Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Doctor Near you (หมอใกล้คุณ)
•
ติดตาม
7 ก.ย. เวลา 11:18 • สุขภาพ
"น้ำตาลสะสม" HbA1c : ตัวชี้วัดสำคัญที่ผู้ป่วยเบาหวานต้องรู้
ในวงการแพทย์ โดยเฉพาะการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน ท่านอาจเคยได้ยินคำว่า "HbA1c" (เอชบีเอวันซี) หรือที่คนทั่วไปมักเรียกกันติดปากว่า "ค่าน้ำตาลสะสม" กันอยู่บ่อยครั้ง ค่านี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขในใบรายงานผลเลือด แต่เป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของเราตลอดช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา และเป็นเครื่องมือสำคัญที่แพทย์ใช้ในการประเมินและวางแผนการรักษาเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ HbA1c ให้ลึกซึ้งในทุกแง่มุม
🧑⚕️ HbA1c คืออะไร และเริ่มใช้ในทางการแพทย์เมื่อใด?
HbA1c ย่อมาจาก Hemoglobin A1c หรือ Glycated Hemoglobin หากจะอธิบายให้เข้าใจง่าย ให้จินตนาการว่าในเม็ดเลือดแดงของเรามีโปรตีนชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า "ฮีโมโกลบิน" (Hemoglobin) ซึ่งทำหน้าที่หลักในการขนส่งออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย
เมื่อมีน้ำตาล (กลูโคส) ล่องลอยอยู่ในกระแสเลือด น้ำตาลเหล่านี้จะเข้าไปจับกับโปรตีนฮีโมโกลบินอย่างช้าๆ แบบถาวร (กระบวนการนี้เรียกว่า Glycation) เกิดเป็นฮีโมโกลบินที่ถูกน้ำตาลเคลือบไว้ หรือที่เรียกว่า "HbA1c"
ยิ่งในเลือดมีระดับน้ำตาลสูงเป็นเวลานานเท่าไร ก็จะยิ่งมีฮีโมโกลบินที่ถูกน้ำตาลจับมากขึ้นเท่านั้น เปรียบเสมือนขนมที่ถูกนำไปชุบน้ำเชื่อม ยิ่งชุบนานและน้ำเชื่อมยิ่งข้น ก็ยิ่งมีน้ำตาลเคลือบหนาขึ้น
เนื่องจากเม็ดเลือดแดงมีอายุเฉลี่ยประมาณ 8-12 สัปดาห์ (หรือประมาณ 2-3 เดือน) การวัดสัดส่วนของ HbA1c จึงสามารถบอกค่าเฉลี่ยของระดับน้ำตาลในเลือดตลอดช่วงเวลาดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
⌛️ Timeline การนำมาใช้ในทางคลินิก
■
ทศวรรษ 1960s: มีการค้นพบ HbA1c เป็นครั้งแรก และสังเกตพบว่ามีปริมาณสูงขึ้นในผู้ป่วยเบาหวาน
■
ทศวรรษ 1970s: เริ่มมีการเสนอแนวคิดในการใช้ HbA1c เป็นตัวชี้วัดเพื่อติดตามการควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน
■
ทศวรรษ 1980s: การตรวจ HbA1c เริ่มถูกนำมาใช้ในทางปฏิบัติทางคลินิกอย่างแพร่หลายมากขึ้น
■
1993: ผลการศึกษาครั้งสำคัญที่ชื่อว่า DCCT (Diabetes Control and Complications Trial) ได้ยืนยันความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างค่า HbA1c กับความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางหลอดเลือดขนาดเล็ก (ตา ไต เส้นประสาท) ทำให้ HbA1c กลายเป็น "มาตรฐานทองคำ" (Gold Standard) ในการติดตามการรักษาเบาหวานนับตั้งแต่นั้นมา
■
2010: สมาคมโรคเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริกา (American Diabetes Association: ADA) ได้แนะนำให้ใช้ค่า HbA1c เป็นหนึ่งในเกณฑ์สำหรับวินิจฉัยโรคเบาหวานและภาวะก่อนเบาหวานด้วย
🧪 ค่า HbA1c ของคนปกติ และปัจจัยที่อาจทำให้คลาดเคลื่อน
โดยทั่วไปแล้ว ค่า HbA1c จะถูกแปลผลโดยแบ่งเป็น 3 ระดับหลักตามเกณฑ์สากล ดังนี้
✓
ปกติ (Normal) : <5.7%
✓
ภาวะก่อนเบาหวาน (Pre DM) : 5.7 - 6.4%
✓
เบาหวาน (DM) : >6.4%
สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่อยู่ระหว่างการรักษา แพทย์จะตั้งเป้าหมายค่า HbA1c เป็นรายบุคคล โดยทั่วไปมักตั้งเป้าหมายไว้ที่ น้อยกว่า 7.0% เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน แต่เป้าหมายอาจปรับเปลี่ยนได้ตามอายุ, โรคร่วม, และความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำของผู้ป่วยแต่ละราย
📊 ปัจจัยที่อาจทำให้ค่า HbA1c คลาดเคลื่อน
แม้ว่า HbA1c จะเป็นการตรวจที่น่าเชื่อถือ แต่ก็มีบางภาวะที่ส่งผลต่ออายุของเม็ดเลือดแดงหรือตัวฮีโมโกลบินเอง ซึ่งอาจทำให้ค่าที่วัดได้สูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริงได้ ได้แก่
1. ภาวะที่ทำให้อายุเม็ดเลือดแดงสั้นลง (ค่า HbA1c อาจต่ำกว่าความเป็นจริง)
✓
ภาวะโลหิตจางจากการแตกทำลายของเม็ดเลือดแดง (Hemolytic anemia)
✓
การเสียเลือดปริมาณมากเฉียบพลัน หรือเพิ่งได้รับการให้เลือด
✓
ภาวะม้ามโต (Splenomegaly)
✓
การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาต้านไวรัสบางตัว
2. ภาวะที่ทำให้อายุเม็ดเลือดแดงยาวนานขึ้น (ค่า HbA1c อาจสูงกว่าความเป็นจริง)
✓
ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก (Iron deficiency anemia) หรือขาดวิตามินบี 12
✓
ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดม้ามออกไป (Splenectomy)
3. ภาวะที่เกี่ยวกับความผิดปกติของฮีโมโกลบิน (Hemoglobinopathies)
✓
ผู้ที่เป็นพาหะหรือเป็นโรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia) หรือ Sickle cell trait อาจทำให้การแปลผลคลาดเคลื่อนได้ ขึ้นอยู่กับวิธีการตรวจของแต่ละห้องปฏิบัติการ
4. ภาวะอื่นๆ
✓
โรคไตวายเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease): อาจทำให้ค่า HbA1c สูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริงได้
✓
การตั้งครรภ์: โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3
✓
ภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงมาก
ดังนั้น หากผู้ป่วยมีภาวะดังกล่าว แพทย์จะพิจารณาใช้การตรวจวัดระดับน้ำตาลด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย เพื่อให้ได้ภาพรวมการควบคุมเบาหวานที่แม่นยำที่สุด
👩⚕️ เหตุผลที่แพทย์นิยมใช้ HbA1c ในการติดตามผู้ป่วยเบาหวาน
การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองที่บ้าน (Self-Monitoring of Blood Glucose) โดยการเจาะเลือดที่ปลายนิ้วนั้นให้ข้อมูลที่เป็นเพียง "ภาพถ่าย ณ จุดเวลาเดียว" ซึ่งอาจผันผวนได้ง่ายจากอาหารที่เพิ่งรับประทาน, การออกกำลังกาย, หรือความเครียด ในขณะที่ HbA1c ให้ประโยชน์ที่เหนือกว่าในการติดตามผลระยะยาว ด้วยเหตุผลสำคัญดังนี้
✓
ให้ภาพรวมระยะยาว: HbA1c เป็นตัวแทนของค่าเฉลี่ยน้ำตาลตลอด 2-3 เดือน ทำให้แพทย์เห็นภาพรวมการควบคุมเบาหวานที่แท้จริงของผู้ป่วยได้ดีกว่า ไม่ถูกบิดเบือนจากพฤติกรรมระยะสั้นๆ ก่อนวันมาพบแพทย์
✓
ความสะดวกของผู้ป่วย: การตรวจ HbA1c ไม่จำเป็นต้องงดอาหารหรือเครื่องดื่มก่อนเจาะเลือด สามารถทำได้ทุกช่วงเวลาของวัน
✓
มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนอย่างยิ่งยวด: ดังที่กล่าวไปข้างต้น ผลการศึกษาขนาดใหญ่ยืนยันชัดเจนว่า ทุกๆ 1% ของค่า HbA1c ที่ลดลง สามารถลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่ตา ไต และเส้นประสาทได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ค่า HbA1c เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการประเมินความเสี่ยงและกระตุ้นให้ผู้ป่วยควบคุมโรคได้ดีขึ้น
✓
ความแปรปรวนน้อยกว่า: ค่า HbA1c มีความคงที่และมีความแปรปรวนทางชีวภาพ (Biological variation) น้อยกว่าค่าระดับน้ำตาลในเลือดจากการอดอาหาร (Fasting Plasma Glucose)
✓
เป็นมาตรฐานสากล: การตรวจวัด HbA1c ในปัจจุบันมีกระบวนการที่เป็นมาตรฐานทั่วโลก ทำให้ผลที่ได้จากห้องปฏิบัติการต่างๆ มีความน่าเชื่อถือและเปรียบเทียบกันได้
โดยสรุป HbA1c ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือ "พันธมิตร" ที่ช่วยให้ทั้งแพทย์และผู้ป่วยเบาหวานสามารถประเมินผลการควบคุมโรคในระยะยาวได้อย่างแม่นยำ นำไปสู่การปรับเปลี่ยนแผนการรักษา การใช้ยา และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อเป้าหมายสูงสุดคือการมีคุณภาพชีวิตที่ดีและห่างไกลจากภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานในระยะยาว
อ่านบน FB ได้ที่นี่
https://www.facebook.com/share/p/16iw4Rcb7T/?mibextid=wwXIfr
การแพทย์
สุขภาพ
ความรู้รอบตัว
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
รวมความรู้เกียวกับเบาหวาน ( DM )
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย