่งแยกพรมแดนในช่วงอาณานิคมของฝรั่งเศสได้วางรากฐานแห่งหายนะ
1
ส่วนสหรัฐอเมริกาอาจใช้วิธีการทางอ้อมเพื่อเพิ่มความตึงเครียดเพื่อสกัดกั้นการผงาดขึ้นของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์และศาสนากลับกลายเป็น "Catalyst" ของความขัดแย้งมากกว่าที่จะเป็นแรงผลักดันหลัก
สาเหตุที่แท้จริงคือความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศของทั้งสองประเทศและเกมของมหาอำนาจภายนอก
เพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์นี้ ทั้งไทยและกัมพูชาจำเป็นต้องก้าวข้ามความคิดชาตินิยมแคบๆ และแสวงหาทางออกด้านพรมแดนในระยะยาวผ่านเวทีต่างๆ ซะมากกว่าที่เป็นอยู่ เช่น อาเซียน(ที่กำลังดำเนินการอยู่)
1
ขณะเดียวกัน ประชาคมระหว่างประเทศควรตื่นตัวต่อความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการแทรกแซงของมหาอำนาจ และหลีกเลี่ยงการทำให้ข้อพิพาทในภูมิภาคกลายเป็นสงครามตัวแทนแบบสงครามเย็น
1
ดังนั้นแล้ว ปราสาทเขาพระวิหารอันงดงามจะสามารถเปลี่ยนจากจุดเดือดของสงครามให้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพได้
1
ก็ด้วยการเจรจาและความร่วมมือเท่านั้น

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา