10 ต.ค. เวลา 08:15 • สุขภาพ

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia): สัญญาณเตือนภัยที่ร่างกายต้องรีบแก้ไข

หลายคนอาจคุ้นเคยกับ "ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง" ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของโรคเบาหวาน แต่ในทางกลับกัน "ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ" หรือ Hypoglycemia ก็เป็นภาวะที่อันตรายไม่แพ้กัน และอาจเกิดขึ้นได้อย่างเฉียบพลัน บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจภาวะนี้อย่างละเอียด ตั้งแต่สาเหตุ อาการ ไปจนถึงการดูแลเบื้องต้นที่ถูกต้อง
🧑‍⚕️ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) คืออะไร?
โดยปกติแล้ว ร่างกายของเราจะรักษาระดับน้ำตาล (กลูโคส) ในเลือดให้สมดุลอยู่เสมอ เพราะกลูโคสคือแหล่งพลังงานหลัก โดยเฉพาะสำหรับ สมอง ซึ่งเป็นอวัยวะที่ต้องการกลูโคสอย่างต่อเนื่องและไม่สามารถเก็บสะสมพลังงานสำรองไว้ได้มาก
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) คือภาวะที่ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดลดต่ำลงกว่าปกติ จนไม่เพียงพอที่จะเป็นพลังงานให้แก่เซลล์ต่างๆ โดยเฉพาะเซลล์สมอง ทำให้การทำงานของร่างกายและสมองผิดปกติไป ซึ่งหากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
📝 เกณฑ์การวินิจฉัย: ตัวเลขเท่าไหร่ถึงเรียกว่า 'ต่ำ'?
โดยทั่วไปทางการแพทย์จะใช้เกณฑ์ตัวเลขระดับน้ำตาลในเลือดที่เจาะจากปลายนิ้ว ดังนี้
  • ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 70 mg/dL ถือว่าเริ่มเข้าสู่ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำและควรได้รับการแก้ไข
อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยที่สมบูรณ์มักจะใช้หลักการที่เรียกว่า "Whipple's Triad" ซึ่งประกอบด้วย 3 ข้อ คือ
  • 1.
    มีอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (เช่น ใจสั่น เหงื่อแตก สับสน)
  • 2.
    ตรวจพบระดับน้ำตาลในเลือดต่ำจริงในขณะที่มีอาการ
  • 3.
    อาการเหล่านั้นหายไปหลังจากได้รับน้ำตาล
🤨 อาการที่พบบ่อย และทำไมแต่ละคนถึงตอบสนองไม่เท่ากัน?
เมื่อน้ำตาลในเลือดเริ่มต่ำ ร่างกายจะมีกลไกตอบสนองเพื่อ "เตือนภัย" และ "แก้ไข" สถานการณ์ ซึ่งทำให้เกิดอาการต่างๆ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลักๆ คือ
1. อาการเตือนจากระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic symptoms) เป็นปฏิกิริยาแรกของร่างกายที่พยายามจะเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด โดยการหลั่งฮอร์โมนอย่าง อะดรีนาลีน (Adrenaline) ทำให้เกิดอาการ
  • ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว
  • เหงื่อออก ตัวเย็น
  • มือสั่น
  • รู้สึกหิวอย่างรุนแรง
  • วิตกกังวล กระสับกระส่าย
  • คลื่นไส้
2. อาการจากสมองขาดน้ำตาล (Neuroglycopenic symptoms) เมื่อน้ำตาลในเลือดต่ำลงเรื่อยๆ จนสมองเริ่มขาดพลังงาน จะเกิดอาการที่รุนแรงขึ้น ได้แก่
  • สับสน มึนงง
  • อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
  • ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว
  • พูดไม่ชัด พูดช้า
  • พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อาจดูก้าวร้าวหรือซึมลง
  • หากรุนแรงมาก อาจทำให้ ชัก หรือ หมดสติ (Coma) ได้
🙋‍♂️ ทำไมแต่ละคนทนต่อภาวะน้ำตาลต่ำได้ไม่เท่ากัน?
ร่างกายของแต่ละคน โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานที่ระดับน้ำตาลไม่คงที่ สมองอาจมีการปรับตัวให้ชินกับระดับน้ำตาลที่ต่ำกว่าปกติ ทำให้จุดที่ร่างกายจะแสดง "อาการเตือน" (Autonomic symptoms) ถูกเลื่อนให้ต่ำลงไปอีก คนไข้บางรายอาจมีน้ำตาล 50-60 mg/dL แต่ยังไม่รู้สึกถึงอาการใจสั่นหรือเหงื่อแตกเลย
‼️ Hypoglycemic Unawareness: ภาวะอันตรายที่ไม่รู้ตัว
นี่คือภาวะที่ร่างกาย "ไม่แสดงอาการเตือน" แม้ว่าน้ำตาลในเลือดจะต่ำมากแล้วก็ตาม มักพบในผู้ป่วยเบาหวานมานาน หรือผู้ที่มีประวัติน้ำตาลต่ำบ่อยๆ กลไกการหลั่งฮอร์โมนเตือนภัย (Adrenaline) จะลดการตอบสนองลง ทำให้ผู้ป่วยอาจข้ามจากภาวะปกติไปสู่ภาวะ สับสนรุนแรงหรือหมดสติ ได้เลยโดยไม่มีอาการใจสั่นหรือเหงื่อแตกนำมาก่อน ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายอย่างยิ่ง
🧑‍⚕️ สาเหตุของ Hypoglycemia ที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง?
1️⃣ ในผู้ป่วยเบาหวาน (พบบ่อยที่สุด)
กลไกหลักคือ ยาที่ใช้มีฤทธิ์มากเกินไป เมื่อเทียบกับปริมาณอาหารที่ทานหรือกิจกรรมที่ทำ ทำให้ระดับน้ำตาลลดต่ำกว่าเป้าหมาย
  • ยาอินซูลิน (Insulin): การฉีดอินซูลินในปริมาณที่มากเกินไป ฉีดผิดเวลา หรือฉีดแล้วไม่ได้ทานอาหารตามเวลา
  • ยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย (Sulfonylureas - SU): เช่น Glibenclamide, Glipizide ยากลุ่มนี้กระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลินออกมามากขึ้น หากทานยาแล้วข้ามมื้ออาหาร หรือทานอาหารน้อยเกินไป ก็จะทำให้อินซูลินที่หลั่งออกมามากเกินความจำเป็นและดึงน้ำตาลลงต่ำได้
ปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ
  • ทานอาหารน้อยลง ข้ามมื้อ หรือเลื่อนมื้ออาหาร
  • ออกกำลังกายหักโหม กว่าปกติโดยไม่ได้ปรับลดปริมาณยาหรือเพิ่มคาร์โบไฮเดรต
  • ดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะตอนท้องว่าง เพราะแอลกอฮอล์จะยับยั้งกระบวนการสร้างน้ำตาลใหม่ที่ตับ
2️⃣ สาเหตุจากโรคทางระบบฮอร์โมนอื่นๆ
แม้จะพบน้อยกว่า แต่โรคบางอย่างก็ส่งผลต่อสมดุลน้ำตาลในเลือดได้
  • เนื้องอกของตับอ่อนที่สร้างอินซูลิน (Insulinoma): เป็นเนื้องอก (มักไม่ร้ายแรง) ที่ผลิตและหลั่งอินซูลินออกมาอย่างต่อเนื่องโดยไม่สนใจระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำได้ โดยเฉพาะช่วงที่ท้องว่างหรือตอนเช้ามืด
  • ภาวะขาดฮอร์โมน: เช่น ภาวะพร่องฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต (Adrenal insufficiency) ซึ่งทำให้ขาดฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ที่มีหน้าที่ช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด
3️⃣ ในคนปกติที่ไม่มีโรคใดๆ พบได้หรือไม่?
พบได้แต่น้อยมาก ส่วนใหญ่มักเป็นภาวะที่ไม่รุนแรง เรียกว่า "ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหลังมื้ออาหาร" (Reactive Hypoglycemia)
  • กลไก: เกิดขึ้นหลังทานอาหารมื้อใหญ่ที่มีคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลสูงๆ ไปประมาณ 2-4 ชั่วโมง ร่างกายจะตอบสนองโดยการหลั่งอินซูลินออกมาในปริมาณมากเพื่อจัดการกับน้ำตาลที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่บางครั้งร่างกายอาจหลั่งอินซูลิน "มากเกินไป" ทำให้น้ำตาลลดต่ำลงมาชั่วคราวและเกิดอาการได้
  • ความแตกต่าง: ภาวะนี้มักไม่รุนแรงถึงขั้นหมดสติ และจะดีขึ้นได้เองหรือเมื่อทานอาหารว่างเล็กน้อย
⚕️การปฐมพยาบาลเบื้องต้น: เมื่อสงสัยภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
การช่วยเหลือที่รวดเร็วและถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สามารถปฏิบัติตามขั้นตอนได้ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1: ตรวจสอบและยืนยัน (ถ้าทำได้)
  • หากมีเครื่องเจาะน้ำตาลปลายนิ้ว ให้รีบทำการตรวจทันที หากค่า ต่ำกว่า 70 mg/dL ให้ดำเนินการรักษา
  • หากไม่มีเครื่องตรวจ แต่ผู้ป่วยมีอาการที่น่าสงสัย ให้สันนิษฐานว่าเป็นภาวะน้ำตาลต่ำและให้การช่วยเหลือทันที อย่าลังเลที่จะรอ เพราะการให้ความหวานเล็กน้อยไม่เป็นอันตรายเท่ากับการปล่อยให้สมองขาดน้ำตาล
ขั้นตอนที่ 2: การรักษา (สำหรับผู้ที่ยังรู้สึกตัวดีและกลืนได้) ใช้ "กฎ 15-15" (Rule of 15)
1. ให้คาร์โบไฮเดรตที่ดูดซึมเร็ว 15 กรัม ตัวอย่างเช่น
  • น้ำผลไม้ 1/2 ถึง 3/4 แก้ว (ประมาณ 120-180 cc)
  • น้ำอัดลม (ชนิดปกติไม่ใช่น้ำตาลเทียม) 1/2 กระป๋อง
  • น้ำหวาน หรือน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
  • ลูกอม 3-4 เม็ด หรือกลูโคสแบบเม็ด/เจล
  • ข้อควรระวัง: หลีกเลี่ยงช็อกโกแลตหรือของหวานที่มีไขมันสูง เพราะไขมันจะชะลอการดูดซึมน้ำตาล
2. รอ 15 นาที แล้วเจาะเลือดซ้ำ
3. หากระดับน้ำตาลยังต่ำกว่า 70 mg/dL ให้ทำซ้ำขั้นตอนที่ 1
4. เมื่อระดับน้ำตาลกลับมาปกติแล้ว (>80 mg/dL) และยังไม่ถึงเวลามื้ออาหารหลัก ควรให้ผู้ป่วยทานอาหารว่างที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนและโปรตีน เช่น ขนมปังแครกเกอร์กับชีส, นม 1 กล่อง เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำตาลกลับมาต่ำซ้ำ
ขั้นตอนที่ 3: การดูแลผู้ป่วยที่หมดสติหรือไม่สามารถกลืนได้
  • ห้ามเด็ดขาด!!! ในการพยายามป้อนของเหลวหรืออาหารเข้าปากผู้ป่วย เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะสำลักเข้าปอด
  • จัดท่าผู้ป่วยให้นอนตะแคง เพื่อป้องกันการสำลักหากมีการอาเจียน
  • รีบโทรศัพท์แจ้งหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินทันที (โทร 1669) เพื่อนำส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนที่สุด ซึ่งทีมแพทย์จะให้กลูโคสทางหลอดเลือดดำต่อไป
การทำความเข้าใจภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่แค่สำหรับผู้ป่วยเบาหวานแต่สำหรับทุกคน เพราะการช่วยเหลือที่รวดเร็วและถูกต้องสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและช่วยชีวิตได้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา