6 ส.ค. เวลา 21:06 • ปรัชญา

หลวงพ่อชาสอนกุญแจภาวนาบ่มเพาะสมาธิภายใน เปลื้องจิตผู้คิดออกบังเกิดความใสบริสุทธิ์ของจิตผู้รู้อมตธรรม

หลวงพ่อชา สุภัทโท เป็นพระสาย"ปัญญา"
ปัญญา อันเกิดจากมรรคสามัคคี ศีล สมาธิ ปัญญา
ปัญญา เห็นตามความเป็นจริง ซึ่งเห็นตรงกับ
ปัญญา ของวิทยาศาสตร์ "ควอนตัม"สมัยใหม่
สมาธิ
สามารถเปิดการรับรู้ของเราออกไปสู่ สภาวะลี้ลับอันไพศาล รวมถึง อาณาจักรแห่งแสง นิมิต ปิติ และความสว่าง เช่นเดียวกับ
- มองเห็นไกล แบบกล้องโทรทรรศน์ที่มีประสิทธิภาพ
- มองเห็นลึกลงไปในร่างกายแบบกล้องจุลทรรศน์
- การไวต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
- การรับรู้ถึงความคิดและความจำอย่างประณีต และเมื่อ ลงไปสู่สมาธิที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
สามารถเปิดรับความรู้สึกลงไปสู่ระดับอะตอมประสบ การณ์ที่ได้รับจะแตกย่อยออกไปมากมายนับไม่ถ้วน เป็นอนุภาคของสิ่งที่ปรากฏขึ้นชั่วแว๊บหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นชั่วคราวไร้ตัวตน ทำให่ไร้อดีต ไร้ปัจจุบัน ไร้อนาคต จึงไม่อาจยึดหน่วงไว้ได้
สมาธิจิตตั้งมั่น
สามารถเปลื้องจิต สลายวิญญาณขันธ์
วิปัสสนาญาณ
มีปกติ เห็นทั้งสองฝั่ง จึงสามารถทำงานด้วยจิตว่าง ได้เลย ไม่จำเป็นต้องออกจากสมาธิเพื่อมาทำงานปกติ เพราะไม่ได้ยึดแบกอะไรไว้
ผู้ที่เข้าถึง แล้ว จึงรู้ได้ด้วยตัวเอง
หลวงพ่อชา สอนการทำงานด้วยจิตว่าง ว่าเราต้องปฏิบัติเป็น"ธรรม" เพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน แต่ใจเรา ไม่ยึดติดในสิ่งใดๆ เช่น เมื่อเวลาเจ็บป่วย ต้องดูแลรักษาให้ดี แต่ในใจเราคิดว่า หายก็เอา ตายก็เอา คือ พูดอย่างหนึ่ง แต่ใจคิดอีกอย่างหนึ่ง
หลวงพ่อชา สอนการทำงานด้วยจิตว่าง ว่าเราต้องปฏิบัติเป็น"ธรรม" เพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน แต่ใจเรา ไม่ยึดติดในสิ่งใดๆ เช่น เมื่อเวลาเจ็บป่วย ต้องดูแลรักษาให้ดี แต่ในใจคิดว่า หายก็เอา ตายก็เอา คือ พูดอย่างหนึ่ง แต่ใจคิดอีกอย่างหนึ่ง
ด้วยการบ่มเพาะสมาธิภายใน ความใสบริสุทธิ์ของจิตใจจึงบังเกิดและด้วยความใส่บริสุทธิ์ของจิตใจเช่นนั้น จึงเกิดการเข้าถึงสภาวะต่างๆ ที่ขยายวงออกไป
การมีใจจดจ่อกับสมาธิอย่างลึกซึ้ง ทำให้การรู้แจ้งที่ได้รับการปลดปล่อยเผยออกมาให้ประจักษ์แก่ใจ
หลวงพ่อชา สอนว่า "สมาธิดุจดังชามเปล่าที่สะอาด ปัญญาและความเข้าใจคืออาหารที่ใส่ลงไปในชาม แล้วนำมาบำรุงเลี้ยงจิตใจ"
กุญแจภาวนา
สังขาร คือจิตเคลื่อนไหว
เมื่อมันเคลื่อนออกไปก็เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ปฏิจจสมุปบาท
อวิชชา เป็น ปัจจัยให้เกิดสังขาร ...
เมื่อเกิดขึ้นมาจริงๆ นับไม่ทัน
ปริยัติ เอาไม่ทัน
เมื่อผู้รู้ รู้ว่าจิตหรือเจตสิก เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา
ท่านให้ปล่อยวางมัน
ภาวนาก็เหมือนกับไม้ท่อนเดียว
เมื่อยกขึ้น ก็ขึ้นมาทั้ง สมถะ และ วิปัสสนา
เมื่อจิตสงบ ก็สงบด้วยสมถะ
ให้เอาสมถะพิจารณาต่อ ว่าความสงบก็เป็นสังขารอย่างหนึ่ง
เมื่อหายฟุ้งซ่าน ก็ไปติดความสงบว่าเป็นเรา ก็เป็นก้อนอัตตาเป็นตัวสมมุติ ภพยังอยู่ ชาติยังอยู่
เพราะมีปัจจัย จึงมีเกิด มีตาย เป็นจิตหลงสังขาร
ศาสดาดูจิต เบื้องแรก เป็นเสรี
รุ่งโรจน์โชติการ ไม่มีเรื่องราวต่างๆ เข้าไปอยู่
ที่จะมีเรื่องราวก็เพราะมันหลงสังขาร หลงอัตตา
ถ้ารู้ตัวของตัวชัดเจนว่า เป็นเสรี
ถ้าพิจารณารู้ว่า อาการสังขาร สภาวะที่มากระทบ ไม่เป็นแก่นสาร เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
จึงได้ปล่อยวางสังขาร วางขันธ์ห้า เป็นเพียงผู้ทราบไว้เฉยๆ มันจะดีมา ไม่ดีมา ก็ไม่โต้ตอบ แต่จะตอบสนองด้วยการเป็นคนดูเฉยๆ ไม่อาศัยเหตุ ไม่อาศัยผล เป็นเพียงผู้รู้ยืนตัวสงบอยู่ นอกเหตุเหนือผล นอกเกิดเหนือตาย นอกสุขเหนือทุกข์ นอกดีเหนือชั่ว ไม่มีปัจจัยส่งเสริมเพราะรู้ความเป็นจริง เช่น
ถ้ามันรัก ก็พิจารณาว่าทำไมจึงรัก
ถ้ามันชัง ก็พิจารณาว่าทำไมจึงชัง
พิจารณาเห็นว่า อันนั้นก็ "ไม่แน่"
เห็นว่า สิ่งเหล่านี้มันหลอกลวงเราไม่หยุด
ถ้าทำให้ใจ หยุดรัก หยุดชัง ได้ ก็พ้นทุกข์แล้ว
มรรค
งามเบื้องต้นคือศีล
งามท่ามกลางคือสมาธิ
งามเบื้องปลายคือปัญญา
สามอย่างรวมกันเป็นหนึ่งคือมรรคสามัคคี
ศีล สมาธิ ปัญญา
ปัญญา ต้องมาก่อน เพื่อพิจารณาหาเหตุผลควบคุมกายวาจาให้บริสุทธิ์ ละสิ่งที่ชั่ว ประพฤติสิ่งที่ดี ละสิ่งผิด ทำสิ่งที่ถูก เป็นศีล
ศีล
ถ้าละผิดให้ถูกแล้ว ใจก็แน่วแน่มั่นคง ไม่ลังเลสงสัยในกายวาจาของเรานี้เป็นสมาธิ
สมาธิ
เมื่อตั้งใจมั่นแล้ว
รูปเกิดขึ้นมา เสียงเกิดขึ้นมา
1. พิจารณามันแล้ว เป็นกำลัง
2. พิจารณาบ่อยๆ ด้วยอาการที่เราตั้งใจ ไม่เผลอ
จึงรู้อาการของสิ่งเหล่านี้ ว่ามันเกิดความเป็นจริงของมัน เมื่อรู้เรื่อยก็เกิดปัญญา รู้ความเป็นจริง ตามสภาวะของมัน สัญญาจะหลุด เลยกลายเป็นตัวปัญญา
ปัญญา
ศีล สมาธิ ปัญญา
สามอย่างนี้ เป็นไวพจน์ซึ่งกันและกัน
เป็น มรรคสามัคคี
ถ้าปัญญากล้าขึ้น ก็อบรมสมาธิให้มั่นขึ้นไป
เมื่อสมาธิมั่นขึ้นไป ศีลก็มั่นก็สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
เมื่อศีลสมบูรณ์ขึ้น สมาธิก็กล้าขึ้นอีก
เมื่อสมาธิก็กล้าขึ้นอีก ปัญญาก็กล้ายิ่งขึ้น
เป็น มรรค ที่จะฆ่ากิเลส โลภ โกรธ หลง ได้
มรรคสามัคคี
มรรคกับกิเลส เดินเคียงข้างกันไป ผู้ปฏิบัติคือใจ
มรรคกับกิเลส เหมือนมีคนสองคนเถียงกันอยู่ในใจเรา
ผลที่สุด ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ก็อยู่ในใจ
คือเราได้ปฏิบัติอริยสัจ
ทุกข์ เกิดเพราะเหตุ สมุทัย คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อ่อน มรรคก็อ่อน กิเลสก็เข้าครอบได้ เป็นสมุทัย
ถ้ามรรคแข็งแรงฆ่ากิเลส ดับทุกข์ได้
มรรคยังไม่ใช่ศาสนา เป็นแค่หนทางที่จะเดินไป
เช่น จะไปวัด จำเป็นต้องมาตามถนน จึงถึงวัด
พระศาสดาสรรเสริญผู้ที่ทำให้พ้นจากทุกข์ได้ ซึ่งต้องอาศัยอุปกรณ์เครื่องปฏิบัติได้แก่ ทาน ศีล สมาธิปัญญา
นักปริยัติชอบสงสัย ชอบสังเกต ในเวลาปฏิบัติว่า จะเกิดอะไรตามปริยัติหรือเปล่า มันเป็นตัณหา ทำให้การปฏิบัติเสียหมด ที่ถูก ต้องทิ้งความสงสัยทั้งหมด
ผู้ที่เรียนมากๆ รู้มากๆ จึงไม่ค่อยสำเร็จ เพราะความตั้งใจของเรากลายเป็นอุปทานเข้าไปยึดเลยไม่รู้เรื่อง มันลำบากเพราะเอาความอยากเข้าไปด้วย
เมื่อจิตสงบจริงๆ รู้สึกตัวหนักแน่น
เสียงเขาร้องรำ อยู่ไกลๆ ยังได้ยินอยู่ แต่จะทำให้ไม่ได้ยินก็ได้ เมื่อไม่เอาใจใส่ก็เงียบไม่ได้ยิน จะให้ได้ยินก็ได้ ไม่รู้สึกรำคาญสิ่งใด
จิตกับอารมณ์ตั้งอยู่คนละส่วน เหมือนวัตถุสองอย่างตั้งอยู่เป็นสันติ ไม่ติดกัน
จิตสงบ มีแต่ความพอดี ไม่เกียจคะร้าน ไม่เหนื่อย ไม่รำคาญ ต่อมาจึงหยุดพักจากท่านั่ง ใจยังเหมือนเก่าไม่หยุด ดึงเอาหมอนมาวางไว้ ตั้งใจจะพักผ่อน
เมื่อเอนกายลง จิตยังสงบเหมือนเดิม พอศีรษะจะถึงหมอน มีอาการน้อมในใจ ไม่รู้มันน้อมไปไหน แต่มันน้อมเข้าไป คล้ายกับมีสายไฟอันหนึ่งไปถูกสวิตช์ไฟเข้า ไปดันกับสวิตช์อันนั้น
อมตธรรม คือธรรมชาติที่โอบล้อมทุกสรรพสิ่ง เมื่อ จิตเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
1. กายก็ระเบิดเสียงดังมาก ความรู้ที่มีอยู่นั้นละเอียดที่สุด พอมันผ่านตรงจุดนี้นั้นก็หลุดเข้าไปข้างัในโน้น ไปอยู่ข้างในจึงไม่มีอะไร แม้อะไรๆทั้งปวงก็เข้าไปไม่ได้ ส่งเข้าไปไม่ถึง ไม่มีอะไรเข้าไปถึง หยุดอยู่ข้างในสักพักหนึ่งก็ถอยออกมา คิดว่าถอยออกมานี้ ไม่ใช่ว่าเราจะให้ถอยออกมาหรอก เราเป็นเพียงผู้ดูเฉยๆ เราเป็นผู้รู้เท่านั้น อาการเหล่านี้เป็นออกมา ๆ ก็มาถึงจิตปกติธรรมดา
อมตธรรม คือธรรมชาติที่โอบล้อมทุกสรรพสิ่ง เมื่อ จิตเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
2. เมื่อหยุดพักหนึ่ง ก็น้อมเข้าไปอีก เราไม่ได้น้อม มันน้อมเอง พอน้อมเข้าไป ๆ ก็ไปถูกสวิตช์ไฟดังเก่า ครั้งที่สองนี้ร่างกายแตกละเอียดหมด หลุดเข้าไปข้างในอีก เงียบ ยิ่งเก่งกว่าเก่า ไม่มีอะไรส่งเข้าไปถึง
เข้าไปอยู่ตามปรารถนาของมันพอสมควรแล้วก็ถอยออกมาตามสภาวะของมัน ในเวลานั้นมันเป็นอัตโนมัติ มิได้แต่งว่าจงเป็นอย่างนี้น จงเป็นอย่างนี้ จงออกอย่างนั้น จงเข้าอย่างนี้ ไม่มี
เราเป็นเพียงผู้ทำความรู้ดูอยู่เฉยๆ มันก็ถอยออกมาถึงปกติ มิได้สงสัย
อมตธรรม คือธรรมชาติที่โอบล้อมทุกสรรพสิ่ง เมื่อ จิตเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
3. แล้วก็นั่งพิจารณาน้อมเข้าไปอีก ครั้งที่สามนี้โลกแตกละเอียดหมด ทั้งพื้นปฐพี แผ่นดิน แผ่นหญ้า ต้นไม้ ภูเขา โลกา เป็นอากาศธาตุหมด ไม่มีคน หมดไปเลย ตอนสุดท้ายนี้ไม่มีอะไร
เมื่อเข้าไปอยู่ตามปรารถนาของมัน อยู่อย่างไรดูยาก พูดยากของสิ่งนี้ไม่มีอะไรมาเปรียบปานได้เลย
เมื่อถึงวาระที่เป็นอย่างนี้ โลกแผ่นดินนี้มันพลิกไปหมด ความรู้ความเห็นมันแปลกไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
อมตธรรม คือธรรมชาติที่โอบล้อมทุกสรรพสิ่ง เมื่อ จิตเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
ถ้าคนอื่นเห็น อาจจะว่าเราเป็นบ้าจริงๆ
ถ้าผู้ควบคุมสติไม่ดี อาจเป็นบ้าได้นะ เพราะเห็นคนในโลกไม่เหมือนเก่า แต่มันก็เป็นเราผู้เดียวเท่านั้น
อมตธรรม คือธรรมชาติที่โอบล้อมทุกสรรพสิ่ง
เมื่อ จิตเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
ฌาน คือสภาวะจิตที่แน่วแน่เนื่องจากการเพ่งอารมณ์โดยนั่งสมาธิด้วยปิติและความสงบใจอย่างลึกซึ้งเป็นเวลาหลายชั่วโมงในคราวเดียว
รูปฌาน มีขอบเขต วิญญาณขันธ์ ใช้รับรู้อายตนะ
อรูปฌาน ไร้ขอบเขต รู้เห็นด้วยวิปัสสนาฌาณ แค่เห็น ไม่มีผู้รู้ ผู้ดู เกิดขึ้นในจิตใจที่ได้รับการปลดปล่อยจากความรู้สึกถึงตัวตนอันมีข้อจำกัดให้เป็นอิสระนำมาซึ่งความสว่างไสวในจิตใจ "เห็นจุดอันสงบนิ่งและไร้ซึ่งความตายท่ามกลางสรรพสิ่งทั้งมวล"
หลวงพ่อชา สอนว่า ฌานหรือ สภาวะใดๆ ที่เกิดขึ้นกับจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะดีเลิศเพียงใด "นั่นไม่ใช่เป้าหมาย"
แต่เป้าหมายคือ
ทำอย่างไรจะทำให้ ผลจากการอยู่เหนือตัวตนอันคับแคบของเรา คือ "ความตื่นรู้ถึงการเคารพบูชาต่อจิตวิญญาณ อมตธรรม ที่ค้นพบใหม่อันเปี่ยมด้วยเมตตา และพึงพาอาศัยกันอย่างน่าเคารพสักการะ" นั้น แสดง ออกให้ประจักษ์ ณ ปัจจุบันขณะในการทำกิจวัตรประจำวัน เมื่อกำลังสนทนา หรือทำอาหารเย็น
สรุปว่าเป้าหมายคือ ปฏิบัติ คิด พูด ทำ อย่างเป็น ธรรม ตามหลัก พรหมวิหารสี่ เมตตา กรุณา อุเบกขา มุทิตา
ปฏิบัติ คิด พูด ทำ อย่างเป็น ธรรม ตามหลัก พรหมวิหารสี่ เมตตา กรุณา อุเบกขา มุทิตา
นี่เป็นกำลังของจิต กำลังของสมาธิขั้นสุด
ถ้าทำวิปัสสนา คล่องแล้ว จะใช้ในทางอื่นก็ได้
จะใช้ฤทธิ์ ใช้เดช ใช้ปาฏิหาริย์ ใช้อะไร ๆ อาจใช้ได้ทั้งนั้น
นักพรตทั่งหลายเอาไปใช้ทางมัวเมา ใช้ทำน้ำมนต์น้ำพร ใช้ทำตะกรุด คาถาได้หมด ทั้งนั้น
มันก็ดีเหมือนกัน ดีเหมือนกับการกินเหล้าดี กินแล้วก็เมา ดีไปอย่างนั้นใช้ไม่ได้
จิตเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ตรงนี้เป็นที่แวะ
พระศาสดาท่านก็แวะตรงนี้ ดูอาการภายนอกเลย อารมณ์ทั้งหลายทั้งปวง เกิดมาแล้ว เอาความรู้มาให้เราทั้งหมด เรามีความสงบ มีปัญญา สนุกกับการเฟ้นสนุกเลือกเอา
อาการที่พิจารณาออกจากความสงบเหล่านี้แหละ เรียกว่า ปัญญา เป็นวิปัสสนา
วิปัสสนาถ้ามีปัญญา มันเป็นวิปัสสนาฌาณของมันเอง
ถ้ามันรู้แจ้งน้อย เรียกว่าเป็นวิปัสสนาน้อย
ถ้ามันรู้อีกขนาดหนึ่งเรียกว่าเป็นวิปัสสนากลาง
ถ้ามันรู้ตามความเป็นจริงเรียกว่าเป็นวิปัสสนาถึงที่สุด
การจะทำวิปัสสนาจะทำเอาเดี๋ยวนั้น ๆ ทำได้ยาก เพราะมันต้องเดินมาจากความสงบ เมื่อทำถูกสัดส่วนแล้วมันจะเป็นเอง ไม่ใช่เรื่องจะไปบังคับให้มันเป็น
จิตก็ให้ทำเฉพาะหน้าที่ ทำความสงบให้ถูกสัดส่วน
แล้ววิปัสสนามันจะเกิดขึ้นเอง ถ้าจิตไม่รู้หน้าที่จะไปบังคับให้มันเป็น ล้วนเป็นตัวสมุทัย ทำให้เกิดทุกข์
ถ้าจิตตกกระแสแล้วไม่กลับ จิตน้อมไปแล้วจะกลับมาสู่อบายอีกไม่ได้
จิตละบาปแล้ว เห็นโทษในบาปแล้ว จะให้ทำชั่วทางกาย วาจา อีกนั้นทำไม่ได้
เมื่อจิตน้อมเข้าไป มันก็รู้จักหน้าที่ รู้จักการงาน รู้จักปฏิปทา รู้จักผ่อนหนัก ผ่อนเบา รู้จักกายของเรา รู้จักจิตของเรา รู้จักรูปเรานามเรา สิ่งที่ควรละวาง ก็ละไป วางไปเรื่อยๆ ไม่ต้องสงสัย
การปฏิบัติ ไม่หลายอย่าง เอาให้ละเอียดอยู่ในใจนี้
ถ้าเห็นรูปนี้ชอบรูปนี้เพราะอะไร ก็เอารูปนี้มาพิจารณาดูว่า เกสาคือผม โลมาคือขน นขาคือเล็บ ทันตาคือฟัน ตโจคือหนัง พระพุทธเจ้าให้เอาพวกนี้มาพิจารณา ย้ำเข้าไป แยกออก แจกออก เผามันออก ลอกมันออก ทำอย่างนี้จนมันไม่ไปไหน
เช่น เมื่อพระเห็นคนต้องกำหนดให้เป็นร่างผีตายซาก เห็นผู้หญิงรุ่นๆ นึกชอบขึ้นมา ก็กำหนดให้เป็นผีเป็นเปรต เป็นของเน่าของเหม็นไปหมดทุกคน ไม่ให้เข้าใกล้ ให้ในใจเราเป็นอยู่อย่างนี้ เหมือนมองทะลุเวลาไปในอนาคต เห็นเมื่อใดก็เท่ากับมองเห็นซากศพ เห็นผู้หญิงก็ซากศพ เห็นผู้ชายก็ซากศพ ตัวเราเองก็เป็นซากศพเหมือนกัน
วิปัสสนามันทำไม่ได้ง่ายๆ ถ้ากายวาจาไม่เรียบร้อยแล้ว ไปไม่รอด เพราะขาดมรรค
ถ้าทำจิตให้ถึงวิปัสสนา
จิตพิจารณา เป็นธรรมวิจัย ตามหลักของโพชฌงค์โดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน มันจะค้นคว้าเอง มันหมุนเวียนพูดกับตัวเอง แก้ปลดเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่มีอะไรมาใกล้มันได้
ต่อสถานการณ์ ปะทะกันตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่กระทบกระเทือนใจเรา
ใจเราควรคิดอีกอย่างไร
หลวงพ่อชา สอนการทำงานด้วยจิตว่าง ว่าเราต้องปฏิบัติเป็น"ธรรม" เพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน แต่ใจเรา ไม่ยึดติดในสิ่งใดๆ เช่น เมื่อเวลาเจ็บป่วย ต้องดูแลรักษาให้ดี แต่ในใจเราคิดว่า หายก็เอา ตายก็เอา คือ พูดและทำอย่างหนึ่ง แต่ใจเราคิดอีกอย่างหนึ่ง
โฆษณา