6 ต.ค. เวลา 10:17 • สุขภาพ

รู้จักยาเบาหวานชนิดที่ 2: อาวุธหลากหลายในมือแพทย์เพื่อพิชิตน้ำตาลในเลือดสูง

โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ สาเหตุหลักมาจาก "ภาวะดื้ออินซูลิน" (Insulin Resistance) คือเซลล์ต่างๆ ไม่ตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินเท่าที่ควร ทำให้ตับอ่อนต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อผลิตอินซูลินในปริมาณที่มากกว่าปกติ ในระยะยาวตับอ่อนจะเริ่มอ่อนล้าและผลิตอินซูลินได้น้อยลง (Beta-cell Dysfunction) ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเรื่อยๆ
การรักษาเบาหวานชนิดที่ 2 จึงไม่ใช่แค่การลดน้ำตาลในเลือด แต่เป็นการจัดการที่ต้นเหตุและประคับประคองการทำงานของร่างกายให้ดีที่สุด ซึ่งนอกจากการปรับพฤติกรรม (การคุมอาหารและออกกำลังกาย) แล้ว "ยา" ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่แพทย์จะเลือกใช้ให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย บทความนี้จะพาทุกท่านไปรู้จักกับกลุ่มยาเบาหวานที่ใช้บ่อยในปัจจุบัน ว่าแต่ละกลุ่มทำงานอย่างไร มีจุดเด่นอะไรบ้าง
💊 Metformin (เมทฟอร์มิน): ยาพื้นฐานที่ทรงพลัง
Metformin ถือเป็นยาตัวแรกที่แพทย์มักเลือกใช้ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ส่วนใหญ่ หากไม่มีข้อห้าม
  • กลไกการทำงานหลัก: ออกฤทธิ์ที่ "ตับ" เป็นหลัก โดยไป ลดการสร้างน้ำตาลจากตับ (Gluconeogenesis) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำตาลที่สำคัญของร่างกายในขณะที่เราไม่ได้ทานอาหาร นอกจากนี้ยังช่วย เพิ่มความไวของเซลล์ต่ออินซูลิน เล็กน้อย ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อและเซลล์ไขมันนำน้ำตาลไปใช้ได้ดีขึ้น
  • จุดเด่น: เป็นยาที่ ไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม และ ไม่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หากใช้เป็นยาเดี่ยว มีประสิทธิภาพดี ราคาไม่แพง และมีข้อมูลการใช้มายาวนานว่าปลอดภัย
  • เปรียบเสมือน: การ "ปิดก๊อก" น้ำตาลที่ตับผลิตออกมาเกินความจำเป็น
💊 ยากลุ่ม Thiazolidinediones (-glitazone): ผู้จัดการภาวะดื้ออินซูลิน
ยากลุ่มนี้มีตัวอย่างเช่น Pioglitazone
  • กลไกการทำงานหลัก: เป็นยาที่พุ่งเป้าไปที่การ ลดภาวะดื้ออินซูลิน โดยตรง โดยจะไปกระตุ้นตัวรับในเซลล์ (PPAR-gamma) โดยเฉพาะใน เซลล์ไขมัน ทำให้เซลล์ไขมันเก็บกรดไขมันอิสระได้ดีขึ้น ลดการปล่อยไขมันส่วนเกินออกมาในกระแสเลือด ซึ่งไขมันเหล่านี้เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อและตับเกิดภาวะดื้ออินซูลิน เมื่อภาวะดื้ออินซูลินลดลง ร่างกายจะใช้อินซูลินที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • จุดเด่น: จัดการที่ต้นเหตุของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 คือภาวะดื้ออินซูลิน
  • ข้อควรระวัง: อาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจากการบวมน้ำและมวลไขมันใต้ผิวหนังเพิ่มขึ้น จึงต้องระมัดระวังการใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว
  • เปรียบเสมือน: "ช่างซ่อม" ที่เข้าไปแก้ไขทำให้ประตูเซลล์ (ตัวรับอินซูลิน) กลับมาทำงานรับลูกกุญแจ (อินซูลิน) ได้ดีขึ้น
💊 ยากลุ่ม DPP-4 inhibitors (-gliptin): ผู้พิทักษ์ฮอร์โมนลำไส้
ยากลุ่มนี้มีหลายตัวยาที่ลงท้ายด้วย "-gliptin" เช่น Sitagliptin, Linagliptin, Vildagliptin
  • กลไกการทำงานหลัก: ปกติเมื่อเรารับประทานอาหาร ลำไส้จะหลั่งฮอร์โมนกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า "อินครีติน" (Incretin) เช่น GLP-1 ซึ่งมีหน้าที่ไปกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งอินซูลิน และลดการหลั่งฮอร์โมนกลูคากอน (ที่กระตุ้นการสร้างน้ำตาล) แต่ฮอร์โมนอินครีตินนี้จะถูกทำลายอย่างรวดเร็วโดยเอนไซม์ที่ชื่อว่า DPP-4 ยากลุ่มนี้จะเข้าไป ยับยั้งเอนไซม์ DPP-4 ทำให้ฮอร์โมนอินครีตินที่ร่างกายสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติมีชีวิตอยู่นานขึ้นและออกฤทธิ์ได้นานขึ้น ผลคือตับอ่อนจะหลั่งอินซูลินมากขึ้นเมื่อมีอาหารตกถึงท้อง
  • จุดเด่น: ออกฤทธิ์ตามมื้ออาหาร (Glucose-dependent) จึงมีความเสี่ยงต่ำมากที่จะทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ และไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
  • เปรียบเสมือน: "บอดี้การ์ด" ที่คอยปกป้องฮอร์โมนอินครีตินไม่ให้ถูกทำลายเร็วเกินไป
💊 ยากลุ่ม SGLT2 inhibitors (-gliflozin): ผู้ขับน้ำตาลส่วนเกินทิ้งทางปัสสาวะ
เป็นยากลุ่มใหม่ที่มีประโยชน์มากกว่าการลดน้ำตาลในเลือด ตัวอย่างยาเช่น Dapagliflozin, Empagliflozin, Canagliflozin
  • กลไกการทำงานหลัก: ออกฤทธิ์ที่ "ไต" โดยไปยับยั้งโปรตีน SGLT2 (Sodium-glucose co-transporter 2) ซึ่งทำหน้าที่ดูดกลับน้ำตาลจากปัสสาวะกลับเข้าสู่กระแสเลือด เมื่อโปรตีนนี้ถูกยับยั้ง จะทำให้ น้ำตาลส่วนเกินถูกขับทิ้งออกไปทางปัสสาวะ
จุดเด่น
  • ลดน้ำหนัก ได้ เพราะมีการขับแคลอรี่ (ในรูปของน้ำตาล) ทิ้งไป
  • ลดความดันโลหิต ได้เล็กน้อย
  • มีผลดีต่อ หัวใจและไต อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยช่วยลดอัตราการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวและชะลอการเสื่อมของไตได้
  • ข้อควรระวัง: อาจเพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์ได้ เนื่องจากมีน้ำตาลในปัสสาวะมากขึ้น
  • เปรียบเสมือน: การ "เปิดประตูระบายน้ำ" ที่ไต เพื่อปล่อยน้ำตาลที่ล้นเกินในร่างกายออกไป
💊 ยากลุ่ม GLP-1 Receptor Agonists (GLP-1 RA): ยาฉีดมหัศจรรย์
เป็นยาในรูปแบบฉีด (มีทั้งแบบฉีดทุกวันและสัปดาห์ละครั้ง) เช่น Liraglutide, Semaglutide, Dulaglutide
  • กลไกการทำงานหลัก: เป็นยาที่ เลียนแบบการทำงานของฮอร์โมนอินครีติน (GLP-1) แต่มีความเข้มข้นสูงและออกฤทธิ์ได้นานกว่าที่ร่างกายสร้างเอง
ออกฤทธิ์หลายกลไกคือ
  • กระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งอินซูลินตามระดับน้ำตาลในเลือด
  • ลดการหลั่งฮอร์โมนกลูคากอน
  • ชะลอการบีบตัวของกระเพาะอาหาร ทำให้อาหารอยู่ในกระเพาะนานขึ้น รู้สึกอิ่มเร็ว
  • ออกฤทธิ์ที่สมอง ลดความอยากอาหาร
จุดเด่น
  • เป็นยาเบาหวานที่ ลดน้ำหนักได้ดีที่สุด
  • มีผลดีต่อ หัวใจและหลอดเลือด ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้
  • ความเสี่ยงน้ำตาลต่ำน้อยมาก
  • เปรียบเสมือน: "ซูเปอร์ฮอร์โมน" ที่เข้าไปสั่งการร่างกายหลายๆ ส่วนพร้อมกัน ทั้งที่ตับอ่อน กระเพาะอาหาร และสมอง เพื่อควบคุมน้ำตาลและน้ำหนัก
💊 ยากลุ่ม Sulfonylureas (SU) และยากระตุ้นการหลั่งอินซูลินอื่นๆ
เป็นยากลุ่มเก่าแก่ เช่น Glibenclamide, Glipizide, Gliclazide ปัจจุบันมีการใช้น้อยลง
  • กลไกการทำงานหลัก: ออกฤทธิ์โดยตรงที่ "ตับอ่อน" โดยไปกระตุ้นเบต้าเซลล์ (Beta-cell) ให้ "เค้น" หรือ "บีบ" อินซูลินออกมามากขึ้น ไม่ว่าระดับน้ำตาลในเลือดขณะนั้นจะเป็นอย่างไร
เหตุผลที่ใช้น้อยลง
  • เสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำสูง เพราะกระตุ้นการหลั่งอินซูลินตลอดเวลา ไม่ได้ขึ้นกับมื้ออาหาร
  • อาจทำให้ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
  • การกระตุ้นให้เบต้าเซลล์ทำงานหนักตลอดเวลา ถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจทำให้ เบต้าเซลล์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น ในระยะยาว (Beta-cell exhaustion)
  • เปรียบเสมือน: การ "บิดผ้าเปียก" เพื่อเค้นน้ำออกมาให้หมด ซึ่งอาจทำให้ผ้า (เบต้าเซลล์) เสียสภาพเร็วขึ้น
💉การใช้อินซูลิน (Insulin)
ในผู้ป่วยบางราย การใช้ยาเม็ดหรือยาฉีดกลุ่มอื่นอาจไม่เพียงพอ แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาด้วยการฉีดอินซูลินเข้าไปทดแทน
ข้อบ่งชี้ในการใช้
  • เมื่อตับอ่อนผลิตอินซูลินได้น้อยมาก: สามารถตรวจวัดทางห้องปฏิบัติการได้จากระดับ C-peptide ซึ่งเป็นสารที่หลั่งออกมาพร้อมกับอินซูลิน หากมีค่า C-peptide ต่ำมาก แสดงว่าตับอ่อนแทบไม่สร้างอินซูลินแล้ว จำเป็นต้องฉีดทดแทนจากภายนอก
  • ในภาวะที่ควบคุมน้ำตาลไม่ได้: เช่น ในผู้ป่วยที่มีน้ำตาลสูงมากตั้งแต่แรกวินิจฉัย มีอาการของภาวะน้ำตาลสูงชัดเจน (หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย น้ำหนักลด)
  • ในภาวะเจ็บป่วยเฉียบพลัน: เช่น การติดเชื้อรุนแรง การผ่าตัดใหญ่ ซึ่งร่างกายมีความต้องการอินซูลินสูงขึ้นชั่วคราว
  • เปรียบเสมือน: การ "เติมน้ำมัน" ให้กับรถยนต์ที่ถังน้ำมันพร่องไปมากแล้ว เพื่อให้เครื่องยนต์สามารถทำงานต่อไปได้
📝 สรุป
การรักษาเบาหวานชนิดที่ 2 ในปัจจุบันมีอาวุธที่หลากหลาย แพทย์จะพิจารณาเลือกใช้ยาโดยคำนึงถึงปัจจัยรอบด้านของผู้ป่วยแต่ละคน ทั้งระดับน้ำตาล โรคร่วม (โรคหัวใจ, โรคไต) น้ำหนักตัว ความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลต่ำ และค่าใช้จ่าย เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมโรคได้ดีที่สุด มีคุณภาพชีวิตที่ดี และลดภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว
สิ่งสำคัญที่สุดคือการใช้ยาควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งเป็นหัวใจของการรักษาเบาหวานอย่างยั่งยืนครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา