Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Doctor Near you (หมอใกล้คุณ)
•
ติดตาม
6 ก.ย. เวลา 11:18 • สุขภาพ
โรคไตแทรกซ้อนจากเบาหวาน (Diabetic Nephropathy): ทำความเข้าใจเพื่อป้องกันและชะลอการเสื่อมของไต
โรคเบาหวานเป็นภาวะเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่ออวัยวะทั่วร่างกาย และ "ไต" ก็เป็นหนึ่งในอวัยวะเป้าหมายสำคัญที่มักได้รับผลกระทบโดยตรง ภาวะแทรกซ้อนทางไตจากเบาหวาน หรือ Diabetic Nephropathy เป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายทั่วโลก การทำความเข้าใจถึงกลไกการเกิดโรค โอกาสและความเสี่ยง รวมถึงแนวทางการป้องกันและชะลอการเสื่อมของไต จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยเบาหวานและผู้ดูแล
🧑⚕️ทำไมเบาหวานจึงทำให้เป็นโรคไต?
ไตทำหน้าที่เปรียบเสมือนเครื่องกรองขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพสูงของร่างกาย ประกอบด้วยหน่วยกรองเล็กๆ นับล้านหน่วยเรียกว่า "โกลเมอรูลัส" (Glomerulus) ซึ่งทำหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือดและคงไว้ซึ่งสารที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น โปรตีน
ในภาวะเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี จะเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) เรื้อรัง ซึ่งส่งผลเสียต่อไตในหลายกลไก ได้แก่
1. การกรองทำงานหนักเกินไป (Glomerular Hyperfiltration): ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงในช่วงแรกจะกระตุ้นให้หน่วยกรองของไตทำงานหนักและกรองเลือดในอัตราที่สูงกว่าปกติ ภาวะนี้แม้จะไม่แสดงอาการ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการทำลายไตในระยะยาว
2. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของหน่วยกรองไต
●
ผนังหลอดเลือดฝอยหนาตัวขึ้น (Basement Membrane Thickening): น้ำตาลที่สูงในเลือดจะเข้าไปจับกับโปรตีนต่างๆ ทำให้โครงสร้างของผนังหน่วยกรองหนาและแข็งตัวขึ้น
●
เนื้อเยื่อในหน่วยกรองเพิ่มจำนวน (Mesangial Expansion): เซลล์ที่อยู่ระหว่างหลอดเลือดฝอยในหน่วยกรองมีการแบ่งตัวและสร้างสารเคลือบเซลล์ (Extracellular matrix) เพิ่มขึ้น ทำให้หน่วยกรองโดยรวมขยายขนาดและผิดรูป
●
เซลล์ Podocyte เสียหาย: เซลล์ชนิดพิเศษที่ทำหน้าที่เป็นปราการด่านสุดท้ายในการป้องกันโปรตีนรั่วไหลออกจากหน่วยกรองเกิดความเสียหาย ทำให้สูญเสียความสามารถในการกรอง
3. การอักเสบและเกิดพังผืด (Inflammation and Fibrosis): ภาวะน้ำตาลสูงกระตุ้นให้เกิดสารอักเสบต่างๆ นำไปสู่การอักเสบเรื้อรังและเกิดเป็นพังผืดในเนื้อไต ทำให้โครงสร้างของไตเสียไปอย่างถาวร
4. ความดันโลหิตสูง: ผู้ป่วยเบาหวานมักมีความดันโลหิตสูงร่วมด้วย ซึ่งจะยิ่งเพิ่มแรงดันภายในหน่วยกรองไต และเร่งกระบวนการทำลายไตให้เร็วขึ้น
เมื่อหน่วยกรองของไตถูกทำลายมากขึ้น จะเริ่มมีโปรตีนขนาดเล็กอย่าง "อัลบูมิน" (Albumin) รั่วออกมาในปัสสาวะในปริมาณเล็กน้อย (Microalbuminuria) ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนแรกของโรคไตจากเบาหวาน หากยังไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง การทำลายไตจะดำเนินต่อไปจนโปรตีนรั่วออกมาในปริมาณมาก (Macroalbuminuria) และค่าการทำงานของไต (eGFR) จะเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง จนเข้าสู่ภาวะไตวายเรื้อรังในที่สุด
⏳ เป็นเบาหวานนานแค่ไหน และมีโอกาสมากเท่าไหร่ที่จะเป็นโรคไต?
ไม่ใช่ผู้ป่วยเบาหวานทุกคนที่จะเป็นโรคไต แต่ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่เป็นเบาหวานและการควบคุมโรค
โอกาสในการเกิด 📊
●
ข้อมูลทางสถิติชี้ว่า ประมาณ 20-50% ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ไต สำหรับข้อมูลในประเทศไทยพบความชุกอยู่ที่ประมาณ 40-41.5%
ระยะเวลาที่เริ่มเกิดโรค ⌛️
●
เบาหวานชนิดที่ 1: มักจะเริ่มตรวจพบความผิดปกติของไต (เช่น โปรตีนรั่วในปัสสาวะ) หลังจากเป็นเบาหวานมาแล้ว 10-15 ปี
●
เบาหวานชนิดที่ 2: อาจตรวจพบได้เร็วขึ้น คือประมาณ 5-10 ปีหลังการวินิจฉัย หรืออาจตรวจพบได้ทันทีที่วินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน เนื่องจากผู้ป่วยบางรายอาจมีภาวะน้ำตาลสูงแฝงอยู่เป็นเวลาหลายปีก่อนที่จะได้รับการวินิจฉัยอย่างเป็นทางการ
ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ⚠️
●
ระยะเวลาที่เป็นเบาหวาน: ยิ่งเป็นนาน ความเสี่ยงยิ่งสูง จากการศึกษาพบว่าการเป็นเบาหวานนานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป เพิ่มความเสี่ยงโรคไตเรื้อรังได้ถึง 1.84 เท่า
●
การควบคุมระดับน้ำตาล: การควบคุมระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c) ได้ไม่ดี เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด
●
ความดันโลหิตสูง: เป็นทั้งสาเหตุร่วมและผลลัพธ์ที่เร่งให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น
●
พันธุกรรม: หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคไตจากเบาหวาน
●
ภาวะอ้วน และไขมันในเลือดสูง
●
การสูบบุหรี่
ด้วยเหตุนี้ แนวทางการแพทย์จึงแนะนำให้ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ควรได้รับการตรวจคัดกรองโรคไต (ตรวจโปรตีนอัลบูมินในปัสสาวะและตรวจเลือดดูค่าการทำงานของไต) ตั้งแต่ครั้งแรกที่วินิจฉัย และตรวจซ้ำเป็นประจำทุกปี ส่วนผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ควรเริ่มตรวจหลังวินิจฉัยแล้ว 5 ปี
⚕️ การรักษาเบาหวานช่วยป้องกันและชะลอโรคไตได้อย่างไร?
ข่าวดีคือ เราสามารถป้องกันหรือชะลอการดำเนินของโรคไตจากเบาหวานได้อย่างมีนัยสำคัญ การรักษาและควบคุมเบาหวานอย่างเข้มงวดคือหัวใจสำคัญที่สุด
1. การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด (Glycemic Control)
เป้าหมายหลักคือการควบคุมระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c) ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ซึ่งโดยทั่วไปแนะนำให้ ต่ำกว่า 7%
●
ประสิทธิภาพ: มีหลักฐานเชิงประจักษ์ชัดเจนว่า การควบคุม HbA1c ให้อยู่ในระดับเป้าหมายสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโปรตีนรั่วในปัสสาวะ และชะลออัตราการเสื่อมของไตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ไตยังไม่เสื่อมหรือเสื่อมในระยะแรกๆ
2. การควบคุมความดันโลหิต (Blood Pressure Control)
การควบคุมความดันโลหิตมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการควบคุมน้ำตาล
●
เป้าหมาย: โดยทั่วไปคือ น้อยกว่า 130/80 มิลลิเมตรปรอท (หรือตามที่แพทย์พิจารณาตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย)
●
ประสิทธิภาพ: การศึกษา UKPDS (United Kingdom Prospective Diabetes Study) พบว่าการลดความดันโลหิตซิสโตลิก (ตัวบน) ลงทุกๆ 10 มิลลิเมตรปรอท จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน รวมถึงโรคไตได้ถึง 12% ยาในกลุ่ม ACE inhibitors หรือ ARBs เป็นยาหลักที่แนะนำในผู้ป่วยเบาหวานที่มีความดันโลหิตสูงและ/หรือมีโปรตีนรั่วในปัสสาวะ เนื่องจากมีฤทธิ์ลดแรงดันในหน่วยกรองไตโดยตรง
3. การใช้ยาชนิดใหม่เพื่อการปกป้องไต (Novel Therapies)
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วงการแพทย์ได้ค้นพบยาเบาหวานกลุ่มใหม่ที่มีคุณสมบัติในการปกป้องหัวใจและไตได้อย่างชัดเจน นอกเหนือจากการควบคุมระดับน้ำตาล
💊กลุ่มยา SGLT2 inhibitors (Sodium-glucose cotransporter-2 inhibitors): ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการดูดกลับของน้ำตาลและโซเดียมที่ท่อไต ทำให้มีการขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะมากขึ้น
✓
กลไกปกป้องไต: ช่วยลดภาวะการกรองทำงานหนัก (Hyperfiltration) ลดแรงดันในหน่วยกรองไต ลดการอักเสบและพังผืดในไต
✓
หลักฐานเชิงประจักษ์: จากการศึกษาขนาดใหญ่หลายการศึกษา (เช่น DAPA-CKD, EMPA-KIDNEY) พบว่ายากลุ่มนี้สามารถชะลอการเสื่อมของค่า eGFR ลดความเสี่ยงในการเข้าสู่ภาวะไตวายระยะสุดท้าย และลดการเสียชีวิตจากโรคไตและโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในผู้ป่วยเบาหวานและผู้ที่ไม่มีเบาหวาน
💊 กลุ่มยา GLP-1 Receptor Agonists (Glucagon-like peptide-1 receptor agonists)
✓
กลไกปกป้องไต: ช่วยลดการอักเสบ ลดภาวะเครียดออกซิเดชัน (Oxidative stress) และลดการรั่วของโปรตีนในปัสสาวะ
✓
หลักฐานเชิงประจักษ์: การศึกษาต่างๆ แสดงให้เห็นว่ายากลุ่มนี้มีประสิทธิภาพในการลดการเกิดและการลุกลามของภาวะโปรตีนรั่วในปัสสาวะ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของโรคไตจากเบาหวาน
การเลือกใช้ยาเหล่านี้ขึ้นอยู่กับสภาวะของผู้ป่วยแต่ละราย โรคร่วม และดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา
📝 โดยสรุป
โรคไตจากเบาหวานเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายแต่สามารถป้องกันและชะลอได้ การตระหนักรู้ถึงความเสี่ยง การเข้ารับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ
ที่สำคัญที่สุดคือการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก ทั้งระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์เป้าหมายอย่างเคร่งครัด รวมถึงการปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาการรักษาด้วยยาที่เหมาะสม จะเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดที่ช่วยให้ไตของผู้ป่วยเบาหวานยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพไปได้ยาวนานที่สุด
อ่านบน FB ได้ที่นี่
https://www.facebook.com/share/p/1D3wNmwNwi/?mibextid=wwXIfr
การแพทย์
สุขภาพ
ความรู้รอบตัว
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
รวมความรู้เกียวกับเบาหวาน ( DM )
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย