Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ดินสอ ธรรม
•
ติดตาม
เมื่อวาน เวลา 08:27 • ปรัชญา
ความจริง มันไม่เป็นอะไรหรอกคนเรา เป็นก็เป็นด้วยสมมุติ ถ้าถอนสมมุติออกก็เป็นวิมุตติ
คนบางคน ทำดีมาตลอดชั่วชีวิต
แต่มาเผลอ ทำชั่วเพียงครั้งเดียว
ทำให้ได้รับผลกรรมชั่วนั้น ทำลายทั้งชีวิต ก็มี
"กฎแห่งกรรมมีจริง"
มีคำพูดหนึ่งของพระพุทธเจ้า ว่า
"กรรมชั่ว อย่าทำเสียเลยดีกว่า"
เพราะ กรรมดี กรรมชั่ว มีผล ตามกฎแห่งกรรม
คนจึงมีหน้าที่ต้อง
"เข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมให้ได้ อย่างลึกซึ้งเพียงพอ"
กฎแห่งกรรมมีจริง มีคำพูดหนึ่งของพระพุทธเจ้า ว่า "กรรมชั่ว อย่าทำเสียเลยดีกว่า"
ทำไมบางคน ทำดีไม่ได้ดี
หลวงพ่อชา สอนเรื่องทำดี ว่า
ฟังให้ดีนะ "ทำดีนะ ดีนะ ไม่ใช่ ได้สองขั้น"
ทำดี มันดีอยู่แล้วในตัวมันเอง ส่วนผลในขณะนี้ เป็นหน้าที่ของ ธรรมชาติ เพราะกรรมมีกาลเวลาของมัน โดยขึ้นกับแต่ละคน และแต่ละชนิดกรรมด้วย
ในความเป็นจริง
ทำดี มันดีอยู่แล้วในตัวมันเอง
ส่วนผลในขณะนี้ เป็นหน้าที่ของ ธรรมชาติ
เพราะกรรมมีกาลเวลาของมัน โดยขึ้นกับแต่ละคน และแต่ละชนิดกรรม รวมถึงกรรมข้ามภพชาติด้วย
คนจึงมีหน้าที่
"ทำกรรมดีให้ถึงพร้อมด้วยเหตุปัจจัยและเงื่อนไข"
ส่วนผลนั้น เป็นหน้าที่ของธรรมชาติ(กฎแห่งกรรม)
ผลที่ได้รับขณะนี้
อาจเกิดจากเหตุในอดีตนานๆ ก็ได้
หรือเป็นกรรมในอดีตชาติที่ค้างจ่ายและส่งผลผูกพันให้เราต้องมาชดใช้ต่อในชาตินี้ เพราะกฎแห่งกรรมนั้นข้ามภพชาติ ไม่ใช่ตายแล้วจบ จะจบได้เฉพาะคนที่ตายแล้วไม่เกิดอีก
เพราะร่องรอยเดิมของกรรมดี กรรมชั่ว มีผล
มันส่งผลตามกาลเวลาของมันซึ่งเป็น"กฎแห่งกรรม"
โดยสิ่งที่สะสมไว้มากกว่า มีโอกาสผุดขึ้นมามากกว่า
เมื่อเวลา จิตสุดท้าย มาถึง จะเกิดกรรมนิมิต
นำพาวิญญาณข้ามภพชาติไปเกิดตามนิมิตนั้น
บางคนตายแล้วไปเกิดเป็นคนอีกในสภาพแวดล้อมที่กรรมกำหนดแตกต่างกันไป บางคนตายแล้วไปเกิดเป็นหมาหรือแมว ก็เป็นไปได้ คนที่เลี้ยงหมาหรือแมวในชาตินี้ คงมีกรรมบางอย่างที่เคยทำในอดีต ทั้งที่เป็นกุศลกรรมและอกุศลกรรมส่งผลให้ต้องมาดูแลกันต่อในชาตินี้ และอาจต่อเนื่องต่อไปจนกว่าจะหมดกรรม
1
คนมักเข้าใจว่าบุญและกุศล เป็นสิ่งเดียวกัน
ความจริง
บุญ เป็นเรื่องความสบายใจ
กุศล เป็นเรื่องของปัญญาการละความโลภ โกรธ หลง
วิธี ทำบุญให้ได้กุศล
ด้วยการน้อมเรื่องบุญ เช่น เรื่องทานเข้ามาอบรมจิตใจเราเองว่า ทำทานไปเพื่อการละกิเลส ความโลภ
หลวงพ่อชา สอนให้ คิด พูด ทำ อย่างเป็น "ธรรม"เพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน
กรรมแบ่งเป็น 3 ชนิด
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
หลวงพ่อชา สอนเรื่อง "คนเราจะทำอะไรนั้น ต้องมีในใจก่อน จึงทำได้" มโนกรรมจึงเป็นต้นทางของกรรม ดังนั้น คนต้องมีสัมมาทิฏฐิ เพื่อปฏิบัติกุศลกรรม คิด พูด ทำ อย่างเป็น"ธรรม" ซึ่งทำได้ด้วยจิตว่างจากตัวตน
จึงมีจิตเป็นกุศลและเกิดมโนกรรมแบบไม่มีตัวตน
มโนกรรมแบบไม่มีตัวตน"คิดนอกเหตุเหนือผล"
มีศีล แบบไม่มีตัวตน คือ จิตว่าง คือ ปกติ
มีสมาธิแบบไม่มีตัวตน คือ คือ สัญญาสมาธิ เป็นฐานแบบไม่มีตัวตน
มีปัญญาแบบไม่มีตัวตน คือ สักแต่ว่าเห็น คิดแบบไม่มีตัวตน หมดมานะเก้า ไม่มีการเปรียบเทียบ
เพราะตื่นจากมิติสมมติ สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าทราบ มโนกรรมแบบไม่มีตัวตน คิดนอกเหตุเหนือผล มีศีล แบบไม่มีตัวตน คือ จิตว่าง คือ ปกติ มีสมาธิแบบไม่มีตัวตน คือ สัญญาสมาธิ เป็นฐาน มีปัญญาแบบไม่มีตัวตน คือ สักแต่ว่าเห็น คิดแบบไม่มีตัวตน หมดมานะเก้า ไม่มีการเปรียบเทียบ
เพราะ สมมุติบังวิมุตติ
เพราะ สมมุติบังวิมุตติ
วิมุตติ:คือถอนสมมติออก เกิด สภาวะอมตธรรม เป็น สุญญตาวิหาร สรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีกาลเวลา
หลวงพ่อชา สอนเรื่อง คนเรียนแต่วิชาดีชั่ว เรียนแล้วเลือกเอาเฉพาะดี แต่ชั่ววิ่งตามเพราะมันมีพร้อมกันทั้งสองสิ่งอยู่ในสิ่งเดียวกัน ส่วน วิชาไม่ดีไม่ชั่ว คนไม่ได้เรียนกัน
หลวงพ่อชา สอนเรื่อง ตัวตน ว่า
"ผู้ที่เห็นตัวตนจริงๆ คือเห็นว่า ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน"
หลักธรรมะของพระพุทธเจ้าสอนให้ปฏิบัติเพื่อเห็น"อนัตตา"คือเห็นตัวตนนี้เป็นของว่าง ไม่ใช่เป็นของมีตัวตน เป็นของว่างจากตัวตน ถ้ามีตัวตนมันจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร
ต้วตนนี้เป็นของสมมุติ
ให้เพิกถอน ให้รื้อสมมุติอันนี้ออก ให้เห็นแก่นมัน คือวิมุตติ เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ
น่าส่งสารสุนัขนอนอยู่บนกองข้าวเปลือก
เมื่อหิวก็กระโจนออกไปหากินเศษอาหาร ทั้งๆ ที่นอนทับอาหารอยู่ตรงนั้นแต่มันไม่รู้จักเพราะมันไม่เห็นข้าว
เหมือนคนมีความรู้อยู่ แต่ไม่เอาไปปฏิบัติให้เกิดผล
วิมุตติมีอยู่ แต่สมมุติบังไว้ ไม่รู้จักการปฏิบัติถอนสมมุติ
ติดสมมุติอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นทุกข์
เห็นด้วยตานอก: มันเห็นไม่ถึงที่สุดของมัน
ถ้าเห็นด้วยตาใน: พลิกสมมุติเข้าไปเห็นวิมุตติ แล้วก็เป็นของจริง เห็นชัด ถอนทันที มันจะถอนสมมุติออก ถอนทุกสิ่งทุกอย่าง "เห็นตัวตนนี้เป็นของว่าง"
เมื่อไม่มีตัวตน ก็ไม่มีการเปรียบเทียบ หมดมานะเก้า
น่าสงสารคนที่เป็นเหมือนสุนัขนอนทับอาหาร
รู้มืด ด้วยตานอก ไม่ใช่รู้แจ้ง
คือรู้ไม่ถึงนั่นเองจึงไม่สว่าง ไม่เบิกบาน
ยังไม่เห็นโทษอย่างแน่ชัด ยังไม่รู้แจ้ง
รู้แล้วปล่อยวางมันตามธรรมดาเป็นของมันอยู่อย่างนั้น
เหมือนรู้จักลิง เห็นลิงแล้วไม่เป็นลิง
สมมุติ เป็นของใช้เพื่อให้มันสะดวก
ไม่ใช่ของให้ยึดมั่น
ความจริง มันไม่เป็นอะไรหรอกคนเรา
เป็น ก็เป็นด้วยสมมุติ ถ้าถอนสมมุติก็เป็นวิมุตติ
คนไม่เป็นอะไร เป็นสามัญลักษณะ"เสมอกัน"
ความเกิดขึ้น เป็นเบื้องต้น มีความแปรไป เป็นท่ามกลาง แล้วก็ดับไปในที่สุด มันก็แค่นั้น
ความจริง ความผิดมันฝังอยู่ในความถูก
ถ้ายึดถูก ก็ไม่เป็นการปล่อยวาง
ให้แก้ปัญหาเฉพาะภายในใจเรา
เห็น ก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยิน ก็สักแต่ว่าได้ยิน ทราบ ก็สักแต่ว่าทราบ เรากับสรรพสิ่ง เป็นหนึ่งเดียวกัน
เรากับสรรพสิ่ง เป็นหนึ่งเดียวกัน
แต่ โลกที่เป็นจริงในปัจจุบัน สังคมโลกแตกแยกไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะคนยึดติดสมมติ ยึดมั่นตัวตนสมมติ เกิดการเมืองล่ม สังคมเน่า หลายประเทศเคลื่อนตัวเข้าหา รัฐล้มเหลว ประมาณว่า
"แผ่นดินใดไร้ธรรม แผ่นดินนั้นบันลัยแน่นอน"
พุทธศาสนา
กัมพูชา
ไทย
1 บันทึก
2
6
1
2
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย