Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Doctor Near you (หมอใกล้คุณ)
•
ติดตาม
4 ต.ค. เวลา 10:17 • สุขภาพ
"ภาวะดื้ออินซูลิน" (Insulin Resistance): ต้นตอของเบาหวานชนิดที่ 2
หลายคนอาจคุ้นเคยกับคำว่า "เบาหวาน" แต่ต้นตอที่แท้จริงของเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุดนั้น เริ่มต้นจากภาวะที่เรียกว่า "ภาวะดื้ออินซูลิน" (Insulin Resistance) ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายเราเริ่ม "ไม่ตอบสนอง" ต่อฮอร์โมนอินซูลินได้ดีเท่าเดิม บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงกลไกของภาวะนี้ ตั้งแต่การทำงานของอินซูลินในคนปกติ ไปจนถึงหนทางที่จะนำไปสู่การ "ภาวะโรคสงบ" กับเบาหวาน หรือที่เรียกว่า DM Remission
🕒 อินซูลินในร่างกายคนปกติ: ฮอร์โมนที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง
ลองจินตนาการว่าเซลล์ในร่างกายของเราเป็นเหมือนบ้าน และน้ำตาล (กลูโคส) ในเลือดคือพลังงานที่ต้องส่งเข้าไปในบ้าน อินซูลินก็คือ "กุญแจ" ที่ผลิตจากตับอ่อน (Pancreas) เพื่อไขประตูให้เซลล์เปิดรับน้ำตาลเข้าไปใช้
ในสภาวะปกติ ร่างกายจะหลั่งอินซูลินออกมา 2 รูปแบบหลักๆ ตลอดทั้งวัน
■
อินซูลินพื้นฐาน (Basal Insulin): เป็นอินซูลินที่ตับอ่อนหลั่งออกมาในปริมาณต่ำๆ อย่างสม่ำเสมอตลอด 24 ชั่วโมง แม้ในขณะที่เรานอนหลับหรือไม่ได้ทานอาหาร เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงเกินไปจากการที่ตับผลิตน้ำตาลออกมาตลอดเวลา เปรียบเสมือนการเปิดแอร์เบาๆ ทิ้งไว้ทั้งวันเพื่อรักษาอุณหภูมิห้อง
■
อินซูลินหลังมื้ออาหาร (Bolus Insulin): เมื่อเราทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้น ตับอ่อนจะตอบสนองโดยการหลั่งอินซูลินปริมาณมากออกมาอย่างรวดเร็ว เพื่อนำน้ำตาลจากเลือดเข้าสู่เซลล์ต่างๆ เปรียบเหมือนการเร่งแอร์ให้แรงขึ้นทันทีเมื่อมีคนเข้ามาในห้องเยอะๆ
เทียบเป็นยูนิตทางการแพทย์: โดยเฉลี่ยแล้ว ในคนปกติที่ไม่อ้วน ตับอ่อนจะผลิตอินซูลินทั้งหมดประมาณ 25-40 ยูนิตต่อวัน โดยประมาณครึ่งหนึ่ง (ราว 12-20 ยูนิต) จะเป็นอินซูลินพื้นฐาน (Basal) ที่หลั่งออกมาตลอดวัน
👩⚕️ ภาวะดื้ออินซูลินคืออะไร? เมื่อเซลล์ไม่ยอมรับ 'กุญแจ'
ภาวะดื้ออินซูลิน คือภาวะที่เซลล์ของร่างกาย (โดยเฉพาะเซลล์ตับ กล้ามเนื้อ และเซลล์ไขมัน) ตอบสนองต่ออินซูลินได้น้อยลง เปรียบเทียบได้กับ "แม่กุญแจที่เริ่มฝืด" ทำให้กุญแจ (อินซูลิน) เดิมๆ ไม่สามารถไขประตูเซลล์ได้ดีเหมือนเก่า
เมื่อเกิดภาวะนี้ขึ้น ร่างกายจะพยายามแก้ไขโดยการสั่งให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินออกมามากขึ้นๆ เพื่อเอาชนะความฝืดนั้น ในระยะแรกๆ ระดับน้ำตาลในเลือดจึงยังคง "ปกติ" แต่ระดับอินซูลินในเลือดจะ "สูงกว่าปกติ" อย่างมาก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนแรก
กลไกและสาเหตุ: สาเหตุหลักเกิดจาก ไขมันส่วนเกิน โดยเฉพาะไขมันที่สะสมในช่องท้อง (Visceral Fat) ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงก้อนไขมันเฉยๆ แต่มันยังผลิตสารเคมีและฮอร์โมนต่างๆ ที่ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังระดับเซลล์ สารเหล่านี้จะไปรบกวนเส้นทางการส่งสัญญาณของอินซูลินภายในเซลล์ (Insulin Signaling Pathway) ทำให้เซลล์ไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน
ตรวจพบได้อย่างไร? ภาวะดื้ออินซูลินสามารถพบได้ตั้งแต่ใน คนปกติที่เริ่มมีไขมันสะสม ไปจนถึง กลุ่มเสี่ยง (Pre-diabetes) ก่อนที่จะเป็นเบาหวานเต็มตัว การวินิจฉัยโดยตรงทำได้ยากในทางปฏิบัติ แต่แพทย์อาจประเมินได้จาก
■
ลักษณะทางกายภาพ: คนที่มีภาวะอ้วนลงพุง (วัดรอบเอว), มีปื้นดำคล้ายขี้ไคลตามซอกคอหรือข้อพับ (Acanthosis Nigricans)
■
ผลเลือด: ค่าไตรกลีเซอไรด์สูง, ค่าไขมันดี (HDL) ต่ำ, ความดันโลหิตเริ่มสูง ซึ่งเป็นองค์ประกอบของ Metabolic Syndrome
⏳ ชะตากรรมของ 'เบต้าเซลล์' ในเบาหวานชนิดที่ 2: เหนื่อยล้าหรือเสียหายถาวร?
เบต้าเซลล์ (Beta cells) คือเซลล์ในตับอ่อนที่มีหน้าที่ผลิตอินซูลิน เปรียบเสมือนโรงงานผลิตกุญแจ
ในภาวะดื้ออินซูลิน โรงงานนี้ต้องทำงานหนักล่วงเวลา (Overfunction) เพื่อผลิตอินซูลินปริมาณมหาศาลมาชดเชย ในช่วงแรกๆ โรงงานยังไหว แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ประกอบกับสภาวะน้ำตาลและไขมันในเลือดที่สูงเป็นพิษ (Glucotoxicity & Lipotoxicity) จะทำให้เบต้าเซลล์เกิดภาวะ "เหนื่อยล้าและหมดไฟ" (Beta-cell Dysfunction)
คำถามคือ เสียหายชั่วคราวหรือถาวร? คำตอบคือ "เป็นได้ทั้งสองอย่าง"
■
ระยะแรก (เสียหายชั่วคราว): เบต้าเซลล์แค่ "เหนื่อย" และ "งอแง" ประสิทธิภาพการทำงานลดลง แต่เซลล์ยังไม่ตาย หากเราสามารถลดภาวะดื้ออินซูลินลงได้ (เช่น ลดน้ำหนัก) เพื่อลดภาระของมัน เบต้าเซลล์เหล่านี้สามารถฟื้นฟูการทำงานกลับมาได้บางส่วน
■
ระยะท้าย (เสียหายถาวร): หากปล่อยให้เบต้าเซลล์ทำงานหนักต่อไปเรื่อยๆ เซลล์จะเริ่มตายลงอย่างถาวร (Apoptosis) ซึ่งส่วนนี้ไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้
อัตราการเสื่อมของเบต้าเซลล์ 📉
■
คนทั่วไป: เมื่ออายุมากขึ้น เบต้าเซลล์จะเสื่อมลงตามธรรมชาติในอัตราที่ช้ามาก ประมาณ 0.5% - 1% ต่อปี
■
ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2: อัตราการเสื่อมจะเร็วกว่าคนปกติหลายเท่า โดยอาจสูงถึง 4% - 6% ต่อปี สิ่งที่น่าตกใจคือ ณ วันที่วินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ผู้ป่วยอาจสูญเสียการทำงานของเบต้าเซลล์ไปแล้วถึง 50%
🧑⚕️ ทางสู่ภาวะโรคสงบ กับเบาหวาน (DM Remission): เป็นไปได้จริงหรือ?
DM Remission คือภาวะที่ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ โดยไม่ต้องใช้ยา เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 เดือน
หัวใจสำคัญของการทำ Remission คือการพุ่งเป้าไปที่ต้นตอของปัญหา
1.
ลดภาวะดื้ออินซูลิน: ทำให้เซลล์กลับมาตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีขึ้น
2.
ลดภาระของเบต้าเซลล์: เปิดโอกาสให้เบต้าเซลล์ที่ยังไม่ตายถาวรได้ "พักฟื้น" และกลับมาทำงานได้ดีขึ้น
ต้องทำอย่างไร?
กุญแจที่สำคัญที่สุดและมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับชัดเจนคือ "การลดน้ำหนักอย่างมีนัยสำคัญ" โดยเฉพาะการลดไขมันในช่องท้อง
มีงานวิจัยสำคัญชื่อ DiRECT Study พบว่าการลดน้ำหนักให้ได้ 10-15 กิโลกรัมขึ้นไป สามารถทำให้ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เพิ่งเป็นได้ไม่นาน (น้อยกว่า 6 ปี) เข้าสู่ภาวะ Remission ได้ในอัตราที่สูงมาก
แนวทางปฏิบัติ
✓
การควบคุมอาหารอย่างจริงจัง: อาจเป็นการจำกัดแคลอรี่อย่างเข้มข้นในช่วงแรก (Very Low-Calorie Diet) ภายใต้การดูแลของแพทย์ หรือการปรับเปลี่ยนรูปแบบอาหาร เช่น ลดคาร์โบไฮเดรต (Low-Carb Diet) เพื่อลดการกระตุ้นอินซูลิน
✓
การออกกำลังกาย: ช่วยเพิ่มความไวของเซลล์ต่ออินซูลินโดยตรง และช่วยควบคุมน้ำหนัก
✓
การผ่าตัดกระเพาะ (Bariatric Surgery): เป็นอีกทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงในการลดน้ำหนักและทำให้เกิด Remission
สรุปได้ว่า
ภาวะดื้ออินซูลินคือจุดเริ่มต้นของวงจรที่นำไปสู่เบาหวานชนิดที่ 2 การทำความเข้าใจกลไกนี้ทำให้เรารู้ว่า การต่อสู้กับเบาหวานไม่ใช่แค่การควบคุมตัวเลขน้ำตาล แต่คือการแก้ไขที่ต้นเหตุ ซึ่งก็คือภาวะดื้ออินซูลินนั่นเอง
และข่าวดีก็คือ ภาวะสงบของเบาหวาน (Remission) นั้นเป็นไปได้จริง โดยเฉพาะในผู้ที่เพิ่งได้รับการวินิจฉัยและมุ่งมั่นที่จะลดน้ำหนักอย่างจริงจังเพื่อฟื้นฟูร่างกายของตนเอง
สุขภาพ
ความรู้รอบตัว
การแพทย์
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
รวมความรู้เกียวกับเบาหวาน ( DM )
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย