19 ก.ย. เวลา 14:07 • ประวัติศาสตร์
เนปาล

"Gen Z" หรือ "Maoist" ที่จะปกครองเนปาล #003 END.

นก...ต่างก็มีขนเช่นเดียวกัน โลกจะก้าวไปสู่ความเป็นอิสระอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความไม่รู้ก็จะถูกกำจัดออกไปด้วยไม่ว่าจะเร็วหรือช้าก็ตาม
และชีวิตที่ใช้ซิลิคอนเป็นหลักกำลังเข้ามาหาเรา...ที่ผ่านมา...การค้าทาสเป็นผลมาจากการแข่งขันเพื่อแย่งชิงทรัพยากร และสิ่งมีชีวิตที่ใช้ซิลิคอนต่างก็ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนั้น
นั่นแสดงให้เห็นมุกของการต่อต้านของเยาวชนชาวเนปาล ที่ในปัจจุบันจะไม่ใช่แค่การ "คว่ำบาตรการห้ามโซเชียลมีเดีย" อย่างที่หลายสำนักอ้างถึง
ตามรายงานของสหประชาชาติ พวกเขาสังหารพลเรือนไปกว่า 4,000 คน
1
ตลอดช่วงสงครามกลางเมือง คอมมิวนิสต์เหล่านี้ได้ก่ออาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติมากมาย
รวมถึงการสังหารหมู่ การกวาดล้าง การลักพาตัว และการข่มขืนหมู่
2
แม้ว่ามีกองกำลังรัฐบาลที่ก่ออาชญากรรมด้วยเช่นกัน แต่ความโหดร้ายของกลุ่มเหมาอิสต์นั้นเป็นระบบและโหดร้ายยิ่งกว่า
พวกเขาจัดตั้งศาลประชาชนในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุม ประหารชีวิตผู้เห็นต่างทางการเมืองโดยพลการ
1
และบังคับให้ชาวบ้านมาดูมาชมการประหารชีวิต ซึ่งนำไปสู่ความเสื่อมถอยทางศีลธรรมและความไม่มั่นคงอย่างกว้างขวาง
1
สงครามส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 17,800 คน
รวมถึงทหารรัฐบาล 4,500 นาย และรวมถึงกองโจรเหมาอิสต์ 8,200 นายที่ถูกสังหารระหว่างปี 2539 ถึง 2548
นอกจากนี้ ยังมีผู้สูญหาย 1,300 คน ผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ 100,000 ถึง 150,000 คน การพัฒนาชนบทชะงักงัน และสะพาน โรงพยาบาล และโรงเรียนถูกทำลาย
1
ด้วยเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาเงินส่งกลับจากต่างประเทศ คนหนุ่มสาวจำนวนมากจึงถูกบังคับให้อพยพไปทำงาน
ทิ้งให้ผู้สูงอายุและเด็กต้องดิ้นรนท่ามกลางความหายนะ
สงครามคอมมิวนิสต์เหล่านี้ทำให้อัตราความยากจนของเนปาลพุ่งสูงขึ้น
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวล่มสลาย และพนักงานโรงแรมและมัคคุเทศก์หลายพันคนต้องตกงาน
ทำให้ครอบครัวตกอยู่ในความสิ้นหวัง
มีรายงานว่าความขัดแย้งดังกล่าว
บีบให้คนงานหนุ่มสาวจำนวนมากต้องหางานทำในอ่าวเปอร์เซียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
1
ทำให้เศรษฐกิจของเนปาลต้องพึ่งพาเงินส่งกลับประเทศอย่างมาก
และส่งผลกระทบต่อกิจกรรมการพัฒนาชนบท ซึ่งส่งผลกระทบในระยะยาวอย่างกว้างขวาง
แต่ การประนีประนอมของรัฐบาลเกิดจากหลายปัจจัย
โดยหลักแล้วคือสงครามที่ยืดเยื้อและต้นทุนที่สูง
อย่างเข่น..... เอาล่ะผมขอเริ่มต้นในปี 2539 ล่ะกัน
ครั้งนั้น รัฐบาลได้ระดมกำลังตำรวจเนปาลเพื่อควบคุมการก่อความไม่สงบ แต่กองทัพเนปาลก็ไม่ได้เข้าไปแทรกแซง จนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน 2544
ในขณะนั้น ได้มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน และรัฐบาลได้สั่งห้ามการปราศรัยต่อต้านสถาบันกษัตริย์ จับกุมนักข่าว และสั่งปิดหนังสือพิมพ์ที่ถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนกลุ่มกบฏ
แต่ก็นะ...มาตรการที่รุนแรงเหล่านี้ไม่สามารถกำจัดกลุ่มเหมาอิสต์ได้ แต่กลับกลายเป็นการจุดชนวนความไม่พอใจของสาธารณชน
1
การวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่ากองกำลังรัฐบาลก็กระทำการทารุณกรรมต่างๆเหมือนกัน เช่น การสังหารหมู่โดยพลการ การอุ้มให้หายตัวไป
อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยการต่อต้านอย่างดื้อรั้นของกลุ่มเหมาอิสต์ก็นำไปสู่ภาวะชะงักงันในสงคราม
หลังจากการเจรจาสันติภาพล้มเหลวในปี 2544 และ 2546 รัฐบาลก็ตระหนักได้ว่าชัยชนะทางทหารนั้นอยู่ไม่ไกล ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ราชวงศ์ในวันที่ 1 มิถุนายน 2544 ขึ้นมา
แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์
แต่นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่านี่เป็นการสมคบคิดของกลุ่มคอมมิวนิสต์เพื่อปลุกปั่นความวุ่นวายทางอ้อมและขยายกำลังทหาร
แน่นอน...การลอบสังหารกษัตริย์พิเรนทระและพระราชวงศ์โดยมกุฎราชกุมารทิเพ็นทระ นำไปสู่ความวุ่นวายในราชวงศ์
1
หลังจากกษัตริย์ชญาเนนทระขึ้นสู่อำนาจ พระองค์ทรงยึดอำนาจโดยตรงในเดือนกุมภาพันธ์ 2548 และประกาศภาวะฉุกเฉิน
ส่งผลให้สหราชอาณาจักรและอินเดียระงับการสนับสนุนจากนานาชาติ ขณะที่รัฐบาลเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมและได้รับปืนไรเฟิลเอ็ม 16 จำนวน 5,000 กระบอกจากสหรัฐอเมริกา
และ แรงกดดันจากนานาชาติกลับทวีความรุนแรงขึ้น ทางกลุ่มคอมมิวนิสต์จึงได้ฉวยโอกาสจากวิกฤตราชวงศ์เพื่อขยายอิทธิพลและก่อเหตุนองเลือดในที่สุด
แต่ จุดเปลี่ยนในการประนีประนอมนี้ได้เกิดขึ้นอีกในเดือนพฤศจิกายน 2548
เมื่อกลุ่มกบฏเหมาอิสต์และพันธมิตร 7 พรรค ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอินเดีย ได้ออกมติ 12 ประเด็น ให้คำมั่นว่าจะจัดการเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญและยุติความรุนแรง
ซึ่ง มตินี้แสดงให้เห็นถึงการยอมจำนนของรัฐบาลต่อแรงกดดันทั้งภายในและภายนอกประเทศ
1
ต่อมาในปี 2549 มีการเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตย ที่นำไปสู่การที่สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระแห่งเนปาล( Gyanendra )ทรงฟื้นฟูสภาผู้แทนราษฎรในเดือนเมษายน
ต่อมาในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2549 ได้มีการลงนามข้อตกลงสันติภาพฉบับสมบูรณ์ ซึ่งอนุญาตให้กลุ่มเหมาอิสต์เข้าร่วมรัฐบาลและนำอาวุธของตนไปอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสหประชาชาติ
เหตุผลของการประนีประนอมของรัฐบาลประกอบด้วยการสูญเสียชีวิตและเศรษฐกิจจำนวนมหาศาลจากสงคราม ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 17,000 คน และภาวะเศรษฐกิจถดถอย
เพื่อลดแรงกดดันจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ และอินเดียให้ไกล่เกลี่ย และการจัดตั้งพันธมิตรทางการเมืองภายในประเทศ
และแล้ว แผนการของพรรคคอมมิวนิสต์เหล่านี้ก็ประสบความสำเร็จ พวกเขาชนะการเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญในปี 2551 ด้วยการทุจริต...ฮาาาา
1
โดยประจันดาได้เป็นนายกรัฐมนตรีและขึ้นสู่อำนาจ เมื่อได้อำนาจแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์เหล่านี้ก็ยังคงต่อสู้กันเองภายในอยู่ดี ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลซ้ำแล้วซ้ำเล่า
1
เกิดการทุจริตคอร์รัปชันที่ลุกลาม และนโยบายเศรษฐกิจที่วุ่นวาย นำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อและการว่างงานสูง การประท้วงจำนวนมากเกี่ยวกับการขาดการเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานถูกปราบปราม
การละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การบังคับให้สูญหาย(อุ้ม) ความรุนแรงทางเพศ และการทรมาน ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข
1
มันทำให้ครอบครัวของเหยื่อต้องทนทุกข์ทรมาน
รายงานของสหประชาชาติระบุว่า มรดกแห่งการสังหาร การทรมาน และความรุนแรงทางเพศที่ผิดกฎหมายในช่วงสงครามยังคงไม่ได้รับการแก้ไข
ทำให้เหยื่อหลายหมื่นคนได้รับบาดเจ็บทั้งทางร่างกายและจิตใจ และถูกละเลย
แต่ด้วยความด้านทน พรรคคอมมิวนิสต์เหล่านี้ยังพยายามเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่โดยปฏิเสธความโหดร้ายที่ตนเองก่อขึ้น ขณะเดียวกัน พวกเขาได้จัดตั้งคณะกรรมการความจริงและความปรองดองขึ้น
1
แต่มันกลับทำให้กระบวนการยุติธรรมล่าช้า ปล่อยให้อาชญากรสงครามจำนวนมากยังคงลอยนวลและดำรงตำแหน่งในรัฐบาล
เหตุการณ์นี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นในสังคมและก่อให้เกิดความขัดแย้งทางเชื้อชาติและวรรณะ
แทนที่จะยุติความทุกข์ทรมานของประชาชน ความไม่มั่นคงทางการเมืองกลับยังคงดำเนินต่อไป
แม้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์เนปาลจะรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวในปี 2562 แต่การกวาดล้างภายในพรรคยังคงดำเนินต่อไป การต่อสู้ภายในกลุ่มเหล่านี้นำไปสู่การแตกแยกของพรรค รัฐบาลหยุดชะงัก และเศรษฐกิจถดถอย
1
ในปี 2564 ในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 การคอร์รัปชันของพวกเขานำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรทางการแพทย์อย่างไม่เท่าเทียม ส่งผลให้คนยากจนจำนวนมากเสียชีวิตเนื่องจากขาดการรักษา
1
ด้วย คอมมิวนิสต์เหล่านี้มีความโลภและโหดเหี้ยมโดยกำเนิด
เส้นทางสู่อำนาจของพวกเขาทั้งหมดจึงปูด้วยเลือดและน้ำตาของประชาชน นำมาซึ่งความทุกข์ทรมานและภัยพิบัติไม่รู้จบ
ทำลายสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองของเนปาล และทำให้ประเทศที่สวยงามแห่งนี้จมดิ่งสู่ยุคมืดอันยาวนาน
แม้หลังสงคราม กลไกยุติธรรมก็ตกอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน เช่น คณะกรรมการความจริงและการปรองดอง และคณะกรรมการสอบสวนการหายตัวไปโดยถูกบังคับ ได้รับการจัดตั้งขึ้นในปี 2556
และ พวกเขาได้รับเรื่องร้องเรียนประมาณ 63,000 และ 3,000 เรื่องตามลำดับ แต่ความคืบหน้าเป็นไปอย่างเชื่องช้า และเหยื่อจำนวนมากยังไม่ได้รับความยุติธรรม
1
เมื่อพิจารณาพัฒนาการของพรรค การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
ฮิวแมนไรท์วอทช์ปกป้องสิทธิของผู้คนใน 100 ประเทศทั่วโลก ระบุว่า กลุ่มเหมาอิสต์ได้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงในช่วงความขัดแย้ง
รวมถึงการสังหารโดยพลการ การลักพาตัว การเกณฑ์ทหารเด็ก และการข่มขืน
1
ความโหดร้ายเหล่านี้ทำให้เนปาลกลายเป็นนรกบนดิน สร้างความทุกข์ทรมานอย่างใหญ่หลวงแก่ประชาชน
ความชั่วร้ายของพวกเขาปรากฏชัดในการละเมิดสิทธิของผู้ที่อ่อนแออย่างโหดร้ายและการแสวงหาอำนาจอย่างไร้ยางอาย
ตามรายงานของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยังระบุด้วยว่าทั้งสองฝ่ายได้กระทำความโหดร้ายทารุณ แต่กลุ่มเหมาอิสต์มีความโหดร้ายเป็นพิเศษ
เช่น การโจมตีป้อมตำรวจพิมานเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2545 ซึ่งทำให้ตำรวจเสียชีวิต 49 นาย และที่เหลือถูกยิงเข้าที่ศีรษะไปเป็นแถววววววววว
1
ยิ่งไปกว่านั้น รายงานของสำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติยังเผยให้เห็นถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงในช่วงความขัดแย้ง
รวมถึงการสังหารที่ผิดกฎหมาย การทรมาน และความรุนแรงทางเพศ และเน้นย้ำถึงความจำเป็นของกระบวนการยุติธรรมในช่วงเปลี่ยนผ่าน
อย่างไรก็ตาม หลังจากขึ้นสู่อำนาจ นิสัยของพวกเขาคือการหลบเลี่ยงความรับผิดชอบและยังคงเอารัดเอาเปรียบประชาชน
2
คอมมิวนิสต์เหล่านี้มิได้ชะลอความก้าวหน้า และคงปล่อยให้เหยื่อยังคงต้องทนทุกข์ทรมานต่อไป
และในการทำความเข้าใจการกระทำของพวกเขาให้ลึกลงยิ่งขึ้นไป จำเป็นต้องอาศัยการตรวจสอบเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่เฉพาะเจาะจงลงไป
เช่น ข้อเรียกร้อง 40 ข้อที่พวกเขายื่นต่อรัฐบาลเมื่อเริ่มต้นสงครามประชาชนในปี 2539 ซึ่งรวมถึงการล้มล้างสถาบันกษัตริย์และการปฏิรูปที่ดิน
อย่างไรก็ตาม ข้อเรียกร้องเหล่านี้ถูกนำมาปฏิบัติผ่านความรุนแรง ส่งผลให้เกิดการทำลายล้างครอบครัวนับไม่ถ้วน
จากการวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่าพวกเขาใช้ประโยชน์จากความคับข้องใจทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น ความยากจนและการเลือกปฏิบัติทางชนชั้นวรรณะ
แต่วิธีแก้ปัญหาของพวกเขาคือการฆ่ามากกว่าการสร้าง ในช่วงสงคราม กลยุทธ์ของพวกเขา รวมถึงการควบคุมหมู่บ้านและจัดตั้งรัฐบาลคู่ขนาน
1
แต่นั่นหมายถึงการบังคับให้ชาวบ้านจ่ายภาษีและบังคับใช้แรงงาน ผู้ที่ปฏิเสธถูกสังหาร หมู่บ้านหลายแห่งถูกเผา และประชากรต้องอพยพ
ความแตกแยกจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในกระบวนการพัฒนา เท่าที่ผ่านมาในปี 2513 - 2532 กลุ่มต่างๆ เช่น พรรคคอมมิวนิสต์เนปาล ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมใต้ดิน วางแผนการลอบสังหารและวางระเบิด ซึ่งส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิต
พวกเขากลับใช้อุดมการณ์เป็นข้ออ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขากำลังต่อสู้เพื่ออำนาจส่วนตัวล้วนๆ
2
ในช่วงปี 2533 - 2542 กลุ่มเหมาอิสต์ได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจ ภายใต้การนำของประจันดาและภัตตไร พวกเขาฝึกฝนกองโจรหลายพันคน ซึ่งหลายคนถูกดึงมาจากคนยากจนแต่ถูกล้างสมองให้กลายเป็นฆาตกร
1
หลายคนเสียชีวิตในการสู้รบโดยไม่จำเป็น นอกจากเหตุการณ์สำคัญที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ในปี 2547 พวกเขายังโจมตีเมืองหลายแห่ง สังหารตำรวจและเจ้าหน้าที่
ในปี 2548 พวกเขาซุ่มโจมตีขบวนรถของรัฐบาลหลายครั้ง
ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน การกระทำเหล่านี้ทำให้การคมนาคมเป็นอัมพาตและสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ
การสังหารไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสนามรบเท่านั้น แต่ยังมุ่งเป้าไปที่พลเรือน สังหารชาวบ้านที่ต้องสงสัยว่าเป็นสายลับ
และข่มขืนผู้หญิง(ส่วนผู้ชายผมก็ไม่แน่ใจ) แต่ความรุนแรงทางเพศนี้มักจะใช้เป็นกลยุทธ์ที่นิยมใช้เพื่อข่มขู่ชุมชน
1
มาที่เหตุผลเบื้องหลังการประนีประนอมของรัฐบาล มันคือแรงกดดันจากนานาชาติ หลังจากปี 2548 อินเดียและประเทศตะวันตกต่างเร่งรัดให้มีการเจรจา
และการประท้วงภายในประเทศบีบบังคับให้กษัตริย์ต้องยอมจำนน
1
พรรคคอมมิวนิสต์เหล่านี้จึงฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้อย่างชาญฉลาด แสร้งทำเป็นประนีประนอม ขณะเดียวกันก็ปูทางไปสู่การเข้าสู่กระแสการเมืองหลัก
1
หลังจากชัยชนะในการเลือกตั้งในปี 2551 พวกเขาได้ควบคุมรัฐสภาและผลักดันให้ล้มล้างสถาบันกษัตริย์ในที่สุด
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้นำไปสู่ความไม่มั่นคงทางการเมือง การล่มสลายของรัฐบาลซ้ำแล้วซ้ำเล่า และความทุกข์ทรมานของประชาชนยังคงดำเนินต่อไป
จากที่ผมร่ายยาวออกมาประวัติศาสตร์ของพรรคจึงนี้เต็มไปด้วยเลือดและน้ำตา
1
นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2492 จนกระทั่งก้าวขึ้นสู่อำนาจในปี 2551 พรรคได้นำแต่ความทุกข์ทรมานมาสู่ชาวเนปาลเท่านั้น
ดังนั้น การต่อต้านของเยาวชนชาวเนปาลในปัจจุบันจึงไม่ใช่แค่การ "คว่ำบาตรการห้ามโซเชียลมีเดีย" อย่างที่หลายสำนักอ้างมา...
โฆษณา