21 พ.ย. เวลา 08:15 • สุขภาพ

ส่องข้อสงสัย: "สารทึบรังสีไอโอดีน" ในการตรวจ CT Scan (Iodine contrast & allergic reaction)

เมื่อคุณหมอนัดตรวจ "ซีทีสแกน" (CT Scan) หลายครั้งเรามักได้ยินว่าต้องมีการ "ฉีดสี" หรือ "ฉีดสารทึบรังสี" เข้าทางหลอดเลือดดำ คำถามที่ตามมาทันทีคือ มันคืออะไร? และจะเกิดอาการแพ้หรือไม่?
บทความนี้จะมาไขข้อข้องใจทุกประเด็น เพื่อให้คุณเตรียมตัวได้อย่างถูกต้องและลดความกังวลครับ
👩‍⚕️ "สารทึบรังสี" ที่ใช้ฉีดคืออะไร และใช้ทำไม?
สารทึบรังสี (Contrast Media) ที่ใช้ในการตรวจ CT Scan เป็นยาที่มี "ไอโอดีน" เป็นส่วนประกอบหลัก เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกาย สารนี้จะไหลเวียนไปตามหลอดเลือดและไปยังอวัยวะต่างๆ
  • หน้าที่ของมันคืออะไร?
ลองนึกภาพว่าอวัยวะภายในของเราหลายๆ ส่วน เช่น ลำไส้ ตับ หรือหลอดเลือด มีสีและความหนาแน่นใกล้เคียงกัน เมื่อถ่ายภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) ภาพที่ได้อาจจะดูกลืนกันไปหมด
สารทึบรังสีไอโอดีนจะทำหน้าที่เหมือน "ปากกาไฮไลท์" ครับ
เมื่อสารนี้เข้าไปในหลอดเลือดหรืออวัยวะใด มันจะ "ดูดซับรังสีเอกซ์" ได้ดีกว่าเนื้อเยื่อปกติ ทำให้ส่วนนั้นๆ "สว่าง" หรือ "ขาว" ขึ้นมาชัดเจนในภาพ CT Scan ช่วยให้รังสีแพทย์และแพทย์เจ้าของไข้สามารถ
• เห็นขอบเขตของอวัยวะ ได้ชัดเจนขึ้น (เช่น ตับ ม้าม ไต)
• ตรวจดูหลอดเลือด ว่ามีการอุดตัน ตีบ หรือโป่งพองหรือไม่
• แยก "ก้อนเนื้อ" หรือ "เนื้องอก" ออกจากเนื้อเยื่อปกติ และบอกได้ว่าก้อนนั้นมีเลือดมาเลี้ยงมากน้อยเพียงใด ซึ่งช่วยในการวินิจฉัยโรค
ข้อควรรู้: การฉีดสารนี้อาจทำให้รู้สึก ร้อนวูบวาบ ไปทั่วร่างกาย หรือรู้สึกเหมือน ปัสสาวะราด (ทั้งที่ไม่ได้เป็น) หรือมี รสโลหะในปาก อาการเหล่านี้ ไม่ใช่การแพ้ แต่เป็นผลข้างเคียงปกติที่พบได้ทั่วไป และจะหายไปเองในไม่กี่นาที
📊 โอกาสเกิดการแพ้...มีมากน้อยแค่ไหน? (ข้อมูลทางสถิติ)
ข่าวดีคือ สารทึบรังสีไอโอดีนที่ใช้ในปัจจุบัน (ชนิด Non-ionic Low-osmolality) มีความปลอดภัยสูงมาก โอกาสเกิดการแพ้จริงๆ (Allergic-like reaction) นั้น ต่ำมาก
  • ปฏิกิริยาแบบไม่รุนแรง (Mild)
• เช่น มีผื่นคันเล็กน้อย (ลมพิษ), จาม, คลื่นไส้
• โอกาสเกิด: น้อยกว่า 3% (หรือประมาณ 3 ใน 100 คน) และส่วนใหญ่หายได้เองโดยไม่ต้องรักษา
  • ปฏิกิริยาแบบปานกลาง (Moderate)
• เช่น ผื่นลมพิษขึ้นชัดเจน, อาเจียน, หายใจติดขัดเล็กน้อย (หลอดลมเกร็งตัว)
• โอกาสเกิด: ประมาณ 0.1% - 0.5% (หรือ 1-5 ใน 1,000 คน) กลุ่มนี้ต้องได้รับการรักษา เช่น การให้ยาแก้แพ้
  • ปฏิกิริยาแบบรุนแรง (Severe)
• เช่น หายใจลำบากมาก, ความดันโลหิตตก, ช็อก (Anaphylaxis) ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
• โอกาสเกิด: น้อยมาก ประมาณ 0.04% (หรือ 4 ใน 10,000 คน)
• โอกาสเสียชีวิต: ยิ่งน้อยไปอีก คือประมาณ 1 ใน 100,000 ถึง 1 ใน 1,000,000 ครั้งของการตรวจ
จะเห็นได้ว่าโอกาสเกิดการแพ้รุนแรงนั้นน้อยมาก และที่สำคัญคือ การตรวจ CT Scan ทั้งหมดจะทำในสถานพยาบาล ซึ่งมีแพทย์และพยาบาลพร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิตฉุกเฉินเตรียมพร้อมรับมืออยู่แล้ว
⚠️ กลุ่มใดที่ต้องระวังเป็นพิเศษ?
แม้ว่าใครๆ ก็มีโอกาสแพ้ได้ แต่ความเสี่ยงจะสูงขึ้นในคนไข้กลุ่มต่อไปนี้
1. ผู้ที่เคยมีประวัติแพ้สารทึบรังสีไอโอดีนมาก่อน: นี่คือปัจจัยเสี่ยงที่ สำคัญที่สุด หากคุณเคยฉีดสีแล้วมีอาการแพ้ (แม้จะเล็กน้อย) ต้องแจ้งแพทย์ทุกครั้ง
2. ผู้ป่วยโรคหอบหืด (Asthma): โดยเฉพาะในคนที่ควบคุมอาการได้ไม่ดี จะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป
3. ผู้ที่มีประวัติภูมิแพ้รุนแรง (Atopy): เช่น แพ้อาหารหลายชนิด หรือแพ้ยาหลายชนิดอย่างรุนแรง
❌ ความเชื่อที่พบบ่อย: "แพ้อาหารทะเล" ห้ามฉีดสี?
นี่คือความเข้าใจผิดที่พบบ่อยที่สุดครับ
ความจริงคือ: การแพ้อาหารทะเล (เช่น กุ้ง ปู หอย) ไม่ เกี่ยวข้องโดยตรงกับการแพ้สารทึบรังสีไอโอดีน
• เหตุผล: สิ่งที่คนแพ้ใน "อาหารทะเล" คือ โปรตีน ชนิดหนึ่งในกล้ามเนื้อของสัตว์ทะเล (เช่น โปรตีน Tropomyosin)
• แต่สารทึบรังสีที่เราใช้เป็น "สารเคมีไอโอดีน" ไม่ใช่โปรตีน
• คนเราไม่สามารถ "แพ้" ธาตุไอโอดีนเดี่ยวๆ ได้ เพราะไอโอดีนเป็นแร่ธาตุจำเป็นที่ร่างกายใช้สร้างฮอร์โมนไทรอยด์
สรุปง่ายๆ: การแพ้อาหารทะเล ไม่ใช่ ข้อห้ามในการฉีดสารทึบรังสีครับ อย่างไรก็ตาม คุณควรแจ้งแพทย์ให้ทราบว่าคุณมีประวัติภูมิแพ้อะไรบ้าง เพื่อที่ทีมแพทย์จะได้ประเมินความเสี่ยงโดยรวม (ในฐานะที่คุณเป็น "คนที่มีแนวโน้มแพ้ง่าย" เท่านั้นเอง)
⚕️ การเตรียมตัว และ "ยาป้องกันการแพ้" (Pre-medication)
การเตรียมตัวที่ดีที่สุดคือ การให้ข้อมูลที่ครบถ้วน
  • ก่อนรับการตรวจ แจ้งประวัติของท่านให้ชัดเจน
• เคยแพ้สารทึบรังสีหรือไม่? (สำคัญที่สุด)
• เป็นโรคหอบหืดหรือไม่?
• มีประวัติแพ้ยา แพ้อาหาร หรือภูมิแพ้อื่นๆ หรือไม่?
• มีโรคไต หรือ ไตเสื่อม หรือไม่? (สำคัญมาก เพราะสารนี้ขับออกทางไต)
• กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรหรือไม่?
  • การให้ยาป้องกันการแพ้ (Pre-medication)
สำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง (เช่น เคยแพ้สารทึบรังสีมาก่อน) แพทย์อาจพิจารณาให้ยาป้องกันไว้ล่วงหน้า
ยาที่ใช้: มักจะเป็นยากลุ่ม สเตียรอยด์ (เช่น Prednisolone) ให้รับประทาน 2 ครั้ง (เช่น 13 ชั่วโมง และ 1 ชั่วโมงก่อนตรวจ) ร่วมกับ ยาแก้แพ้ (Antihistamine)
ช่วยลดความเสี่ยงได้เท่าไร? มีข้อมูลสถิติที่ชัดเจนว่า
  • ในกลุ่มผู้ป่วยที่เคยแพ้มาก่อน หากกลับมาฉีดซ้ำโดยไม่ป้องกัน โอกาสแพ้ซ้ำอาจสูงถึง 16%
  • แต่หากได้รับยา Pre-medication อย่างถูกต้อง โอกาสที่จะเกิดการแพ้ (Breakthrough reaction) จะลดลงเหลือเพียงประมาณ 2%
ดังนั้น ยาป้องกันจึงมีประสิทธิภาพสูงมากในการลดการแพ้ซ้ำ
การฉีดสารทึบรังสีไอโอดีนเพื่อตรวจ CT Scan เป็นกระบวนการที่มีความปลอดภัย โอกาสเกิดการแพ้รุนแรงนั้นน้อย สิ่งสำคัญที่สุดคือการสื่อสารกับแพทย์และพยาบาล แจ้งประวัติสุขภาพ ประวัติการแพ้ และโรคประจำตัวของท่านให้ครบถ้วน เพื่อให้ทีมแพทย์สามารถดูแลท่านได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัยที่สุดครับ
👩‍⚕️ การแพ้สารทึบรังสี หรือที่เรียกว่า Contrast Media Reactions (CMRs) สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
1. ปฏิกิริยาเฉียบพลัน (Acute Reactions): เกิดขึ้นภายใน 1 ชั่วโมงหลังได้รับสารทึบรังสี แบ่งย่อยได้เป็น
• ปฏิกิริยาคล้ายภูมิแพ้ (Allergic-like/Anaphylactoid Reactions): เป็นประเภทที่พบบ่อยที่สุด กลไกการเกิดยังไม่ทราบแน่ชัดทั้งหมด แต่ไม่เกี่ยวข้องกับ IgE-mediated mechanism โดยตรงในครั้งแรกที่ได้รับสาร เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการกระตุ้น Mast cells และ Basophils ให้หลั่งสารสื่อกลางต่างๆ (เช่น Histamine, Tryptase) โดยตรง หรือผ่าน Complement activation ปฏิกิริยาเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีการสัมผัสสารทึบรังสีมาก่อน (no prior sensitization required) ความรุนแรงมีได้ตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงรุนแรงถึงชีวิต
• ปฏิกิริยาพิษต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย (Physiologic/Non-allergic-like Reactions): เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติทางเคมีฟิสิกส์ของสารทึบรังสี เช่น Osmolality, Viscosity, Ionic strength และปริมาณที่ได้รับ อาจทำให้เกิดอาการ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ความรู้สึกร้อนวูบวาบ หรือมีผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด (เช่น Vasovagal reaction, Arrhythmias) หรือไต (Contrast-Induced Nephropathy - CIN)
2. ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายหลัง (Delayed Reactions หรือ Late Reactions): เกิดขึ้นหลังได้รับสารทึบรังสีไปแล้ว 1 ชั่วโมง จนถึง 1 สัปดาห์ ส่วนใหญ่มักเป็นปฏิกิริยาทางผิวหนัง เช่น ผื่นแดงคัน (Maculopapular rash) ซึ่งมักไม่รุนแรงและหายได้เอง กลไกเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับ T-cell mediated hypersensitivity
📊 อุบัติการณ์และปัจจัยเสี่ยง (Incidence and Risk Factors)
  • อุบัติการณ์โดยรวม
• สำหรับ Low-osmolality contrast media (LOCM) ซึ่งใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน อุบัติการณ์ของปฏิกิริยาคล้ายภูมิแพ้โดยรวมอยู่ที่ประมาณ 0.6% - 3%
• ปฏิกิริยาที่รุนแรง (Severe reactions) เช่น Anaphylaxis พบได้น้อยกว่ามาก ประมาณ 0.01% - 0.04%
• ปฏิกิริยาที่ถึงแก่ชีวิต (Fatal reactions) ยิ่งพบน้อยมาก ประมาณ 1 ต่อ 100,000 ถึง 1 ต่อ 170,000 การให้สาร
• Iso-osmolality contrast media (IOCM) เช่น Iodixanol มีแนวโน้มที่จะมีอุบัติการณ์ของปฏิกิริยาคล้ายภูมิแพ้ต่ำกว่า LOCM บางชนิด แต่อาจไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญในทุกการศึกษา
• ในอดีต High-osmolality contrast media (HOCM) มีอุบัติการณ์การแพ้สูงกว่า LOCM อย่างชัดเจน (สูงถึง 5-12%) แต่ปัจจุบันมีการใช้น้อยลงมาก
  • ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
• ประวัติเคยแพ้สารทึบรังสีมาก่อน: เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดปฏิกิริยาซ้ำได้ถึง 5-6 เท่า แม้จะเปลี่ยนชนิดของสารทึบรังสีหรือให้ Premedication
• โรคหอบหืด (Asthma): ผู้ป่วยโรคหอบหืด โดยเฉพาะที่ควบคุมอาการได้ไม่ดี มีความเสี่ยงสูงขึ้นในการเกิดปฏิกิริยาคล้ายภูมิแพ้ และมีแนวโน้มที่จะเกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงกว่า (เช่น Bronchospasm)
• ประวัติภูมิแพ้อื่นๆ (Atopy) หรือการแพ้ยา/อาหารอื่นๆ: เพิ่มความเสี่ยงเล็กน้อยถึงปานกลาง
• โรคหัวใจและหลอดเลือด: ผู้ป่วยที่มีภาวะนี้อยู่เดิม หากเกิดปฏิกิริยา อาจมีอาการรุนแรงกว่าและจัดการได้ยากกว่า
• การใช้ยาบางชนิด: เช่น Beta-blockers อาจทำให้การรักษาภาวะ Anaphylaxis ด้วย Epinephrine ได้ผลน้อยลง และอาจทำให้ปฏิกิริยารุนแรงขึ้น Metformin (ต้องพิจารณาหยุดยาก่อนและหลังให้สารทึบรังสีเพื่อป้องกัน Lactic acidosis ในกรณีที่เกิด CIN ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อการแพ้โดยตรง)
• ความวิตกกังวล (Anxiety): อาจทำให้เกิดอาการคล้ายปฏิกิริยา Vasovagal ซึ่งต้องแยกจากปฏิกิริยาคล้ายภูมิแพ้
🏥 อาการและอาการแสดง (Signs and Symptoms)
ความรุนแรงของอาการมีได้หลากหลาย ตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงรุนแรงคุกคามชีวิต
1️⃣ อาการเล็กน้อย (Mild):
• ผิวหนัง: ผื่นลมพิษ (Urticaria) จำกัดบริเวณ, อาการคัน (Pruritus), ผิวหนังแดง (Cutaneous erythema), อาการบวมเฉพาะที่ (Localized angioedema)
• ระบบทางเดินอาหาร: คลื่นไส้, อาเจียนเล็กน้อย
• อาการทั่วไป: รู้สึกร้อนวูบวาบ, ปวดศีรษะ, วิงเวียน
2️⃣ อาการปานกลาง (Moderate):
• ผิวหนัง: ผื่นลมพิษกระจายทั่วตัว (Diffuse urticaria), ผื่นแดงกระจาย (Diffuse erythema), อาการบวมของใบหน้าหรือกล่องเสียง (Facial/laryngeal edema) แต่ยังไม่มีภาวะทางเดินหายใจอุดกั้น
• ระบบทางเดินหายใจ: หายใจมีเสียงหวีด (Wheezing), ไอ, หายใจลำบาก (Dyspnea) เล็กน้อย, เสียงแหบ (Hoarseness)
• ระบบหัวใจและหลอดเลือด: หัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia) หรือช้า (Bradycardia) ที่ไม่มีอาการรุนแรง, ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
• ระบบทางเดินอาหาร: คลื่นไส้, อาเจียนรุนแรง
3️⃣ อาการรุนแรง (Severe):
• ระบบหัวใจและหลอดเลือด: ความดันโลหิตต่ำรุนแรง (Severe hypotension), ช็อก (Shock), หัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างรุนแรง (Life-threatening arrhythmias), หัวใจหยุดเต้น (Cardiac arrest)
• ระบบทางเดินหายใจ: กล่องเสียงบวมอย่างรุนแรง (Severe laryngeal edema), หลอดลมตีบเกร็งรุนแรง (Severe bronchospasm), ทางเดินหายใจอุดกั้น (Airway obstruction), ภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำ (Hypoxemia)
• ระบบประสาท: ชัก (Seizures), หมดสติ (Loss of consciousness)
⛑️ การป้องกันและจัดการ (Prevention and Management)
1. การซักประวัติและประเมินความเสี่ยง
• ซักประวัติการแพ้สารทึบรังสีครั้งก่อนอย่างละเอียด (ชนิดของสาร, อาการ, ความรุนแรง, การรักษาที่ได้รับ)
• ประวัติโรคหอบหืด (ความรุนแรง, การควบคุมโรค)
• ประวัติภูมิแพ้อื่นๆ
• ยาที่ใช้อยู่เป็นประจำ
2. การเลือกใช้สารทึบรังสี
• โดยทั่วไปแนะนำให้ใช้ LOCM หรือ IOCM เพื่อลดความเสี่ยง
• ในผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้สารทึบรังสีชนิดหนึ่ง อาจพิจารณาเปลี่ยนไปใช้สารทึบรังสีกลุ่มอื่น (ต่างชนิด ionic/non-ionic หรือต่างโครงสร้าง) แต่ยังคงมีความเสี่ยงในการเกิดปฏิกิริยาข้ามกลุ่ม (cross-reactivity) ได้
3. Premedication
• ข้อบ่งชี้: ผู้ป่วยที่มีประวัติเคยแพ้สารทึบรังสีแบบเฉียบพลันชนิดคล้ายภูมิแพ้ในระดับปานกลางถึงรุนแรง
• ประโยชน์: ลดอุบัติการณ์และความรุนแรงของปฏิกิริยาซ้ำ แต่ไม่สามารถป้องกันได้ 100% และไม่สามารถป้องกันปฏิกิริยาที่รุนแรงถึงชีวิตได้ทั้งหมด
  • Regimens ที่ใช้บ่อย
Corticosteroids 💊
• Prednisone 50 mg รับประทาน ที่ 13 ชั่วโมง, 7 ชั่วโมง และ 1 ชั่วโมง ก่อนการให้สารทึบรังสี
• หรือ Methylprednisolone 32 mg รับประทาน ที่ 12 ชั่วโมง และ 2 ชั่วโมง ก่อนการให้สารทึบรังสี
• ในกรณีฉุกเฉิน อาจให้ Hydrocortisone 200 mg IV หรือ Methylprednisolone 40 mg IV ทุก 4 ชั่วโมง จนกว่าจะถึงเวลาตรวจ โดยให้ dose สุดท้าย 1 ชั่วโมงก่อนตรวจ (ประสิทธิภาพอาจน้อยกว่า elective regimen)
4. การเตรียมความพร้อมและบุคลากร:
• ควรมีบุคลากรที่ได้รับการฝึกอบรมในการจัดการภาวะฉุกเฉินจากการแพ้สารทึบรังสี
• เตรียมอุปกรณ์และยาสำหรับกู้ชีพให้พร้อมเสมอ (Emergency cart) ได้แก่ Epinephrine, Oxygen, IV fluids, Antihistamines, Corticosteroids, Bronchodilators, อุปกรณ์ช่วยหายใจ
5. การสังเกตอาการหลังการให้สารทึบรังสี:
• ผู้ป่วยทุกรายควรได้รับการสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดอย่างน้อย 20-30 นาทีหลังได้รับสารทึบรังสี เนื่องจากปฏิกิริยาส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้
• ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง หรือเคยมีประวัติแพ้ อาจต้องสังเกตอาการนานขึ้น
6. การจัดการเมื่อเกิดปฏิกิริยา:
• หยุดการให้สารทึบรังสีทันที
• ประเมิน ABCs (Airway, Breathing, Circulation)
• ให้ออกซิเจน
• ให้การรักษาตามความรุนแรงของอาการ
  • Mild reactions: สังเกตอาการ, อาจให้ Antihistamine ทาง IV
  • Moderate reactions: Antihistamines, Corticosteroids (เช่น Hydrocortisone 100-200 mg IV), อาจพิจารณา Bronchodilators (เช่น Salbutamol MDI/nebulizer) หากมีอาการทางระบบหายใจ
  • Severe reactions (Anaphylaxis)
• Epinephrine (Adrenaline) คือยาสำคัญที่สุด: 0.3-0.5 mg (1:1000) IM ที่ anterolateral thigh (สามารถให้ซ้ำได้ทุก 5-15 นาที) หรือ 0.1 mg (1:10000) IV slowly ในกรณีที่ไม่มีการตอบสนองต่อ IM หรือมีภาวะช็อกรุนแรง (ต้อง monitor คลื่นไฟฟ้าหัวใจ)
• เปิดหลอดเลือดดำให้สารน้ำ (IV fluids) อย่างรวดเร็ว (Normal saline หรือ Ringer's lactate)
• Antihistamines (H1 และ H2 blockers) และ Corticosteroids (เป็น second-line agents ช่วยป้องกัน protracted or biphasic reaction แต่ไม่ช่วยในระยะเฉียบพลัน)
• จัดการภาวะทางเดินหายใจอุดกั้น (Airway management) หากจำเป็น
📊 ภาพรวมประสิทธิภาพของ Corticosteroid Prophylaxis
การให้ Corticosteroid prophylaxis (มักให้ร่วมกับ Antihistamine) ในผู้ป่วยที่มีประวัติเคยแพ้สารทึบรังสีไอโอดีนมาก่อน (ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงที่ชัดเจนที่สุด) สามารถลดอุบัติการณ์การเกิดปฏิกิริยาซ้ำ (breakthrough reactions) ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถป้องกันได้ 100% และประสิทธิภาพในการป้องกันปฏิกิริยารุนแรงอาจมีข้อจำกัดมากกว่าปฏิกิริยาที่ไม่รุนแรง
จากการทบทวนวรรณกรรมและการศึกษาต่างๆ พอจะสรุปได้ดังนี้
  • การลดอุบัติการณ์โดยรวมของปฏิกิริยาซ้ำ (Overall Breakthrough Reaction Rate)
• ในผู้ป่วยที่มีประวัติเคยแพ้ ICM มาก่อน หากไม่ได้รับยาป้องกัน อุบัติการณ์การเกิดปฏิกิริยาซ้ำเมื่อได้รับ ICM อีกครั้งอาจอยู่ที่ประมาณ 15-35% (หรือสูงกว่านี้ในบางรายงานเก่าๆ ที่ใช้ HOCM)
• เมื่อให้ Corticosteroid prophylaxis (เช่น Prednisone 50 mg รับประทาน 3 ครั้ง ที่ 13, 7, และ 1 ชั่วโมงก่อนการให้สารทึบรังสี หรือ Methylprednisolone 32 mg รับประทาน 2 ครั้ง ที่ 12 และ 2 ชั่วโมงก่อน) ร่วมกับ Antihistamine (เช่น Diphenhydramine 50 mg 1 ชั่วโมงก่อน) อัตราการเกิดปฏิกิริยาซ้ำ (breakthrough reaction rate) สามารถลดลงเหลือประมาณ 5-10%
• นั่นหมายความว่า Steroid prophylaxis สามารถลดอัตราการเกิดปฏิกิริยาซ้ำโดยรวมได้ประมาณ 60-80% เมื่อเทียบกับการไม่ให้ยาป้องกันในกลุ่มเสี่ยงนี้
  • การลดปฏิกิริยาตามระดับความรุนแรง
• ปฏิกิริยาเล็กน้อย (Mild Reactions): Premedication ค่อนข้างมีประสิทธิภาพดีในการลดปฏิกิริยาเล็กน้อย เช่น ผื่นคัน ลมพิษจำกัดบริเวณ คลื่นไส้เล็กน้อย
• ปฏิกิริยาปานกลาง (Moderate Reactions): Premedication ยังคงช่วยลดอุบัติการณ์ได้พอสมควร แต่ประสิทธิภาพอาจเริ่มลดลงเมื่อเทียบกับปฏิกิริยาเล็กน้อย
⚠️ ปฏิกิริยารุนแรง (Severe Reactions/Anaphylaxis)
นี่เป็นจุดที่ข้อมูลมีความชัดเจนน้อยกว่า และเป็นที่กังวลมากกว่า
• แม้ว่า premedication จะช่วยลดอุบัติการณ์โดยรวมของปฏิกิริยารุนแรงลงได้บ้าง แต่ ประสิทธิภาพในการป้องกันปฏิกิริยารุนแรงถึงชีวิต (life-threatening anaphylaxis) นั้น "ไม่แน่นอน" และ "ไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด"
• ผู้ป่วยที่ได้รับ premedication แล้วยังคงสามารถเกิดปฏิกิริยารุนแรงได้ อัตราการเกิดปฏิกิริยารุนแรงซ้ำในผู้ที่ได้รับ premedication แล้วอาจอยู่ที่ประมาณ 0.5% หรือต่ำกว่านั้น ซึ่งแม้จะต่ำ แต่ก็ยังคงเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ
• บางการศึกษาชี้ว่า premedication อาจจะไม่ได้ลด "ความรุนแรงสูงสุด" ของปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นได้มากนัก แต่ช่วยลด "จำนวน" ผู้ที่จะเกิดปฏิกิริยาลง
📜 ตัวอย่างข้อมูลจากการศึกษาสำคัญ (เช่น Greenberger et al.)
• การศึกษาคลาสสิกของ Greenberger และคณะ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของโปรโตคอล premedication หลายๆ แบบ แสดงให้เห็นว่าการใช้โปรโตคอล Prednisone ร่วมกับ Diphenhydramine สามารถลดอุบัติการณ์ปฏิกิริยาซ้ำในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงสูงจากประมาณ 17-35% ลงมาเหลือประมาณ 5-9.5% สำหรับปฏิกิริยาทุกระดับความรุนแรง และลดปฏิกิริยารุนแรงลงเหลือประมาณ 0.5%
📝 สรุป
การให้ Corticosteroid prophylaxis ในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง (โดยเฉพาะผู้ที่เคยแพ้ ICM) สามารถลดอัตราการเกิดปฏิกิริยาซ้ำโดยรวมได้ประมาณ 60-80% ทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาซ้ำลดลงจากประมาณ 15-35% เหลือประมาณ 5-10% สำหรับปฏิกิริยารุนแรง อัตราการเกิดซ้ำหลัง premedication อาจลดลงเหลือประมาณ 0.5% หรือต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพในการป้องกันปฏิกิริยารุนแรงถึงชีวิตนั้นไม่แน่นอนและไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด จึงยังคงต้องใช้ความระมัดระวังสูงสุดและเตรียมพร้อมรับมือกับภาวะฉุกเฉินเสมอ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา