Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หนังสือสนทนากับพระเจ้า
•
ติดตาม
4 ชั่วโมงที่แล้ว • หนังสือ
#19 9️⃣การเปลี่ยนแปลงที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกสิ่ง —
บทที่ 1️⃣3️⃣ เรื่องของงู สิงโต และมนุษย์ (2) : สมองอันน่าทึ่งของคุณ
💟 ผู้แปล : คุณ♾️อุดม
...
...
...
ถ้าคุณพร้อมที่จะไปต่อแล้ว ก็ให้เลื่อนลงไปที่ . . .
⭕
THE FINAL LESSON:
YOUR MAGNIFICENT BRAIN
บทเรียนสุดท้าย:
#สมองอันน่าทึ่งของคุณ
⭕
#เครื่องมือของจิตใจคือสมอง เครื่องมืออันน่าทึ่งนี้พัฒนาขึ้นเป็นขั้นตอนผ่านกระบวนการวิวัฒนาการ ก่อนอื่นเรามี #สมองแบบสัตว์เลื้อยคลาน จากนั้นวิวัฒนาการของสปีชีส์ได้สร้าง #สมองแบบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซ้อนทับอยู่ด้านบน ในที่สุด เราก็วิวัฒนาการมาเป็น #สมองมนุษย์
(ผมต้องการกล่าวยอมรับตรงนี้ว่าผมเป็นหนี้บุญคุณสิ่งที่ผมกำลังแบ่งปันกับคุณส่วนใหญ่แก่อัจฉริยภาพและความเข้าใจอันลึกซึ้งของ ดร.อิลชี ลี ปรมาจารย์ชาวเกาหลีผู้เขียนหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับสมองมนุษย์ซึ่งผมขอแนะนำอย่างยิ่ง)
#สัตว์เลื้อยคลานไม่ได้ตัดสินคุณค่า มันไม่ได้รับข้อมูลจากช่วงเวลาปัจจุบัน นำมาจับคู่กับข้อมูลจากช่วงเวลาที่คล้ายกัน วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อดูว่าเปรียบเทียบกันอย่างไร และตัดสินใจว่าจะตอบสนองอย่างไรบนพื้นฐานของการประเมินคุณค่าแบบสัมพัทธ์* (*เปรียบเทียบข้อมูลก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ)
#สัตว์เลื้อยคลานตอบสนองต่อทุกสิ่งด้วยสัญชาตญาณ ข้อมูลของมันอยู่ในระดับเซลล์ เป็นสิ่งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม การตอบสนองของมันจึงจะเหมือนกันจากการเผชิญหน้าครั้งหนึ่งไปสู่ครั้งต่อไป เมื่อได้รับสิ่งกระตุ้นภายนอกที่คล้ายกัน เปลี่ยนแปลงเฉพาะเมื่อเวลาผ่านไปหลายศตวรรษตามที่วิวัฒนาการเรียกร้อง ปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณนี้เกิดขึ้นทันที และ #งูทุกตัวในสปีชีส์เดียวกันจะตอบโต้เหมือนกันต่อสิ่งกระตุ้นที่เหมือนกัน
จิตใจมนุษย์ก็ทำงานทันทีเช่นกัน แต่มันทำหน้าที่หลายอย่างกว่าในช่วงเวลาเล็กน้อยเท่ากัน เพราะสมองของเราได้วิวัฒนาการไปสู่ระดับการทำงานที่สูงกว่ามาก สมองของเรายังเก็บข้อมูลเฉพาะที่มีแต่เฉพาะในตัวเราด้วย #ไม่มีใครบนโลกมีจิตใจเหมือนของคุณ ดังนั้นมนุษย์ทุกคน #แม้จะเป็นสมาชิกของสปีชีส์เดียวกัน_ก็ไม่ได้ตอบโต้เหมือนกันต่อสิ่งกระตุ้นเดียวกัน
งูไม่ได้ประสบกับความโกรธ คุณรู้ไหม❓ คุณไม่สามารถทำให้งู “โกรธ” ได้ คุณไม่สามารถทำให้งู “มีความสุข” ได้เช่นกัน งูอยู่ในสภาวะนิรันดร์ของการเป็นสิ่งที่มันเป็น นั่นคือ งู ในแง่นี้ มันได้ทำการเดินทางทางวิวัฒนาการของมันเสร็จสิ้นแล้วและตอนนี้กำลังมีประสบการณ์กับการดำรงอยู่(เป็นงู)อย่างสมบูรณ์
มนุษย์อยู่บนการเดินทางสู่ความสมบูรณ์เช่นเดียวกัน แต่เรายังไม่ได้ทำการเดินทางของเราเสร็จสิ้น เรายังไม่ได้มาถึงจุดสิ้นสุดของกระบวนการวิวัฒนาการของเรา
ผมควรยอมรับว่านี่เป็นหัวข้อที่มีความขัดแย้งอยู่บ้าง มีนักมานุษยวิทยาบางคนที่เชื่อว่าเราได้ทำการเดินทางทางวิวัฒนาการของเราเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาโต้แย้งว่ามนุษย์ได้วิวัฒนาการไปไกลเท่าที่จะไปได้แล้ว
จริงๆแล้ว นี่เป็นแนวคิดที่แพร่หลายในหมู่นักชีววิทยาชั้นนำของโลก นิตยสาร Discover-ค้นพบ บอกเราเช่นนั้นในเรื่องที่ได้ลงบนหน้าปกของเดือนมีนาคม 2009 โดยแคทลีน แมคออลิฟฟ์ บรรณาธิการผู้มีส่วนร่วม ผู้ชนะทุน Alicia Patterson Journalism Fellowship ปี 2009 เพื่อทำการวิจัยต่อเกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์จากยุคหินถึงปัจจุบัน “มุมมองนี้ฝังรากลึกจนกลายเป็นหลักคำสอนไปแล้ว” แมคออลิฟฟ์รายงาน
แต่เธอก็บอกด้วยว่าตอนนี้มีความเห็นแย้งที่สำคัญจากแหล่งที่มาที่สำคัญบางแหล่ง เธอแจ้งให้เราทราบว่าทีมนักวิจัยกำลังเสนอว่า “ในช่วง 10,000 ปีที่ผ่านมา วิวัฒนาการของมนุษย์เกิดขึ้นเร็วกว่าช่วงใดๆในประวัติศาสตร์ของสปีชีส์ของเราถึงร้อยเท่า”
สิ่งนี้สอดคล้องอย่างสมบูรณ์แบบกับการสังเกตของผมเองที่ว่าการเปลี่ยนแปลงกำลังเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณบนโลกของเรา มีเหตุผลมากมายสำหรับเรื่องนี้ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของความเร็วในการสื่อสารที่ผมได้กล่าวถึงที่นี่ และบทความที่มีความเข้าใจลึกซึ้งของแมคออลิฟฟ์ได้เสนอสมมติฐานที่น่าหลงใหลเพิ่มเติม (Are We Still Evolving?/เรายังคงวิวัฒนาการอยู่หรือไม่?, มีนาคม 2009, Discover)
เป็นสมมติฐานของผมที่ว่า #มนุษย์ยังคงแสวงหาการเป็นตัวของตัวเองอย่างสมบูรณ์ ผมสังเกตตัวเองและสังเกตมนุษยชาติ และรู้สึกว่าเรายังไม่ถึงครึ่งทางของเป้าหมายนั้นด้วยซ้ำ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ เรายังไม่รู้อะไรเลยแม้แต่ครึ่งเดียว แนวคิดนี้อาจทำให้รู้สึกหดหู่หรือตื่นเต้น ขึ้นอยู่กับมุมมองของคุณ (ซึ่งความจริงนี้ใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิต)
สำหรับผม ผมรู้สึกตื่นเต้น แม้ว่ามนุษย์เราจะยิ่งใหญ่แค่ไหน เรายังมีอีกครึ่งทางที่ต้องไป❗ ศักยภาพของวันพรุ่งนี้ทอดยาวไกลเท่าที่วิสัยทัศน์ของเราจะมองเห็น . . . และไกลกว่านั้นอีกมากมาย แต่ . . . พอกันทีกับการพรรณนาเชิงปรัชญา มาอธิบายเรื่องสมองกันต่อดีกว่า . . .
ส่วนสิงโตนั้น ต่างจากงู #มันมีสมองแบบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม_มันสามารถและมักจะแสดงความโกรธ (อย่าลองทดสอบทฤษฎีนี้ ผมรับรองได้ว่ามันเป็นความจริง) แต่สิงโตไม่ได้ตัดสินเรื่องพวกนี้ “ความโกรธของฉันสมเหตุสมผลไหม❓ มันถูกต้องหรือผิดที่❓ มันพอดีหรือมากเกินไป❓ ฉันควรโกรธในระดับนี้ในอนาคตไหม❓ สิงโตตัวอื่นจะคิดยังไง❓” #สิงโตไม่ได้ถามคำถามอะไรแบบนี้กับตัวเอง
ส่วนมนุษย์มีสมองที่พัฒนาถึงระดับที่ 3 #มนุษย์รับข้อมูล_เปรียบเทียบกับข้อมูลอื่น_จัดระเบียบวิธีตอบสนองต่อข้อมูลนั้น #ชั่งน้ำหนักตัวเลือกทั้งหมด_วิเคราะห์ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้และน่าจะเกิดขึ้นของแต่ละตัวเลือก #ตัดสินใจเลือกผลลัพธ์ที่ดีที่สุด_และบอกร่างกายว่าควรตอบสนองอย่างไร ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาหนึ่งในล้านวินาที
น่าทึ่งใช่ไหมล่ะ❓ แต่แม้จะมีอุปกรณ์คำนวณที่ยอดเยี่ยมอยู่ในกะโหลกศีรษะของคุณ #การตอบสนองที่จิตใจคุณเลือกอาจไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับช่วงเวลาปัจจุบัน การที่จิตใจอาจทำเช่นนั้น มันช่าง . . . น่าสนใจจริงๆ
ปัญหาคือ #มนุษย์ส่วนใหญ่ยังไม่ได้เรียนรู้ที่จะใช้ความสามารถทั้งหมดของจิตใจ —รวมถึงความสามารถในการพิจารณาข้อมูลที่ไม่มีอยู่ในฐานข้อมูลเดิม— เพื่อสร้างการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการใช้กลไกเดียวกันนี้ คือสมองมนุษย์ #เพื่อสร้างสภาวะที่พวกเขาชอบ_แทนที่จะทนกับสภาวะที่พวกเขาเผชิญ
สิ่งที่จิตใจอันน่าสงสารของเราทำส่วนใหญ่คือการดึงความทรงจำและความทรงจำย่อยจากอดีตล่าสุด (ชาตินี้) และอดีตอันไกลโพ้น (สายวิวัฒนาการ) มาใช้ มันเทข้อมูลเหล่านี้เข้าสู่ปัจจุบันของเราและฉายภาพไปยังอนาคตของเราพร้อมกัน
กระบวนการรวดเร็วดั่งสายฟ้านี้สร้างพลังงานในรูปแบบที่เราเรียกว่า “#ความคิด” และส่งมันเข้าสู่การเคลื่อนไหว ผมสรุปปรากฏการณ์นี้ว่า : พลังงาน+การเคลื่อนไหว (E+motion) เพื่อจุดประสงค์ของการสนทนานี้ ผมเรียกมันว่า #อารมณ์
นี่คือ #พลังสร้างสรรค์ของจักรวาล
ผมคิดว่าผมต้องพูดซ้ำอีกครั้ง
นี่คือพลังสร้างสรรค์ของจักรวาล นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงน่าเศร้าที่คนมากมายคิดว่าอารมณ์เป็นสิ่งที่พวกเขาควบคุมไม่ได้ ความจริงแล้ว เป็นดังที่ผมได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ : #อารมณ์เป็นสิ่งที่เลือกได้ จิตใจตัดสินใจที่จะรู้สึกในแบบหนึ่งแบบใด อารมณ์คือการกระทำของความตั้งใจ เมื่อเราเข้าใจสิ่งนี้เท่านั้น เราจึงจะสามารถทำตามที่ผมได้อธิบายไว้ . . . #ใช้อารมณ์เพื่อสร้างสภาวะที่เราชอบ_แทนที่จะเพียงแค่ตอบสนองต่อสภาวะที่เราทน (จะมีการพูดถึงเรื่องนี้อีกมาก —มากทีเดียว— ในส่วนที่ 2 ของการสนทนานี้)
เราได้สำรวจวิธีเปลี่ยนอารมณ์ของคุณอย่างละเอียดมาแล้ว สรุปง่ายๆ คือ : #เปลี่ยนความคิดที่เป็นต้นกำเนิดของอารมณ์นั้น เพื่อทำเช่นนั้น #ให้เปลี่ยนความจริงที่เป็นต้นกำเนิดของความคิด เพื่อทำเช่นนั้น ให้ใช้จิตใจของคุณให้เต็มศักยภาพในช่วงเวลาที่ตามมาทันทีหลังจากเหตุการณ์ใดๆ ค้นหาให้ไกลเกินกว่าคลังข้อมูลของคุณเพื่อสร้างพื้นฐานสำหรับความจริงของคุณ (อีกครั้ง นั่นคือเนื้อหาทั้งหมดในส่วนที่ 2 ของหนังสือนี้)
ผมได้ลงลึกในเรื่องกลไกของจิตใจที่นี่เพื่อให้คุณมีพื้นฐานที่แท้จริงในการเข้าใจวิธีใช้มันเพื่อก้าวข้ามมันไป
ตอนนี้คุณเห็นชัดขึ้นไหมว่านี่คือสิ่งที่หญิงในเวิร์คช็อปคนนั้นทำ❓ เธอทำมันค่อนข้างเร็วด้วย ด้วยการช่วยเหลือเพียงเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้น เธอยอมรับว่าเธอน่าจะทำสิ่งนี้ได้ในอนาคตด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมีการกระตุ้นหรือความช่วยเหลือใดๆ —เพราะเธอเห็นทันทีว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ เธอมองเห็นอย่างมีสติว่าตัวเองกำลังเทอดีตที่เธอตัดสินว่าเลวร้ายเข้าสู่ปัจจุบัน ฉายภาพความทรงจำเกี่ยวกับพ่อของเธอทับทุกสิ่ง
ในการเห็นสิ่งนี้ เธอกำลังทำสิ่งที่ครูทางจิตวิญญาณ แมรี โอมาลลีย์ และคนอื่นๆเรียกว่า “การเป็นประจักษ์พยาน” หญิงในเวิร์คช็อปได้เป็นประจักษ์พยานต่อสิ่งที่เธอกำลังสร้างในจิตใจของเธอ และเพียงแค่เลือกใหม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น ตอนนี้เธอไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นอีกต่อไป
กระบวนการที่ผมได้อธิบายเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไปสู่ความคิดใหม่ และมันจึงเหมาะสมที่งานของผมและคนอื่นๆ เช่น เอคาร์ต ทอเลอ* และ แมรี โอมาลลีย์ ทำในโลกนี้บางครั้งถูกอธิบายว่าเป็นส่วนหนึ่งของ #ขบวนการความคิดใหม่ มันเกี่ยวกับการยกระดับจิตสำนึก หรือการเพิ่มความตระหนักรู้ จากความจริงที่จินตนาการขึ้นไปสู่ความจริงที่ปรากฏ สร้างประสบการณ์ที่ก้าวกระโดดจากความเป็นจริงที่บิดเบือนไปสู่ความเป็นจริงที่สังเกตเห็นได้
[*ผู้เขียน The Power of Now (พลังแห่งจิตปัจจุบัน) –ผู้แปล]
มันค่อนข้างชัดเจนสำหรับผู้เข้าร่วมเวิร์คช็อปของผม ทันทีที่เธอหยุดคิดเกี่ยวกับมัน ว่าผมจะไม่มีวันทำร้ายเธอไม่ว่าในทางใด และผมไม่ใช่พ่อของเธอ สิ่งที่เธอต้องทำเพื่อสังเกตเห็นสิ่งนี้คือมองดูสิ่งต่างๆอย่างใกล้ชิดขึ้น และไม่เพียงแค่ยอมรับข้อความแรกจากจิตใจของเธอเกี่ยวกับทั้งหมดนั้น นี่คือความหมายของคำสั่งที่เรามักได้ยินบ่อยๆ : #คิดสองครั้ง (คิดดูอีกที)
ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องทำจริงๆเพื่อเปลี่ยนความคิดของคุณเกี่ยวกับบางสิ่งคือการคิดสองครั้ง เมื่อคุณกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และความกลัวที่มักจะผูกติดมากับมันอย่างเป็นธรรมชาติ คนมากมายจะบอกคุณว่า “อย่าคิดถึงมันเป็นครั้งที่สอง”
#ผมกำลังบอกคุณในทางตรงกันข้ามพอดี
✦
I am a precious occurrence,
and I don’t have long.
We, are a precious occurrence.
And as long as we think we have—
we don’t have long.
Too much time is being wasted
running
from face to face
asking, “What is my name?”
ฉันคือปรากฏการณ์อันล้ำค่า
และฉันมีเวลาไม่นาน
พวกเรา คือปรากฏการณ์อันล้ำค่า
และตราบใดที่เราคิดว่าเรามีเวลา—
เรากลับมีเวลาไม่นาน
เวลามากเกินไปสูญเสียไป
กับการวิ่ง
จากใบหน้าสู่ใบหน้า
ถามว่า “ชื่อของฉันคืออะไร❓”
If you don’t yet know it
or if you’ve forgotten,
then become still, go within
and answer it.
หากคุณยังไม่รู้
หรือหากคุณลืมมันไป
จงนิ่งสงบ ดำดิ่งเข้าสู่ภายใน
และตอบมัน
— — — — — —
You, are a Precious Occurrence:
tell us your name.
คุณ คือปรากฏการณ์อันล้ำค่า:
#จงบอกเราชื่อของคุณ
✦
—‘Precious Occurrence’ © 2008 Em Claire
—‘ปรากฏการณ์อันล้ำค่า’ © 2008 เอ็ม แคลร์
หนังสือ
จิตวิญญาณ
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
9 การเปลี่ยนแปลงที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกสิ่ง
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย