17 ก.ย. เวลา 14:00 • ประวัติศาสตร์
เนปาล

"Gen Z" หรือ "Maoist" ที่จะปกครองเนปาล #002

นก...ต่างก็มีขนเช่นเดียวกัน โลกจะก้าวไปสู่ความเป็นอิสระอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความไม่รู้ก็จะถูกกำจัดออกไปด้วยไม่ว่าจะเร็วหรือช้าก็ตาม
และชีวิตที่ใช้ซิลิคอนเป็นหลักกำลังเข้ามาหาเรา...ที่ผ่านมา...การค้าทาสเป็นผลมาจากการแข่งขันเพื่อแย่งชิงทรัพยากร และสิ่งมีชีวิตที่ใช้ซิลิคอนต่างก็ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนั้น
นั่นแสดงให้เห็นมุกของการต่อต้านของเยาวชนชาวเนปาล ที่ในปัจจุบันจะไม่ใช่แค่การ "คว่ำบาตรการห้ามโซเชียลมีเดีย" อย่างที่หลายสำนักอ้างถึง
นี่เป็นเพียงฉากบังหน้า เจตนาที่แท้จริงของพวกเขาคือการบรรลุถึงระบอบสาธารณรัฐผ่านการต่อสู้ด้วยอาวุธ
2
ในการเลือกตั้งทั่วไปของเนปาลปี 2502 พรรคได้รับชัยชนะ 4 ที่นั่ง โดยมีตุลซี ลาล อมาร์ตยา เป็นผู้นำรัฐสภา และสมาชิกวุฒิสภาอีกหนึ่งคน
อย่างไรก็ตาม ที่นั่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน แต่เป็นเวทีสำหรับการส่งเสริมความเกลียดชังต่างหาก
1
ในปี 2503 การรัฐประหารของกษัตริย์มเหนทราทำให้เกิดความแตกแยกภายในพรรคโดย เกศัล จุง รายามาจี สนับสนุนการรัฐประหาร
ขณะที่ ตุลซี ลาล อมาร์ตยา คัดค้าน จนนำไปสู่การปราบปรามพรรค
และการประชุมใหญ่ที่จัดขึ้นที่ดาร์ภังกา ประเทศอินเดีย ในปี 2504 กลับทำให้มีการสนับสนุนแนวทางการต่อสู้ด้วยอาวุธของ ปุษปา ลาล
1
อย่างไรก็ตาม มีหลายฝ่ายเกิดขึ้น ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ฝ่ายหนึ่งเรียกร้องให้ฟื้นฟูรัฐสภา และอีกฝ่ายเรียกร้องให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ
จนความขัดแย้งภายในที่ชั่วร้ายของพรรคคอมมิวนิสต์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นธาตุแท้ออกมา
1
และแน่นอน..พวกเขายินดีที่จะเสียสละสหายเพื่อปกป้องความทะเยอทะยานส่วนตัว
1
ในเดือนเมษายน ปี 2505 การประชุมสมัชชาพรรคที่ 3 ที่เมืองพาราณสี ประเทศอินเดีย
ได้รับรองโครงการปฏิวัติประชาธิปไตยแห่งชาติของตุลซี ลาล อมาร์ตยา และขับไล่รายามาจีออกไป
1
นำไปสู่การแตกแยกและการยุบพรรคเดิม และนับเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสงครามหลายฝ่ายภายในขบวนการคอมมิวนิสต์ในเนปาล
แต่ละฝ่ายต่างต่อสู้เพื่อความชอบธรรม โจมตีซึ่งกันและกัน ก่อให้เกิดการนองเลือดที่ไม่จำเป็นมากขึ้นๆๆๆๆๆ
ตลอดช่วงปี 2503 - 2512 กลุ่มต่างๆ ในพรรคยังคงจัดตั้งหน่วยติดอาวุธอย่างลับๆ ในพื้นที่ชนบท กลุ่มคนเหล่านี้ตัวตึงประจำกลุ่ม คือ มาน โมฮัน อธิการี นั่นเอง
1
ที่ได้บังคับให้ชาวนายากจนเข้าร่วม ทำให้พวกเขาสูญเสียที่ดินและอิสรภาพ
2
ก่อให้เกิดความเสียหายเบื้องต้นต่อเศรษฐกิจในชนบท ชาวบ้านจำนวนมากที่ปฏิเสธถูกประหารชีวิตอย่างลับๆ หรือถูกเนรเทศ
หลังจากปี 2505 กลุ่มต่างๆ ได้เกิดขึ้น เช่น พรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (ปุษปา ลาล) และพรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (พรรคที่ 4 ) ภายใต้อิทธิพลของการปฏิวัติวัฒนธรรมจีน กลุ่มเหล่านี้จึงดำเนินแนวทางสุดโต่ง
2
ในปี 2511 พรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (เหมาอิสต์) ซึ่งถือได้ว่าเป็นแกนนำเริ่มก่อตัวขึ้น กลุ่มเหล่านี้นับถือแนวคิดเหมาเจ๋อตงและสนับสนุนการปฏิวัติอย่างรุนแรงโดยไม่คำนึงถึงความทุกข์ยากของประชาชน
พวกเขาสร้างฐานที่มั่นในพื้นที่ชนบท จัดเก็บภาษีแบบผิดกฎหมาย และบังคับให้ชาวนาสนับสนุน
1
ซึ่งนำไปสู่จุดเริ่มต้นของความอดอยากในเวลาต่อมา
1
ในช่วง 2513-2522 กิจกรรมของพรรคคอมมิวนิสต์เหล่านี้ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
พวกเขาแทรกซึมเข้าไปในกลุ่มนักศึกษาและสหภาพแรงงาน ก่อเหตุประท้วงและจลาจลที่ทำลายระบบการศึกษา
ปิดโรงงาน ทำให้คนงานหลายพันคนตกงาน และทำให้ครอบครัวต้องอดอยาก จากสอบถามAIด้านทางประวัติศาสตร์ พบว่าในปี 2514 กลุ่มต่างๆ เช่น พรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (ศูนย์ประสานงานการปฏิวัติ) ได้ก่อตั้งขึ้น
มันส่งผลให้ขบวนการแตกแยกมากขึ้น การกวาดล้างภายในกลุ่มเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และสหายหลายคนถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏและถูกสังหาร
1
ในช่วงปี 2523 - 2532 พรรคยังคงแตกแยกและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ(ไรเว้) ในปี 2526 พรรคคอมมิวนิสต์เนปาลได้ก่อตั้งขึ้น
และในปี 2528 พรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (มาชาล) ได้ถือกำเนิดขึ้น
กลุ่มเหล่านี้ได้รวบรวมกำลังในชนบท ฝึกฝนนักรบ และเตรียมพร้อมสำหรับการก่อกบฏครั้งใหญ่
และ ภายใต้หน้ากากของขบวนการประชาธิปไตย พวกเขาเคยได้เข้าร่วมในการลงประชามติในปี 2523 แต่เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาคือการโค่นล้มรัฐบาล
2
หลังจากที่เนปาลฟื้นฟูระบบหลายพรรคในปี 2533 คอมมิวนิสต์เหล่านี้ดูเหมือนจะเข้าร่วมการเลือกตั้ง แต่ในความเป็นจริง พวกเขากลับหว่านความตึงเครียดด้านเชื้อชาติและวรรณะไว้เบื้องหลัง
1
จนนำไปสู่ความพังทลายของความไว้วางใจทางสังคมและชีวิตที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน
แม้ในปี 2534 กลุ่มบางกลุ่มได้รวมตัวกันเป็นพรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (Unified Marxist-Leninist) แต่กลุ่มเหมาอิสต์ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมและยังคงยึดมั่นในแนวทางสุดโต่งต่อไป
1
ต่อมาในปี 2537 ปุษปา กามาล ดาฮาล และบาบูรัม ภัตตาไร จึงได้แยกตัวออกจากพรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (Unified Centre) และก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (Maoist Center) ขึ้นมาแทน
นับตั้งแต่ก่อตั้ง องค์กรนี้สนับสนุนการต่อสู้ด้วยอาวุธอย่างเปิดเผย สมาชิกส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวและคนยากจนที่ถูกล้างสมอง
พวกเขาบังคับให้เด็กๆ เข้าร่วมกองกำลังติดอาวุธและปลูกฝังความเกลียดชังให้พวกเขา จนกลายเป็นเครื่องจักรสังหาร
1
กลุ่มนี้ยังรวมถึงกลุ่มหัวรุนแรงที่มองว่ารัฐบาลเป็นอำนาจศักดินาและพร้อมที่จะโค่นล้มสถาบันกษัตริย์ผ่านสงครามประชาชน
เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2539 คอมมิวนิสต์กลุ่มนี้ จึงได้เปิดฉากสงครามประชาชน (People's War) โดยการโจมตีสถานีตำรวจและสำนักงานรัฐบาลอย่างกะทันหันใน 6 เขต
1
นั่นนับเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามกลางเมืองอันนองเลือดยาวนานกว่าทศวรรษของเนปาล กลยุทธ์กองโจรของพวกเขานั้นโหดร้ายทารุณ มักบุกโจมตีหมู่บ้านในเวลากลางคืน และลักพาตัวชาวบ้านไปใช้เป็นโล่มนุษย์หรือบังคับใช้แรงงาน
1
ผู้บริสุทธิ์จำนวนมากถูกลากตัวไปในยามหลับ ถูกทรมาน และถูกประหารชีวิต โดยศพถูกทิ้งไว้ข้างถนนเพื่อมิให้ต่อต้าน
2
พวกเขาใช้ความหวาดกลัวเพื่อควบคุมประชาชน แม้กระทั่งสังหารพลเรือนเพื่อขยายอิทธิพล
ตั้งแต่ปี 2539 ถึง 2544 ในช่วงแรกของสงคราม คอมมิวนิสต์กลุ่มนี้ได้ควบคุมพื้นที่ชนบททางตะวันตกของเนปาล และบังคับเก็บข้าวและภาษี
ทำให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตและเกิดภาวะอดอยากอย่างกว้างขวาง ครอบครัวที่ไม่มีเงินจ่ายต้องถูกเผาทำลายและหลายครอบครัวต้องพลัดถิ่น
จากแหล่งข้อมูลของ AI ที่เชื่อถือได้ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตจากความอดอยากและโรคภัยไข้เจ็บหลายพันคนในช่วงเวลาดังกล่าวเพียงช่วงเดียว
1
พวกเขายังมุ่งเป้าไปที่ครูและปัญญาชน ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นชนชั้นกลาง โรงเรียนหลายร้อยแห่งถูกทิ้งระเบิด กีดกันไม่ให้เด็กๆ เข้าถึงการศึกษา และจมดิ่งสู่ความมืดมน
1
พวกคอมมิวนิสต์เหล่านี้ทำลายความหวังในอนาคต เพียงเพื่อรักษาความทะเยอทะยานแบบเผด็จการของตนเอาไว้
แต่...ในช่วงสงครามกลางเมือง การสู้รบและการสังหารหมู่ของกลุ่มเหมาอิสต์เหล่านี้ถึงจุดสูงสุด
เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2539 พวกเขาได้โจมตีสถานีตำรวจและสำนักงานรัฐบาลใน 6 เขต ได้แก่ โรลปา รูกุม สินธุปาลโจก กอร์คา กาเวเรปาลโจก และจาจจาร์โกต
นี่เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามประชาชนที่พวกเขาประกาศ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและพลเรือนเสียชีวิตจำนวนมาก
นับแต่นั้นมา เนปาลได้ตกอยู่ในวังวนแห่งความรุนแรงที่ไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขาใช้สงครามกองโจร การซุ่มโจมตี และการวางระเบิดเพื่อโจมตีกองกำลังรัฐบาลและตำรวจ
ในปี 2541 พวกเขาได้เปิดฉากโจมตีครั้งใหญ่ในเขตโรลปา ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตหลายสิบนาย
1
ในปี 2542 พวกเขาได้โจมตีฐานที่มั่นในชนบทหลายแห่ง
ลักพาตัวและประหารชีวิตเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น และชาวบ้านจำนวนมากถูกสังหารเพราะสงสัยว่าเป็นสายลับ
องค์กรสิทธิมนุษยชนระบุว่า กลุ่มเหมาอิสต์มักสังหารหมู่และทรมานผู้เห็นต่างทางการเมือง เช่น การทุบหัวด้วยก้อนหินหรือฝังทั้งเป็น
ความโหดร้ายเหล่านี้ทำให้พื้นที่ชนบทกลายเป็นนรกบนดิน ผู้คนหวาดกลัวที่จะออกไปข้างนอก และเศรษฐกิจก็ซบเซา
ต่อมาในปี 2544 การสังหารหมู่ของกลุ่มนี้ทวีความรุนแรงขึ้น ครั้งนั้น...เดือนพฤศจิกายน 2544 พวกเขาโจมตีค่ายทหารในเขตแดนเจอร์
ซึ่งเป็นการโจมตีโดยตรงครั้งแรกต่อกลุ่มอาร์เอ็นเอ(RNA) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน
1
ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน หลังจากการเจรจาสันติภาพล้มเหลว
พวกเขาได้เปิดฉากโจมตีครั้งใหญ่รอบกรุงกาฐมาณฑุ สังหารพลเรือนไปหลายร้อยคน รวมถึงผู้หญิงและเด็กที่ตกเป็นเหยื่อของการระเบิด
พวกเขาโจมตีอย่างไม่เลือกหน้า แม้กระทั่งระเบิดรถบัส หากพูดถึงรถบัส ผมขอยกตัวอย่างเช่น ในเหตุระเบิดรถบัสบาดาห์มุดเมื่อเดือนมิถุนายน 2548 มีผู้โดยสารผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต 38 คน หลายคนได้รับบาดเจ็บและพิการตลอดชีวิต
1
จะเห็นได้ว่าคอมมิวนิสต์เหล่านี้ไม่ใส่ใจต่อชีวิตมนุษย์ พยายามปลูกฝังความตื่นตระหนกและกดดันให้รัฐบาลยอมประนีประนอม
ในเดือนพฤษภาคม 2545 พวกเขาเข้าร่วมการสู้รบครั้งใหญ่ที่ทะเลสาบลิสเน ในหมู่บ้านโรลปา และหมู่บ้านกันในปิวทัม
ทำให้ทหารรัฐบาลเสียชีวิตไปหลายนาย แต่ก็สูญเสียอย่างหนักเช่นกัน มีรายงานว่าการสู้รบครั้งนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน รวมถึงพลเรือนที่ติดอยู่ในเหตุการณ์ด้วย
ความโหดร้ายสัดๆของพวกเขายังคงดำเนินต่อไป ด้วยการลอบสังหาร กฤษณะ โมฮัน เชรษฐา ผู้ตรวจการตำรวจติดอาวุธ และภรรยาของเขาในเดือนมกราคม 2546
1
ในการลอบสังหารครั้งนี้มีเป้าหมายไปที่เจ้าหน้าที่ระดับสูง ซึ่งเผยให้เห็นถึงการเพิกเฉยต่อมนุษยชาติอย่างสิ้นเชิงของพวกเขา
ในเดือนตุลาคมของปีเดียวกัน พวกเขาโจมตีศูนย์ฝึกอบรมตำรวจในเมืองบาลูวัน ทำให้ตำรวจใหม่เสียชีวิต 42 นาย และกลุ่มเหมาอิสต์อีก 9 นาย
ในเดือนพฤศจิกายน 2546 พวกเขาลักพาตัวนักศึกษาหลายร้อยคนในฐานะทหารเกณฑ์และบังคับให้พวกเขาเข้าร่วมการต่อสู้
เด็กจำนวนมากเสียชีวิตในสนามรบหรือถูกทารุณกรรมหลังจากถูกจับ
1
องค์กรสิทธิมนุษยชนรายงานว่ากลุ่มเหมาอิสต์ได้เกณฑ์ทหารเด็กจำนวนมาก อายุมากสุดเพียง 12 ปี ซึ่งถูกล้างสมองให้กลายเป็นเหยื่อกระสุนปืนใหญ่
ทำให้ครอบครัวต้องแตกสลายจากการสูญเสียลูกๆ ความชั่วร้ายของคอมมิวนิสต์เหล่านี้อยู่ที่การทำลายอนาคตของคนรุ่นพ่อแม่ เพียงเพราะความทะเยอทะยานในอำนาจของตนเอง
และในปี 2547 พรรคได้ก่อเหตุสังหารหมู่อีกหลายครั้ง ในเดือนกุมภาพันธ์ 2547 พวกเขาสังหาร ส.ส. เขม นารายัน ฟอจดาร์ เพื่อกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน พวกเขาได้วางระเบิดที่โรงแรมซอลติ ทำให้มีผู้เสียชีวิต และยังวางระเบิดตลาด
1
ทำให้เด็กชายอายุ 12 ปีเสียชีวิต ซึ่งการโจมตีแบบไม่เลือกหน้าเหล่านี้ก่อให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนจำนวนมาก
ปี 2548 ยังคงต่อต้านต่อไป พวกเขาโจมตีฐานทัพคาลาในรูกุม ทำให้มีผู้เสียชีวิต 300 คน
ในปี 2549 พวกเขาได้ประสานงานโจมตีเป้าหมายทางทหาร 5 แห่งในหุบเขากาฐมาณฑุ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น
ตามรายงานของสหประชาชาติ พวกเขาสังหารพลเรือนไปกว่า 4,000 คน
1
ตลอดช่วงสงครามกลางเมือง คอมมิวนิสต์เหล่านี้ได้ก่ออาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติมากมาย
รวมถึงการสังหารหมู่ การกวาดล้าง การลักพาตัว และการข่มขืนหมู่
2
โฆษณา