2 ส.ค. เวลา 06:30 • สุขภาพ

ไข้หวัดใหญ่ (Influenza): อาการ , ภาวะแทรกซ้อน ถึงการรักษาที่แข่งกับเวลา

เมื่อลมหนาวหรือสายฝนมาเยือน "ไข้หวัดใหญ่" ก็มักจะกลายเป็นแขกไม่ได้รับเชิญที่สร้างความกังวลให้หลายครอบครัว แต่คุณรู้จักโรคนี้ดีแค่ไหน? หลายคนอาจคิดว่าไข้หวัดใหญ่ก็เหมือนไข้หวัดธรรมดาที่นอนพักไม่กี่วันก็หาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว โรคนี้มีความซับซ้อนและอาจอันตรายกว่าที่คิด บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกทุกแง่มุมของไข้หวัดใหญ่ โดยใช้ข้อมูลทางการแพทย์และสถิติที่น่าสนใจ เพื่อให้คุณรู้เท่าทันและรับมือได้อย่างถูกต้อง
🦠 ไข้หวัดใหญ่มีกี่สายพันธุ์?
ไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่เราเผชิญกันอยู่ทุกปี แบ่งออกเป็น 2 ตระกูลหลักที่ก่อโรคในคน คือ Influenza A และ Influenza B ซึ่งมีความแตกต่างกันพอสมควร
  • Influenza A (สายพันธุ์ A): เปรียบเสมือน "ตัวร้ายเบอร์หนึ่ง" ที่มีความรุนแรงสูง และเป็นสาเหตุของการระบาดใหญ่ (Pandemic) ทั่วโลกในอดีต เช่น ไข้หวัดนก หรือไข้หวัดใหญ่ 2009 ปัจจุบันสายพันธุ์ย่อยที่ยังคงหมุนเวียนระบาดในคนคือ A(H1N1) และ A(H3N2)
  • Influenza B (สายพันธุ์ B): แม้ความรุนแรงโดยรวมจะน้อยกว่าสายพันธุ์ A แต่ก็ยังสามารถทำให้ป่วยหนักและเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะในเด็ก
🤧 อาการและการดำเนินโรคของ Influenza A
ในผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันปกติ การดำเนินโรคจะเป็นไปตามกลไกการตอบสนองของร่างกายต่อเชื้อไวรัส
1. ระยะฟักตัว (Incubation Period): ประมาณ 1-4 วัน (เฉลี่ย 2 วัน) หลังได้รับเชื้อ ผู้ป่วยจะยังไม่มีอาการ แต่อาจเริ่มแพร่เชื้อได้ในช่วงท้ายของระยะนี้
2. ระยะแสดงอาการ (Symptomatic Phase)
  • อาการเริ่มแรก (Onset): อาการเกิดขึ้นค่อนข้างเร็วและเฉียบพลัน (Abrupt onset) ประกอบด้วยไข้สูง (มักจะ >38°C), หนาวสั่น, ปวดศีรษะ, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง (myalgia), ปวดข้อ (arthralgia) และอาการอ่อนเพลียอย่างมาก (malaise/prostration)
  • อาการของระบบทางเดินหายใจ: หลังจากนั้น 12-24 ชั่วโมง อาการในระบบทางเดินหายใจจะชัดเจนขึ้น เช่น ไอแห้งๆ (non-productive cough), เจ็บคอ, คัดจมูก, มีน้ำมูกไหล (coryza) อาการไออาจรุนแรงขึ้นและเป็นอาการที่คงอยู่นานที่สุด
  • ระยะเวลาของอาการ: ในผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ไข้และอาการทางระบบส่วนใหญ่มักจะดีขึ้นภายใน 2-5 วัน แต่อาการไอและความอ่อนเพลียอาจคงอยู่ต่อไปได้นาน 1-2 สัปดาห์
3. ระยะฟื้นตัว (Recovery Phase): ร่างกายจะค่อยๆ ฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติ แต่อาการอ่อนเพลียอาจยังคงอยู่ได้อีกระยะหนึ่ง
😷 การหายเอง (Spontaneous Recovery)
  • เป็นไปได้ และเป็นส่วนใหญ่: ในผู้ป่วยกลุ่ม Uncomplicated influenza มากกว่า 90% สามารถหายได้เองภายใน 5-10 วัน โดยอาศัยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ทั้ง Innate และ Adaptive immunity) ในการกำจัดเชื้อไวรัส
  • Viral Shedding: ผู้ป่วยจะเริ่มแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1 วันก่อนมีอาการ และแพร่ได้สูงสุดในช่วง 24-72 ชั่วโมงแรกหลังเริ่มป่วย ระยะเวลาการแพร่เชื้อมักจะอยู่ที่ 5-7 วันในผู้ใหญ่ แต่ในเด็กหรือผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจนานกว่านั้น
⚠️ ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนในกลุ่มที่ไม่ได้รับยา
แม้ส่วนใหญ่จะหายเองได้ แต่ความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนจะสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับยา โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง (High-risk patients) เช่น ผู้สูงอายุ (>65 ปี), เด็กเล็ก (<5 ปี), สตรีมีครรภ์, และผู้มีโรคประจำตัว (โรคปอด, หัวใจ, ตับ, ไต, เบาหวาน, ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง)
🏥 ภาวะแทรกซ้อนที่ต้องระวัง
นี่คือส่วนที่อันตรายที่สุดของไข้หวัดใหญ่ เพราะการติดเชื้อไม่ได้จบแค่ในระบบทางเดินหายใจเสมอไป แต่สามารถลุกลามไปยังอวัยวะอื่นได้
  • ปอดอักเสบ (Pneumonia): เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยและอันตรายที่สุด ข้อมูลพบว่าผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่อาการหนักจนต้องนอนโรงพยาบาล (IPD case) มีโอกาสเกิดปอดอักเสบได้ถึง 10-40% และที่สำคัญ ผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์ A มีความเสี่ยงที่จะเกิดปอดอักเสบรุนแรงสูงกว่าสายพันธุ์ B
  • หัวใจ: ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
  • สมอง: ทำให้เกิดสมองอักเสบ ซึ่งอันตรายถึงชีวิต
  • กล้ามเนื้อ: ข้อมูลที่น่าสนใจคือ เชื้อสายพันธุ์ B มักมีความเชื่อมโยงกับการอักเสบของกล้ามเนื้อในเด็กมากกว่าสายพันธุ์ A ทำให้เด็กมีอาการปวดกล้ามเนื้อน่องอย่างรุนแรงจนเดินไม่ได้
  • ในผู้ที่มีโรคประจำตัว จะทำให้โรคกำเริบและแย่ลงได้
👩‍🔬 การตรวจไข้หวัดใหญ่ด้วย Nasal swab
1. ระยะเวลาที่สามารถตรวจพบเชื้อได้ (Window of Detection)
การตรวจ Nasal swab จะตรวจพบเชื้อได้ดีที่สุดในช่วงที่ผู้ป่วยมีปริมาณไวรัสในโพรงจมูกสูงที่สุด (Peak viral shedding)
  • ช่วงเวลาที่เริ่มตรวจพบเชื้อ: โดยทั่วไปผู้ป่วยจะเริ่มแพร่เชื้อ (Viral shedding) ประมาณ 24-48 ชั่วโมงหลังได้รับเชื้อ ซึ่งมักจะเป็นช่วงเวลาก่อนเริ่มมีอาการเล็กน้อย หรือประจวบเหมาะกับวันที่เริ่มมีอาการพอดี
  • ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการตรวจ (Optimal Timing): ปริมาณไวรัสจะขึ้นสู่จุดสูงสุดในช่วง 1-3 วันแรกของการป่วย และจะค่อยๆ ลดลงหลังจากนั้น ดังนั้น ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเก็บสิ่งส่งตรวจคือภายใน 3-4 วันแรกหลังเริ่มมีอาการ
  • หลังวันที่ 4 ของการป่วย: ความไว (Sensitivity) ของการตรวจจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากปริมาณไวรัสลดลง ทำให้มีโอกาสเกิดผลลบปลอม (False negative) สูงขึ้น แม้ว่าผู้ป่วยจะยังคงมีอาการอยู่ก็ตาม (ในเด็กเล็กหรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจมีระยะเวลาการแพร่เชื้อที่นานกว่านี้
2. ความไว (Sensitivity) และความจำเพาะ (Specificity)
  • Rapid Influenza Diagnostic Tests (RIDTs) 🧪
เป็นการตรวจหาแอนติเจนของไวรัส (Antigen test) ซึ่งให้ผลรวดเร็วภายใน 15-30 นาที แต่มีความไวที่จำกัด
  • Specificity (ความจำเพาะ): สูงมาก โดยทั่วไปอยู่ที่ >95-99% (หากผลตรวจเป็นบวก (Positive) สามารถเชื่อถือได้ค่อนข้างมากว่าผู้ป่วยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่จริง)
  • Sensitivity (ความไว): ต่ำถึงปานกลาง และมีความแปรปรวนสูง โดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 50-70% แต่อาจต่ำกว่านี้ได้มาก (บางการศึกษาพบว่าต่ำถึง 30%) ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ชุดตรวจที่ใช้, เทคนิคในการตรวจ, ปริมาณไวรัสของผู้ป่วย, และคุณภาพการเก็บสิ่งส่งตรวจ
  • Molecular Assays (เช่น RT-PCR)
เป็นการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส ซึ่งถือเป็น มาตรฐานสูงสุด (Gold Standard) ในการวินิจฉัย
  • Specificity (ความจำเพาะ): สูงมาก โดยทั่วไปอยู่ที่ >98-100%
  • Sensitivity (ความไว): สูงมาก โดยทั่วไปอยู่ที่ >95-98%
💊 การรักษาที่ต้องแข่งกับเวลา: รู้จักยา Oseltamivir และ "กฎทอง 48 ชั่วโมง"
เมื่อติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ การรักษาที่สำคัญคือการให้ยาต้านไวรัส ซึ่งยาที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดคือ Oseltamivir แต่หัวใจสำคัญของยาตัวนี้คือ "ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งได้ผลดี"
🥇ช่วงเวลาทอง (< 12 ชั่วโมง): หากผู้ป่วยเริ่มยาภายใน 12 ชั่วโมงหลังมีไข้ จะได้รับประโยชน์สูงสุด โดยสามารถลดระยะเวลาป่วยลงได้มากถึง 3 วัน!
🥈ช่วงเวลาประสิทธิภาพสูง (< 24 ชั่วโมง): ยังคงเป็นช่วงเวลาที่ให้ผลดีมากในการลดความรุนแรงและระยะเวลาของโรค
🥉ช่วงเวลามาตรฐาน (< 48 ชั่วโมง): นี่คือกรอบเวลามาตรฐานที่แพทย์แนะนำสำหรับผู้ป่วยทั่วไป การเริ่มยาภายในช่วงนี้ยังคงมีประสิทธิภาพ โดยช่วยลดระยะเวลาป่วยลงได้ ประมาณ 1 วัน และช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนทางปอดได้
⌛️หลัง 48 ชั่วโมง: สำหรับคนทั่วไปที่สุขภาพแข็งแรง ประโยชน์ของยาจะลดลงอย่างมาก แต่สำหรับ ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงสูงหรือผู้ที่ป่วยหนักจนต้องนอนโรงพยาบาล แพทย์ยังคงแนะนำให้ยา เพราะมีข้อมูลว่ายังอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตได้
👩‍⚕️ ใครบ้างที่ควรได้รับยา Oseltamivir?
แพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัสโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรครุนแรง ได้แก่
  • เด็กเล็ก (อายุน้อยกว่า 2 ปี) และผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป)
  • สตรีมีครรภ์
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด, โรคปอด, โรคหัวใจ, เบาหวาน, โรคไต
  • ผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
นอกจากใช้เพื่อการรักษาแล้ว ยานี้ยังสามารถใช้ "เพื่อการป้องกัน" ในกลุ่มเสี่ยงสูงที่เพิ่งไปสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่มา โดยจะรับประทานยาวันละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 10 วัน เพื่อลดโอกาสในการติดเชื้อ
📊 ข้อมูลเปรียบเทียบประโยชน์ของ Oseltamivir ตามเวลาที่เริ่มยา
หลักการสำคัญที่สุดคือ ประโยชน์ของยามีลักษณะเป็น Gradient หรือมีความต่อเนื่อง หมายความว่าทุกๆ ชั่วโมงที่เริ่มยาได้เร็วขึ้น จะเพิ่มประโยชน์ในการลดระยะเวลาและความรุนแรงของโรคได้มากขึ้น
🥇กลุ่มที่ 1: เริ่มยาเร็วที่สุด (ภายใน 12 ชั่วโมง หลังมีไข้) 🥇
  • การลดระยะเวลาป่วยโดยรวม
- ข้อมูลจาก IMPACT Study: การเริ่มยาภายใน 12 ชั่วโมง สามารถลดระยะเวลาป่วยโดยรวม (Total Illness Duration) ได้ถึง 74.6 ชั่วโมง (ประมาณ 3.1 วัน) เมื่อเทียบกับการเริ่มยาที่ 48 ชั่วโมง
- เมื่อเทียบกับยาหลอก การเริ่มยาเร็วขนาดนี้สามารถลดระยะเวลาป่วยได้มากกว่า 40%
  • การลดความรุนแรงของอาการ: ผู้ป่วยมีอาการไข้และอาการอื่นๆ (เช่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไอ) ทุเลาลงอย่างรวดเร็วกว่ากลุ่มที่เริ่มยาช้ากว่าอย่างมีนัยสำคัญ
  • การลดภาวะแทรกซ้อน (ในเด็ก): มีการศึกษาที่ชี้ว่าในเด็กเล็ก (1-3 ปี) การเริ่มยาภายใน 12 ชั่วโมง สามารถลดอุบัติการณ์ของหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน (Acute Otitis Media) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยได้ถึง 85%
🥈กลุ่มที่ 2: เริ่มยาภายใน 24 ชั่วโมง 🥈
  • การลดระยะเวลาป่วยโดยรวม
- ข้อมูลจาก IMPACT Study: แม้จะไม่ได้ลดเวลาได้มากเท่ากลุ่ม <12 ชั่วโมง แต่ยังคงลดระยะเวลาป่วยได้ดีกว่ากลุ่ม 36 และ 48 ชั่วโมงอย่างมีนัยสำคัญ
- ข้อมูลจากการศึกษาอื่นๆ โดยทั่วไปชี้ว่าสามารถลดระยะเวลาป่วยได้ประมาณ 1-2 วัน เมื่อเทียบกับยาหลอก
🥉กลุ่มที่ 3: เริ่มยาภายใน 48 ชั่วโมง 🥉
เป็นกรอบเวลามาตรฐานที่แนะนำในแนวทางเวชปฏิบัติส่วนใหญ่สำหรับผู้ป่วยนอกทั่วไป (Uncomplicated influenza)
  • การลดระยะเวลาป่วยโดยรวม
- ข้อมูลจาก Meta-analysis (Dobson et al., The Lancet): ในกลุ่มผู้ป่วยที่เริ่มยาภายใน 48 ชั่วโมง พบว่าลดระยะเวลาป่วยได้เฉลี่ย 25.2 ชั่วโมง (ประมาณ 1 วัน) เมื่อเทียบกับยาหลอก
  • การลดภาวะแทรกซ้อน: ยังคงมีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนทางเดินหายใจส่วนล่างได้ (RR ~0.56)
⌛️กลุ่มที่ 4: เริ่มยาหลัง 48 ชั่วโมง (48 - 72 ชั่วโมง หรือมากกว่า)
  • ในผู้ป่วยนอกทั่วไป (Ambulatory patients with uncomplicated illness)
ประโยชน์น้อยมากหรือไม่แตกต่างจากยาหลอก: การศึกษาแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (RCT) โดย Fry et al. พบว่าการเริ่มยา Oseltamivir ในช่วง 48-119 ชั่วโมงหลังเริ่มป่วย ไม่สามารถลดระยะเวลาของอาการ, ความรุนแรง หรือระยะเวลาการแพร่เชื้อได้ เมื่อเทียบกับยาหลอก
  • ในผู้ป่วยอาการรุนแรงหรือกลุ่มเสี่ยงสูง (Hospitalized, severe, or high-risk patients)
ยังคงแนะนำให้ยา: แม้จะเริ่มยาช้า แต่ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ ยังอาจได้รับประโยชน์ในการลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตและภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ข้อมูลเชิงสังเกตการณ์ (Observational studies) ในผู้ป่วยที่นอนโรงพยาบาลด้วย H1N1 พบว่าการให้ยายังคงสัมพันธ์กับอัตราการรอดชีวิตที่ดีขึ้น แม้จะเริ่มหลัง 48 ชั่วโมงไปแล้ว
💉 ประสิทธิภาพของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ (Vaccine Effectiveness )(VE)
ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ 2 ประการ คือ
  • 1.
    ความสอดคล้องของสายพันธุ์ในวัคซีนกับสายพันธุ์ที่ระบาดจริง (Match/Mismatch): หากสายพันธุ์ในวัคซีนตรงกับที่ระบาด ประสิทธิภาพจะสูง
  • 2.
    ปัจจัยของผู้รับวัคซีน: เช่น อายุ, สุขภาพโดยรวม, และภาวะภูมิคุ้มกัน
1. ประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ (Preventing Infection)
เป็นมาตรวัดที่ท้าทายที่สุดของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เนื่องจากวัคซีนมีเป้าหมายหลักในการป้องกัน "อาการป่วย" มากกว่าการ "ติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการ"
  • โดยรวม (General Population): เมื่อวัคซีนตรงกับสายพันธุ์ที่ระบาด (well-matched) ประสิทธิภาพในการป้องกันการเจ็บป่วยจากไข้หวัดใหญ่ (symptomatic illness) ที่ต้องไปพบแพทย์ อยู่ที่ประมาณ 40% - 60%
  • ในเด็กและวัยรุ่น: VE ป้องกันการป่วยที่ต้องไปคลินิกหรือห้องฉุกเฉินอยู่ที่ 59% - 67%
  • ในผู้ใหญ่: VE ป้องกันการป่วยที่ต้องไปคลินิกหรือห้องฉุกเฉินอยู่ที่ 33% - 49%
*ข้อมูลล่าสุด (ฤดูกาล 2023-2024 ในสหรัฐอเมริกา)
ข้อสังเกต: ประสิทธิภาพในเด็กมักจะสูงกว่าในผู้ใหญ่ และจะลดลงในผู้สูงอายุเนื่องจากภาวะภูมิคุ้มกันที่เสื่อมถอยตามวัย (immunosenescence)
2. ประสิทธิภาพในการลดความรุนแรงและอัตราการนอนโรงพยาบาล (Reducing Severe Illness and Hospitalization)
นี่คือประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ แม้ว่าจะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 100% แต่สามารถลดความรุนแรงของโรคได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • โดยรวม (General Population): การฉีดวัคซีนช่วยลดความเสี่ยงของการนอนโรงพยาบาลจากไข้หวัดใหญ่ได้ประมาณ 40% - 60%
  • ในเด็กและวัยรุ่น: VE ป้องกันการนอนโรงพยาบาลอยู่ที่ 52% - 61%
  • ในผู้ใหญ่: VE ป้องกันการนอนโรงพยาบาลอยู่ที่ 41% - 44%
  • ในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาใน ICU: การศึกษาในปี 2021 พบว่าผู้ใหญ่ที่ฉีดวัคซีนมีความเสี่ยงในการเข้า ICU จากไข้หวัดใหญ่ ลดลง 26% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ฉีด
3. ประสิทธิภาพในการลดอัตราการเสียชีวิต (Reducing Mortality)
  • โดยรวม: การศึกษาในปี 2021 พบว่าในผู้ใหญ่ การฉีดวัคซีนสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ได้ถึง 31%
  • ในเด็ก: การศึกษาขนาดใหญ่ของ CDC พบว่าการฉีดวัคซีนสามารถลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ในเด็กที่มีสุขภาพดีได้ถึง 65% และลดความเสี่ยงในเด็กที่มีภาวะเสี่ยงสูงได้ประมาณ 50%
  • ในผู้สูงอายุ: มีข้อมูลจากการศึกษาในประเทศไทยระบุว่า การฉีดวัคซีนในผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป สามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้ถึง 50%
4. ประสิทธิภาพในกลุ่มเสี่ยง (Effectiveness in High-Risk Groups)
กลุ่มเสี่ยง (เช่น ผู้สูงอายุ, ผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง, หญิงตั้งครรภ์) เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของการฉีดวัคซีน
  • ผู้สูงอายุ (Adults ≥65 years)
Standard-dose vaccine: ประสิทธิภาพในการป้องกันการป่วยอาจต่ำกว่าคนหนุ่มสาว แต่ยังคงมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันอาการรุนแรงและการนอนโรงพยาบาล
High-dose vaccine / Adjuvanted vaccine: วัคซีนชนิดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันในผู้สูงอายุให้ดีขึ้น มีข้อมูลว่าสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ดีกว่าวัคซีนขนาดมาตรฐานประมาณ 24.2% และลดการเข้าโรงพยาบาลจากภาวะแทรกซ้อนได้ดีกว่า
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวาน: การฉีดวัคซีนลดการนอนโรงพยาบาลจากไข้หวัดใหญ่ได้ถึง 79%
  • ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD): การฉีดวัคซีนลดความเสี่ยงการเจ็บป่วยรุนแรงได้ประมาณ 78%
  • หญิงตั้งครรภ์: การฉีดวัคซีนช่วยป้องกันการนอนโรงพยาบาลจากไข้หวัดใหญ่ในหญิงตั้งครรภ์ได้ประมาณ 40% และยังสามารถส่งผ่านภูมิคุ้มกันไปยังทารก ช่วยป้องกันการป่วยในทารกแรกเกิดในช่วง 6 เดือนแรกได้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา