3 พ.ย. เวลา 08:40 • สุขภาพ

อินซูลินชนิดฉีด: คู่มือเข้าใจง่ายสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

สำหรับผู้ป่วยเบาหวานหลายท่าน คำว่า "อินซูลิน" อาจฟังดูน่ากังวล แต่ความจริงแล้ว อินซูลินคือฮีโร่ที่ช่วยให้ร่างกายของเรากลับมาทำงานได้อย่างสมดุล การทำความเข้าใจว่าอินซูลินคืออะไร ทำงานอย่างไร และมีกี่ประเภท จะช่วยให้คุณสามารถใช้งาน "เครื่องมือ" ชิ้นสำคัญนี้ได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพสูงสุดครับ
🔬 อินซูลินแบบฉีดคืออะไร และผลิตมาจากอะไร?
อินซูลิน (Insulin) คือฮอร์โมนธรรมชาติที่ร่างกายเรา (ตับอ่อน) สร้างขึ้น มีหน้าที่หลักเปรียบเสมือน "กุญแจ" ที่ไขประตูเซลล์ต่างๆ เพื่อนำน้ำตาล (กลูโคส) จากกระแสเลือดเข้าไปในเซลล์ เพื่อใช้เป็นพลังงาน
ในผู้ป่วยเบาหวาน ร่างกายอาจสร้าง "กุญแจ" นี้ได้ไม่พอ (เบาหวานชนิดที่ 1) หรือ "แม่กุญแจ" ที่ประตูเซลล์เกิดอาการฝืด บิดกุญแจแล้วประตูไม่ยอมเปิด (ภาวะดื้ออินซูลิน ในเบาหวานชนิดที่ 2) ผลลัพธ์คือมีน้ำตาลค้างอยู่ในกระแสเลือดสูง
อินซูลินแบบฉีด จึงเป็นยาที่สร้างขึ้นเพื่อเลียนแบบอินซูลินธรรมชาติของมนุษย์ เพื่อเข้าไปทำหน้าที่ "กุญแจสำรอง" ช่วยพาน้ำตาลเข้าสู่เซลล์และลดระดับน้ำตาลในเลือด
🧪 ผลิตมาจากอะไร?
ในอดีต เราสกัดอินซูลินจากตับอ่อนของสัตว์ เช่น วัว หรือ สุกร แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้าไปมาก อินซูลินที่เราใช้เกือบทั้งหมดผลิตด้วย เทคโนโลยีรีคอมบิแนนท์ ดีเอ็นเอ (Recombinant DNA Technology)
พูดให้ง่ายคือ นักวิทยาศาสตร์ได้นำ "พิมพ์เขียว" หรือยีน (Gene) ที่ใช้สร้างอินซูลินของมนุษย์ ไปใส่ไว้ในสิ่งมีชีวิตที่โตเร็ว เช่น แบคทีเรีย หรือ ยีสต์ แล้วให้พวกมันทำหน้าที่เป็น "โรงงานขนาดจิ๋ว" ผลิตอินซูลินของมนุษย์ออกมาให้เรา ซึ่งอินซูลินที่ได้จะเหมือนกับที่ร่างกายเราสร้างเอง 100% ทำให้มีประสิทธิภาพสูงและมีโอกาสแพ้น้อยมาก
🔑 กลไกการออกฤทธิ์: จากใต้ผิวหนัง...สู่การลดน้ำตาลในเลือด
เมื่อเราฉีดอินซูลินเข้าสู่ ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous tissue) (ไม่ใช่กล้ามเนื้อนะครับ) กระบวนการทำงานของมันจะเป็นไปตามลำดับ ดังนี้
1. การรวมตัว (Depot formation): เมื่อยาถูกฉีดเข้าไป โมเลกุลของอินซูลินจะจับตัวกันเป็น "แอ่งยา" หรือ "คลังยา" เล็กๆ อยู่ใต้ผิวหนัง
2. การดูดซึม (Absorption): ร่างกายจะค่อยๆ ส่งหลอดเลือดฝอยมา "ตัก" โมเลกุลอินซูลินจากแอ่งยานี้ ให้แตกตัวเป็นโมเลกุลเดี่ยวๆ และดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด
3. การกระจายตัว (Distribution): เมื่ออินซูลินเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว มันจะล่องลอยไปทั่วร่างกาย
4. การออกฤทธิ์ (Action): อินซูลินจะไปจับกับ "ตัวรับ" (Receptor) ที่ผิวเซลล์ต่างๆ (โดยเฉพาะเซลล์ตับ, กล้ามเนื้อ และเซลล์ไขมัน) เปรียบเหมือนการเสียบกุญแจเข้าแม่กุญแจ
5. การลดน้ำตาล: เมื่อกุญแจถูกบิด ประตูเซลล์จะเปิดออก เซลล์จะรีบดึงน้ำตาลกลูโคสจากเลือดเข้าไปเก็บ หรือนำไปใช้เป็นพลังงานทันที
6. ผลลัพธ์: ระดับน้ำตาลในเลือดจึงลดลงสู่ระดับที่เหมาะสม
⏱️ รู้จักอินซูลิน 5 แบบ: ออกฤทธิ์เร็ว-ช้า ต่างกันอย่างไร?
อินซูลินแต่ละชนิดถูกออกแบบมาให้มีการ "ดูดซึม" จากใต้ผิวหนังเร็ว-ช้าต่างกัน เพื่อเลียนแบบการทำงานของตับอ่อนในสถานการณ์ต่างๆ (เช่น คุมน้ำตาลหลังมื้ออาหาร หรือคุมน้ำตาลพื้นฐานตลอดวัน)
1️⃣ Ultrashort (เร็วสุด)
เช่น Aspart (NovoRapid®), Lispro (Humalog®)
ลักษณะยา : ใส
เริ่มออกฤทธิ์ ภายใน 10-15 นาที ; ออกฤทธิ์สูงสุด 1-2 ชั่วโมง ; ระยะเวลาออกฤทธิ์ทั้งหมด 3-5 ชั่วโมง
จุดประสงค์ คุมน้ำตาลมื้ออาหาร (ฉีดก่อนอาหารทันที)
2️⃣ Regular (สั้น)
เช่น Regular Insulin (Actrapid®, Humulin® R)
ลักษณะยา : ใส
เริ่มออกฤทธิ์ ภายใน 30 นาที ; ออกฤทธิ์สูงสุด 2-4 ชั่วโมง ; ระยะเวลาออกฤทธิ์ทั้งหมด 6-8 ชั่วโมง
จุดประสงค์ คุมน้ำตาลมื้ออาหาร (ฉีดก่อนอาหาร 30 นาที)
3️⃣ Intermediate (ปานกลาง)
เช่น NPH (Insulatard®, Humulin® N)
ลักษณะยา : ขุ่น
เริ่มออกฤทธิ์ ภายใน 1-2 ชั่วโมง ; ออกฤทธิ์สูงสุด 4-8 ชั่วโมง ; ระยะเวลาออกฤทธิ์ทั้งหมด 12-18 ชั่วโมง
จุดประสงค์ คุมน้ำตาลพื้นฐาน (มักฉีดวันละ 1-2 ครั้ง)
4️⃣ Ultra-long (นานมาก)
เช่น Glargine (Lantus®), Degludec (Tresiba®)
ลักษณะยา : ใส
เริ่มออกฤทธิ์ ภายใน 1-2 ชั่วโมง ; ออกฤทธิ์แทบไม่มีจุดสูงสุด (Flat) ; ระยะเวลาออกฤทธิ์ทั้งหมด 24 ชั่วโมง หรืออาจมากกว่า
จุดประสงค์ คุมน้ำตาลพื้นฐาน (สม่ำเสมอตลอดวัน เสี่ยงน้ำตาลต่ำน้อย)
5️⃣ Mixtard (ผสม)
เช่น Mixtard 30/70®, Humalog Mix 25/75®
ลักษณะยา : ขุ่น
เริ่มออกฤทธิ์ ภายใน 10-30 นาที ; ออกฤทธิ์มี 2 จุดสูงสุด (แล้วแต่ส่วนผสม) ; ระยะเวลาออกฤทธิ์ทั้งหมด 12-24 ชั่วโมง
จุดประสงค์ สะดวก (ได้ทั้งคุมมื้ออาหารและคุมพื้นฐานในเข็มเดียว)
**ข้อควรทราบ: ระยะเวลาเหล่านี้เป็นค่าประมาณ อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับขนาดยา ตำแหน่งที่ฉีด และปัจจัยอื่นๆ
📍 ตำแหน่งที่ฉีด...สำคัญไฉน?
ตำแหน่งที่เราฉีดอินซูลิน มีผลอย่างมากต่อ "ความเร็วในการดูดซึม" ยาเข้าสู่กระแสเลือดครับ
บริเวณที่นิยมใช้ฉีดอินซูลินใต้ผิวหนัง มีความเร็วในการดูดซึมเรียงลำดับดังนี้
1. หน้าท้อง (Abdomen): ดูดซึมเร็วที่สุด
• เหมาะสำหรับอินซูลินชนิดออกฤทธิ์เร็ว/สั้น (Ultrashort, Regular) ที่ต้องการใช้คุมน้ำตาลหลังมื้ออาหาร
• ข้อควรระวัง: ควรฉีดห่างจากสะดืออย่างน้อย 2 นิ้ว
2. ต้นแขน (Upper Arm): ดูดซึมเร็วปานกลาง
• เป็นอีกทางเลือกสำหรับการฉีดอินซูลินมื้ออาหาร
3. ต้นขา (Thigh): ดูดซึมช้า
• เหมาะสำหรับอินซูลินชนิดออกฤทธิ์ปานกลาง หรือ นาน (NPH, Ultra-long) ที่เราต้องการให้ค่อยๆ ออกฤทธิ์
4. สะโพก (Buttocks): ดูดซึมช้าที่สุด
• เหมาะสำหรับอินซูลินที่ต้องการให้ออกฤทธิ์นานๆ เช่นกัน
  • หลักการสำคัญที่ต้องจำ
• ความสม่ำเสมอ: หากคุณฉีดอินซูลินมื้อเช้าที่หน้าท้อง ก็ควรฉีดที่หน้าท้องทุกเช้า เพื่อให้ยาออกฤทธิ์สม่ำเสมอในเวลาเดิมๆ
• การหมุนเวียนตำแหน่ง (Rotation): ห้ามฉีดซ้ำที่จุดเดิมเป๊ะๆ ควรเวียนจุดฉีดในบริเวณเดียวกัน (เช่น วนรอบสะดือ, วนในต้นขาข้างเดิม) ห่างจากจุดเดิมประมาณ 1 นิ้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดเป็น "ก้อนไตแข็ง" (Lipohypertrophy) ซึ่งจะทำให้ยาดูดซึมได้ไม่ดีในอนาคต
การทำความเข้าใจอินซูลินที่ท่านใช้ จะช่วยให้ท่านควบคุมเบาหวานได้ดีขึ้น ลดภาวะแทรกซ้อน และมีคุณภาพชีวิตที่ดี อย่าลืมปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรของท่านเสมอ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยาครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา