11 ต.ค. เวลา 04:11 • สุขภาพ

"เบาหวานขณะตั้งครรภ์" (GDM): เรื่องที่คุณแม่ต้องรู้

การตั้งครรภ์คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของร่างกาย และหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญแต่หลายคนอาจไม่คาดคิดคือภาวะ "เบาหวานขณะตั้งครรภ์" (Gestational Diabetes Mellitus หรือ GDM) ซึ่งเป็นภาวะที่ตรวจพบน้ำตาลในเลือดสูงครั้งแรกระหว่างการตั้งครรภ์ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่เคยเป็นเบาหวานมาก่อนก็ตาม
บทความนี้จะพาคุณแม่ไปทำความเข้าใจ GDM อย่างละเอียด ตั้งแต่กลไกการเกิด ผลกระทบต่อคุณแม่และลูกน้อย ไปจนถึงแนวทางการดูแลรักษา เพื่อให้การตั้งครรภ์ของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยที่สุด 😊
👩‍⚕️ กลไกของ GDM: ทำไมถึงเป็นเบาหวานตอนท้อง?
เพื่อให้เข้าใจ GDM เราต้องรู้จักฮอร์โมนตัวหนึ่งที่ชื่อว่า อินซูลิน (Insulin) กันก่อน อินซูลินทำหน้าที่เหมือน "กุญแจ" ที่จะไขประตูเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย เพื่อนำน้ำตาลในเลือดเข้าไปเปลี่ยนเป็นพลังงาน
ในคนปกติ ตับอ่อนจะผลิตอินซูลินในปริมาณที่พอเหมาะกับปริมาณน้ำตาลที่เรากินเข้าไป แต่เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ ร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนขึ้น
  • ตัวการสำคัญ: ฮอร์โมนจาก "รก" 🤰 เมื่อตั้งครรภ์ รกจะสร้างฮอร์โมนหลายชนิด เช่น Human Placental Lactogen (hPL), Progesterone และ Cortisol ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก แต่ผลข้างเคียงของฮอร์โมนเหล่านี้คือ มันจะไปต่อต้านการทำงานของอินซูลิน หรือที่เรียกว่าภาวะ "ดื้อต่ออินซูลิน" (Insulin Resistance)
  • ความแตกต่างจากเบาหวานทั่วไป ภาวะดื้ออินซูลินนี้เป็นกลไกปกติของการตั้งครรภ์ค่ะ ลองนึกภาพว่า "แม่กุญแจ" ที่ประตูเซลล์เกิดสนิมขึ้น ทำให้ "กุญแจ" (อินซูลิน) ไขเข้าไปได้ยากขึ้น ร่างกายคุณแม่ส่วนใหญ่จะปรับตัวโดยการให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า เพื่อชดเชยและควบคุมระดับน้ำตาลให้เป็นปกติ
  • ในคุณแม่ที่เป็น GDM ตับอ่อนจะไม่สามารถสร้างอินซูลินเพิ่มขึ้นได้เพียงพอ ที่จะเอาชนะภาวะดื้ออินซูลินที่เพิ่มสูงขึ้นได้ ทำให้น้ำตาลไม่สามารถเข้าเซลล์ได้ และคั่งอยู่ในกระแสเลือดในปริมาณสูง จนกลายเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ในที่สุด นี่คือจุดที่แตกต่างจากเบาหวานชนิดที่ 1 (ที่ร่างกายสร้างอินซูลินไม่ได้) และเบาหวานชนิดที่ 2 (ที่มักมีภาวะดื้ออินซูลินเป็นทุนเดิมและร่างกายสร้างอินซูลินได้ไม่พอ ซึ่งมักเป็นมาก่อนตั้งครรภ์)
⚠️ ปัญหาและภาวะแทรกซ้อน: เมื่อน้ำตาลสูงเกินไป
ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณแม่ที่สูงจะถูกส่งผ่านรกไปสู่ทารกโดยตรง ทำให้ทารกได้รับน้ำตาลเกินความจำเป็น ตับอ่อนของทารกจึงต้องทำงานหนักเพื่อผลิตอินซูลินจำนวนมากออกมาจัดการกับน้ำตาลส่วนเกินนั้น ซึ่งนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้
ภาวะแทรกซ้อนต่อทารก 👶
  • ทารกตัวโต (Macrosomia): อินซูลินที่สูงในตัวทารกจะทำหน้าที่เหมือนฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ทำให้ทารกมีขนาดตัวใหญ่กว่าปกติ (น้ำหนักแรกเกิด > 4,000 กรัม) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดยาก, การบาดเจ็บขณะคลอด และอาจจำเป็นต้องผ่าคลอด
**สถิติ: ในกลุ่ม GDM ที่ควบคุมน้ำตาลได้ไม่ดี อาจพบภาวะทารกตัวโตได้ถึง 20-50% เทียบกับประมาณ 10% ในครรภ์ปกติ
  • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหลังคลอด (Neonatal Hypoglycemia): ทันทีที่คลอด ทารกจะไม่ได้รับน้ำตาลสูงจากแม่แล้ว แต่ตับอ่อนของทารกยังคงผลิตอินซูลินในระดับสูงอยู่ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของทารกลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นภาวะอันตราย
  • ภาวะหายใจลำบาก (Respiratory Distress Syndrome): ภาวะอินซูลินในเลือดสูงอาจขัดขวางการเจริญเต็มที่ของปอดทารก
  • ความเสี่ยงในระยะยาว: เพิ่มความเสี่ยงที่เด็กจะเติบโตไปเป็นโรคอ้วนและเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต
ภาวะแทรกซ้อนต่อคุณแม่ 👩‍⚕️
  • ภาวะครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia): คุณแม่ที่เป็น GDM มีความเสี่ยงต่อภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์เพิ่มขึ้น 2-3 เท่า เมื่อเทียบกับคุณแม่ที่ไม่ได้เป็น
  • เพิ่มโอกาสการผ่าตัดคลอด (Cesarean Section)
  • ความเสี่ยงในระยะยาว: มีความเสี่ยงสูงถึง 50% ที่จะกลายเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ภายใน 5-10 ปีหลังคลอด
🤨 ใครมีความเสี่ยงต่อภาวะ GDM?
คุณแม่บางกลุ่มอาจมีความเสี่ยงในการเกิด GDM มากกว่าคนอื่น ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่
  • มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน (ดัชนีมวลกาย หรือ BMI > 25 kg/m²)
  • อายุมากกว่า 25 ปี
  • มีประวัติคนในครอบครัวสายตรง (พ่อ, แม่, พี่, น้อง) เป็นโรคเบาหวาน
  • เคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ในท้องก่อน
  • เคยคลอดบุตรตัวโต (น้ำหนัก > 4,000 กรัม)
  • มีภาวะ ถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)
  • เป็นคนเชื้อชาติกลุ่มเสี่ยง เช่น เอเชีย, ฮิสแปนิก, แอฟริกันอเมริกัน
🔎 การตรวจคัดกรอง: จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น GDM?
โดยทั่วไป สูติแพทย์จะแนะนำให้ตรวจคัดกรอง GDM ในช่วงอายุครรภ์ 24-28 สัปดาห์ เนื่องจากเป็นช่วงที่ฮอร์โมนจากรกมีระดับสูงสุด ทำให้ภาวะดื้ออินซูลินปรากฏชัดเจนที่สุด วิธีการตรวจที่นิยมมีดังนี้
  • การตรวจขั้นต้น (Glucose Challenge Test - GCT): คุณแม่จะได้ดื่มน้ำหวานที่มีน้ำตาลกลูโคส 50 กรัม และจะได้รับการเจาะเลือดตรวจในอีก 1 ชั่วโมงต่อมา (วิธีนี้ไม่ต้องงดน้ำงดอาหาร) หากผลเลือดสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด จะต้องทำการตรวจวินิจฉัยในขั้นตอนต่อไป
  • การตรวจเพื่อวินิจฉัย (Oral Glucose Tolerance Test - OGTT): เป็นการตรวจยืนยัน คุณแม่จะต้องงดน้ำและอาหารหลังเที่ยงคืน จากนั้นจะได้รับการเจาะเลือดขณะอดอาหาร แล้วดื่มน้ำตาลกลูโคส 75 หรือ 100 กรัม และจะถูกเจาะเลือดซ้ำอีกครั้งที่ 1, 2 และ 3 ชั่วโมง เพื่อดูการตอบสนองของร่างกายต่อระดับน้ำตาล
👩‍⚕️ แนวทางการควบคุมและการรักษา GDM
เป้าหมายหลักของการรักษาคือการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณแม่และลูกน้อย ซึ่งมีความแตกต่างจากการรักษาเบาหวานทั่วไปเล็กน้อย
1️⃣ ควบคุมอาหารและออกกำลังกาย (หัวใจของการรักษา) ❤️
การควบคุมอาหาร: ถือเป็นด่านแรกและสำคัญที่สุด ไม่ใช่การ "อดอาหาร" แต่เป็นการ "เลือกและแบ่ง" มื้ออาหาร
  • แบ่งมื้ออาหาร: แบ่งเป็นมื้อหลัก 3 มื้อ และมื้อย่อย 2-3 มื้อ เพื่อป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำจนเกินไป
  • ควบคุมคาร์โบไฮเดรต: เน้นทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ธัญพืชไม่ขัดสี และหลีกเลี่ยงน้ำตาลเชิงเดี่ยว เช่น น้ำหวาน ขนมหวาน น้ำผลไม้
  • เน้นโปรตีนและผัก: เพิ่มโปรตีนดี (เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน, ไข่, เต้าหู้) และผักใบเขียวในทุกมื้อ เพื่อช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล
การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายเบาๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือโยคะสำหรับคนท้อง วันละ 30 นาที จะช่วยให้ร่างกายนำน้ำตาลไปใช้ได้ดีขึ้น และลดภาวะดื้ออินซูลิน
2️⃣ การตรวจติดตามระดับน้ำตาลด้วยตนเอง
คุณแม่จะต้องเรียนรู้วิธีการเจาะเลือดปลายนิ้วเพื่อตรวจระดับน้ำตาลด้วยตนเองที่บ้าน วันละ 4-7 ครั้ง ตามคำแนะนำของแพทย์ (เช่น ตอนตื่นนอนตอนเช้า และหลังอาหารแต่ละมื้อ) เพื่อประเมินว่าการควบคุมอาหารและออกกำลังกายได้ผลดีเพียงใด
3️⃣ การใช้ยา (เมื่อจำเป็น)
หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วระดับน้ำตาลยังคงสูงอยู่ แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาด้วยยา ซึ่งปลอดภัยต่อทารกในครรภ์
  • ยาเมตฟอร์มิน (Metformin): เป็นยารับประทานที่ช่วยลดการสร้างน้ำตาลจากตับและเพิ่มความไวของเซลล์ต่ออินซูลิน
  • ยาฉีดอินซูลิน (Insulin): เป็นการรักษามาตรฐานและปลอดภัยที่สุด เนื่องจากโมเลกุลของอินซูลินมีขนาดใหญ่ ไม่สามารถผ่านรกไปสู่ทารกได้ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อลูกน้อยโดยตรง
หลังคลอด ภาวะเบาหวานมักจะหายไปเองเนื่องจากไม่มีฮอร์โมนจากรกมาต่อต้านอินซูลินแล้ว แต่คุณแม่ยังต้องไปตรวจคัดกรองเบาหวานซ้ำในช่วง 6-12 สัปดาห์หลังคลอด และจำเป็นต้องรักษาวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพต่อไปเพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต
เบาหวานขณะตั้งครรภ์อาจฟังดูน่ากังวล แต่เป็นภาวะที่สามารถจัดการได้เป็นอย่างดี เพียงคุณแม่มีความเข้าใจและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ก็สามารถมีครรภ์ที่แข็งแรงและให้กำเนิดลูกน้อยที่สมบูรณ์ได้อย่างแน่นอน 💪💕
📝 เกณฑ์การวินิจฉัยภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์
🔎 การคัดกรองเพื่อวินิจฉัยเบาหวานที่อาจมีอยู่ก่อนการตั้งครรภ์ (Overt Diabetes / pre-existing DM)
สำหรับสตรีตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูง ควรได้รับการประเมินภาวะเบาหวานตั้งแต่ครั้งแรกที่มาฝากครรภ์ เพื่อวินิจฉัย Overt Diabetes ที่อาจไม่เคยถูกวินิจฉัยมาก่อน โดยใช้เกณฑ์เดียวกับคนทั่วไป คือ
  • Fasting Plasma Glucose (FPG) \ge 126 mg/dL
  • Glycated Hemoglobin (HbA1c) \ge 6.5%
  • Random Plasma Glucose \ge 200 mg/dL ร่วมกับมีอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
🔎 การคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์
สำหรับสตรีตั้งครรภ์ทุกรายที่ยังไม่เคยได้รับการวินิจฉัยเบาหวาน ควรได้รับการตรวจคัดกรอง GDM ที่อายุครรภ์ 24-28 สัปดาห์
ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน คือ การตรวจคัดกรอง และตามด้วยการตรวจวินิจฉัยหากผลคัดกรองผิดปกติ
1. Screening Glucose challenge test
  • วิธีการ: ให้ดื่มสารละลายกลูโคส 50 กรัม (ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร) และเจาะเลือดที่ 1 ชั่วโมง (50-g Glucose Challenge Test - GCT)
การแปลผล
  • ถ้าระดับน้ำตาลในพลาสมา \ge 130, 135 หรือ 140 mg/dL (ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ของแต่ละสถาบัน) ถือว่าผลคัดกรอง "ผิดปกติ" และต้องทำการตรวจในขั้นตอนที่ 2 ต่อไป
  • ถ้าระดับน้ำตาล < 130-140 mg/dL ถือว่า "ปกติ"
2. Diagnostic oral glucose tolerance test
  • วิธีการ: หากผลจาก Step 1 ผิดปกติ จะต้องทำการตรวจ 100-g, 3-hour OGTT หลังจากอดอาหารมาอย่างน้อย 8 ชั่วโมง โดยจะเจาะเลือด 4 ครั้ง
  • เกณฑ์การวินิจฉัย (ตาม Carpenter and Coustan criteria): วินิจฉัยเป็น GDM เมื่อมีค่าระดับน้ำตาลในพลาสมา อย่างน้อย 2 ค่า เท่ากับหรือสูงกว่าเกณฑ์ต่อไปนี้
  • Fasting: \ge 95 mg/dL
  • 1-hour: \ge 180 mg/dL
  • 2-hour: \ge 155 mg/dL
  • 3-hour: \ge 140 mg/dL
📜 ความสัมพันธ์ของการตรวจ HbA1c ก่อนการตั้งครรภ์ต่อภาวะ GDM ในช่วงตั้งครรภ์
ข้อมูลจากงานวิจัยขนาดใหญ่และงานทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ (Systematic Reviews & Meta-analyses) ได้แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ในเชิงสถิติที่สำคัญดังนี้
  • HbA1c ในระดับ Pre-diabetes (5.7% - 6.4%)
สตรีตั้งครรภ์ที่มีระดับ HbA1c ในช่วงนี้ มีความเสี่ยง (Odds Ratio) ในการเกิด GDM สูงกว่าผู้ที่มี HbA1c < 5.7% อย่างมีนัยสำคัญ โดยค่า Odds Ratio (OR) จากหลายการศึกษาพบว่าอยู่ระหว่าง 2.0 ถึง 4.5 เท่า
  • ค่าจุดตัด (Cut-off Value) ในการทำนาย
มีการศึกษาเพื่อหาค่า Cut-off ที่เหมาะสมของ HbA1c ในไตรมาสแรกเพื่อใช้คัดกรองความเสี่ยง GDM ค่าที่ถูกเสนอในหลายงานวิจัยมักจะอยู่ที่ ≥ 5.9%
งานวิจัยหนึ่งพบว่า HbA1c ที่ระดับ ≥ 5.9% ในไตรมาสแรก มีความจำเพาะ (Specificity) สูงมาก (ประมาณ 99%) ในการทำนายการเกิด GDM แต่มีความไว (Sensitivity) ค่อนข้างต่ำ หมายความว่าสามารถใช้เพื่อ "ยืนยัน" กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงได้ดี แต่ไม่สามารถใช้เพื่อ "คัดออก" ผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำได้อย่างแม่นยำ
  • ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (Continuous Risk)
ความเสี่ยงไม่ได้เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด แต่เพิ่มขึ้นตามระดับ HbA1c ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บางการศึกษาพบว่า ความเสี่ยงในการเกิด GDM เพิ่มขึ้นประมาณ 25-40% ต่อทุกๆ 0.1% ของ HbA1c ที่เพิ่มขึ้น
💡การนำไปใช้ทางคลินิก (Clinical Application)
ข้อมูลทางสถิติเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในทางปฏิบัติ โดยแพทย์สามารถใช้ค่า HbA1c ที่เจาะในครั้งแรกที่มาฝากครรภ์ (first prenatal visit) เพื่อ
  • การประเมินความเสี่ยงตั้งแต่เนิ่นๆ (Early Risk Stratification): ใช้ระบุกลุ่มสตรีตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิด GDM ตั้งแต่ไตรมาสแรก ทำให้สามารถให้คำแนะนำในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (lifestyle modification) เช่น การควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย ได้เร็วยิ่งขึ้น
  • การพิจารณาตรวจคัดกรอง GDM เร็วขึ้น: ในกลุ่มที่มี HbA1c สูง (เช่น > 5.9%) อาจเป็นข้อบ่งชี้ในการพิจารณาทำการตรวจ Oral Glucose Tolerance Test (OGTT) เพื่อวินิจฉัย GDM เร็วกว่าปกติ (ก่อน 24 สัปดาห์)
  • การวินิจฉัย Overt Diabetes: หากพบว่า HbA1c ≥ 6.5% ตั้งแต่ไตรมาสแรก จะสามารถให้การวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานที่มีอยู่ก่อนการตั้งครรภ์ (Pregestational or Overt Diabetes) และให้การดูแลรักษาที่เหมาะสมได้ทันที
ข้อควรพิจารณา: การใช้ HbA1c ในไตรมาสแรกเป็นการประเมิน "ความเสี่ยง" และยัง ไม่สามารถใช้ทดแทน การตรวจคัดกรอง GDM ด้วย OGTT ตามมาตรฐานที่อายุครรภ์ 24-28 สัปดาห์ได้ เนื่องจากสตรีตั้งครรภ์จำนวนมากที่มี HbA1c ปกติในไตรมาสแรกก็ยังสามารถเกิด GDM ในช่วงครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ได้จากผลของฮอร์โมนที่สร้างภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มขึ้น
โดยสรุปคือ ยิ่งระดับ HbA1c สูงขึ้น แม้จะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ถือว่า "ปกติ" ก็ตาม ความเสี่ยงในการเกิด GDM จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ (dose-response relationship) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงภาวะเมตาบอลิซึมของกลูโคส (glycemic metabolism) และภาวะดื้อต่ออินซูลิน (insulin resistance) ที่อาจมีอยู่เดิม ก่อนที่จะได้รับผลกระทบจากฮอร์โมนของการตั้งครรภ์
เอกสารอ้างอิง (References)
1. Hughes, R. C., et al. (2021). An early pregnancy HbA1c ≥5.7% (39 mmol/mol) is associated with future gestational diabetes mellitus and adverse pregnancy outcomes. American Journal of Obstetrics and Gynecology, 225(3), 299.e1-299.e10.
2. Zhu, W., et al. (2021). Predictive Value of First-Trimester Glycosylated Hemoglobin Levels in Gestational Diabetes Mellitus. Journal of Diabetes Research, 2021, 6649738.
3. Fong, A., et al. (2021). First Trimester Glycated Hemoglobin (HBA1C) Level as a Novel Predictor of Gestational Diabetes Mellitus: a Systematic Review and Meta-Analysis. Journal of Asian Medical Students' Association, 10(1).
4. American Diabetes Association (2024). 15. Management of Diabetes in Pregnancy: Standards of Care in Diabetes—2024. Diabetes Care, 47(Supplement_1), S282–S295.
🤨 GDM A2 ในรายที่ Low-likelihood
มีโอกาสประมาณ 1% - 3% ที่จะตรวจพบ GDM A2 (ชนิดที่ต้องใช้ยา) ในช่วงอายุครรภ์ 20-28 สัปดาห์ แม้ว่าในไตรมาสแรกจะมีผลตรวจ HbA1c <5.9% และไม่มีภาวะ IFG มาก่อนก็ตาม
แม้ความเสี่ยงในกลุ่มนี้จะต่ำกว่ากลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงอย่างชัดเจน แต่ความเสี่ยงก็ไม่ใช่ศูนย์ ด้วยเหตุผลทางสรีรวิทยาของการตั้งครรภ์
📊 การแจกแจงความเสี่ยง (Breakdown of the Risk)
ตัวเลข 1-3% เป็นการประมาณการทางสถิติที่สังเคราะห์มาจากข้อมูล 2 ส่วนหลัก คือ
1. โอกาสที่จะเกิด GDM ใดๆ (แม้มีความเสี่ยงต่ำ)
  • ในกลุ่มสตรีตั้งครรภ์ที่ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ (เช่น อายุไม่มาก, BMI ปกติ, ไม่มีประวัติครอบครัว และมี HbA1c ในไตรมาสแรก <5.9%) ยังคงมีอุบัติการณ์ของการเกิด GDM (ชนิดใดก็ได้ A1+A2) อยู่ที่ประมาณ 5% - 10%
  • ค่า HbA1c ในไตรมาสแรกมีค่าพยากรณ์เชิงลบ (Negative Predictive Value) ที่สูง แต่ไม่ถึง 100% นั่นหมายความว่าสตรีส่วนใหญ่ที่มี HbA1c ปกติจะไม่เป็น GDM แต่ก็ยังมีส่วนน้อยที่สามารถเป็นได้
2. สัดส่วนของ GDM ที่จะกลายเป็น GDM A2
  • ในบรรดาสตรีที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น GDM ทั้งหมด จะมีประมาณ 15% - 30% ที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลด้วยการปรับอาหารและออกกำลังกายได้ และจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยา (กลายเป็น GDM A2)
การคำนวณความน่าจะเป็น
เมื่อนำข้อมูลสองส่วนนี้มาประกอบกัน โอกาสที่จะพบ GDM A2 ในกลุ่มความเสี่ยงต่ำจึงอยู่ที่
  • (โอกาสเกิด GDM ใดๆ ในกลุ่มเสี่ยงต่ำ) x (สัดส่วนที่จะกลายเป็น GDM A2)
  • คำนวณช่วงค่าประมาณ: (5% ถึง 10%) x (15% ถึง 30%) ≈ 0.75% ถึง 3.0%
ปัจจัยทางสรีรวิทยา (Physiological Factors) 👩‍⚕️
เหตุผลสำคัญที่ทำให้ความเสี่ยงยังคงอยู่ คือ ภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากฮอร์โมนที่สร้างจากรก โดยเฉพาะ Human Placental Lactogen (hPL), Progesterone และ Cortisol
ดังนั้น แม้ว่าสภาวะเมตาบอลิซึมของร่างกายจะปกติสมบูรณ์ในช่วงไตรมาสแรก แต่ก็อาจไม่สามารถรับมือกับภาวะดื้อต่ออินซูลินที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในไตรมาสที่สามได้ ทำให้เกิดภาวะ GDM ขึ้นมาในช่วง 24-28 สัปดาห์ และในบางรายอาจรุนแรงจนต้องใช้ยาในการควบคุม
📊 ข้อมูลทางสถิติเชิงเปรียบเทียบภาวะแทรกซ้อนใน Normal , GDM A1 , GDM A2 (Comparative Statistical Data)
ข้อมูลจากงานวิจัยขนาดใหญ่ (Large Cohort Studies) และการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ (Systematic Reviews) แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในกลุ่ม GDM ที่รุนแรงกว่า (ต้องใช้ยา) เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ควบคุมได้ด้วยอาหาร
ภาวะแทรกซ้อนเชิงเปรียบเทียบ
  • ทารกตัวโต (Macrosomia/LGA)
ตั้งครรภ์ปกติ ~10%
GDM A1 : 15-25%
GDM A2 :30-45%
  • ภาวะครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia)
ตั้งครรภ์ปกติ ~3-5%
GDM A1 : 8-12%
GDM A2 : 15-25%
  • การผ่าตัดคลอด (Cesarean)
ตั้งครรภ์ปกติ ~30%
GDM A1 : 30-45%
GDM A2 :45-60%
  • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำของทารก
ตั้งครรภ์ปกติ <5%
GDM A1 : 10-20%
GDM A2 : 25-40%
  • การเข้ารักษาใน NICU
ตั้งครรภ์ปกติ ~5%
GDM A1 : 8-15%
GDM A2 :15-30%
  • การคลอดไหล่ยาก (Shoulder Dystocia)
ตั้งครรภ์ปกติ 0.5-1%
GDM A1 : 1-2%
GDM A2 : 2-4%
หมายเหตุ: ตัวเลขเป็นค่าประมาณเพื่อแสดงแนวโน้ม ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละงานวิจัยและกลุ่มประชากร
เมื่อเทียบกับกลุ่ม GDM ที่ควบคุมด้วยอาหารเพียงอย่างเดียว (GDM A1) กลุ่มที่ต้องใช้ยา (GDM A2) มีความเสี่ยง (Odds Ratio - OR) สูงกว่าอย่างชัดเจน เช่น
  • Macrosomia (LGA): สูงกว่า 2 - 3 เท่า (OR ≈ 2.0-3.0)
  • Preeclampsia: สูงกว่า 1.5 - 2.5 เท่า (OR ≈ 1.5-2.5)
  • Neonatal Hypoglycemia: สูงกว่า 2 - 3 เท่า (OR ≈ 2.0-3.0)
📊 ความสัมพันธ์กับระดับ HbA1c
HbA1c ที่วัดผลในช่วงไตรมาสที่ 2 หรือ 3 เป็นตัวบ่งชี้การควบคุมระดับน้ำตาลโดยเฉลี่ยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา และมีความสัมพันธ์โดยตรงกับภาวะแทรกซ้อน
  • เป้าหมายการรักษา: โดยทั่วไป ACOG (American College of Obstetricians and Gynecologists) แนะนำให้ควบคุม HbA1c ในระหว่างตั้งครรภ์ให้ <6.0% - 6.5% หากทำได้โดยไม่เกิดภาวะน้ำตาลต่ำที่รุนแรง
ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นตามระดับ HbA1c 📈
  • ทุกๆ 1% ของค่า HbA1c ที่เพิ่มขึ้น (เช่น จาก 6% เป็น 7%) สัมพันธ์กับความเสี่ยงของ Large for Gestational Age (LGA) ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 1.5 - 2.0 เท่า
  • งานวิจัยพบว่าสตรีตั้งครรภ์ GDM ที่มีค่า HbA1c >5.9% (41 mmol/mol) ในช่วงไตรมาสที่ 3 มีความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด (Preterm Delivery) สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • ค่า HbA1c ที่สูงขึ้นยังสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่สูงขึ้นของภาวะครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia) และความจำเป็นในการผ่าตัดคลอด (Cesarean Section)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา