9 ชั่วโมงที่แล้ว • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

🛡️ ไม่ใช่แค่ฆ่า! หลักฐานชี้ ‘ดยุคเบลา’ ถูกลอบสังหารอย่างโหดเหี้ยม 700 ปีก่อน

เมื่อกว่า 700 ปีก่อน... ภายในอารามอันเงียบสงบบนเกาะกลางแม่น้ำดานูบในบูดาเปสต์ ได้เกิดเหตุฆาตกรรมอันโหดเหี้ยมและนองเลือดขึ้น แต่รายละเอียดของมันก็เลือนหายไปกับกาลเวลา... จนกระทั่งวันนี้ ที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้ปลุกโครงกระดูกขึ้นมา “เล่าเรื่อง” วินาทีสุดท้ายของเขา
นี่คือเรื่องราวการลอบสังหาร ดยุคเบลาแห่งมักโซ (Béla of Macsó) และหลักฐานทางนิติเวชที่ชี้ให้เห็นว่านี่ไม่ใช่แค่การฆ่า... แต่มันคือการสังหารอย่างทารุณ
💀 โครงกระดูกที่หายไป...และกลับมา
The observed perimortem lesions on the human remains (CL=cranial lesion, PL= Postcranial lesion).
เรื่องราวเริ่มต้นในปี 1915 เมื่อนักโบราณคดีขุดพบซากศพมนุษย์ที่ถูก “สับเป็นชิ้นๆ” ฝังอยู่ใต้พื้นอารามโดมินิกันบนเกาะมาร์กาเร็ต พวกเขาสงสัยว่านี่อาจเป็นร่างของดยุคเบลา วัย 29 ปี พระนัดดาของกษัตริย์เบลาที่ 4 ซึ่งบันทึกประวัติศาสตร์ระบุว่าเขาถูกลอบสังหารบนเกาะแห่งนี้ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1272
แม้กระดูกจะมีร่องรอยบาดแผลมากมาย แต่ในยุคนั้น เทคโนโลยียังไม่ดีพอที่จะยืนยัน... และที่เลวร้ายกว่านั้น โครงกระดูกนี้ก็ได้สูญหายไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
เรื่องราวควรจะจบลงแค่นั้น... จนกระทั่งปี 2018 โครงกระดูกนี้ก็ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งอย่างน่าทึ่งในกล่องไม้ใบหนึ่งที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติฮังการี! การค้นพบนี้จึงเปิดโอกาสให้นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ได้ลงมือไขคดีฆาตกรรมกว่า 700 ปีนี้
“มันมีบาดแผล...เยอะเกินกว่าที่จะฆ่าคน”
“มีบาดแผลรุนแรงมากมายที่เกินกว่าความจำเป็นในการฆ่าใครสักคน” มาร์ติน เทราท์มันน์ (Martin Trautmann) จากมหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ ฟินแลนด์ กล่าว
ทีมวิจัยพบร่องรอยบาดแผลมากถึง 9 แห่งบนศีรษะและใบหน้า และอีก 17 แห่งบนส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน
เพื่อทำความเข้าใจว่าการโจมตีเกิดขึ้นได้อย่างไร พวกเขาได้สร้างแบบจำลองโครงกระดูกขึ้นมาและจำลองเหตุการณ์ซ้ำทีละขั้นตอน ราวกับกำลังดูหนัง Stop-motion:
  • 1.
    คนร้ายมีอย่างน้อย 2-3 คน โจมตีจากด้านหน้าและด้านข้าง
  • 2.
    ดยุคเบลาพยายามใช้แขนของเขาเพื่อป้องกันตัว (พบร่องรอยการป้องกันที่แขน)
  • 3.
    ในที่สุด เขาก็ล้มลง และศีรษะฟาดพื้นจนกะโหลกแตก
  • 4.
    เขายังไม่ตาย! แม้จะนอนอยู่กับพื้น เขาก็ยังคง ใช้ขาซ้ายเตะต่อสู้ต่อไป
  • 5.
    จนกระทั่ง... หนึ่งในคนร้าย แทงทะลุผ่านกระดูกสันหลังของเขา
  • 6.
    หลังจากที่เขาแน่นิ่งไปแล้ว เหล่าฆาตกรยังคงรุมทำร้ายที่ศีรษะและใบหน้าของเขาซ้ำอีกหลายครั้ง
🧬 เมื่อ DNA ยืนยันประวัติศาสตร์
Genealogy of Duke Béla of Macsó (the facial reconstruction of Béla of Macsó was made by Ágnes Kustár, while King Béla III's face was reconstructed by Gyula Skultéty)
เพื่อปิดคดีนี้ ทีมวิจัยได้ทำการวิเคราะห์ DNA โบราณ ผลการวิเคราะห์ยืนยันว่าชายผู้นี้คือทายาทรุ่นที่ 4 ของกษัตริย์เบลาที่ 3 แห่งฮังการี และยังเป็นญาติรุ่นที่ 8 ของเจ้าชายรัสเซียในศตวรรษที่ 13... ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้ ตรงกับบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับตระกูลของดยุคเบลาทุกประการ
“การศึกษานี้ให้แสงสว่างที่ ‘น่าเชื่อถือ’ อย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เคยมีรายละเอียดบันทึกไว้น้อยมาก” ทามาส คาดาร์ (Tamás Kádár) นักประวัติศาสตร์ยุคกลางอิสระในบูดาเปสต์กล่าว
🏡 พลังที่ปลุกประวัติศาสตร์ให้กลับมามีชีวิต
เรื่องราวนี้เป็นตัวอย่างที่ทรงพลังของการที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่สามารถ “ปลุก” ประวัติศาสตร์ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง การค้นคว้าและการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ทำให้โครงกระดูกที่ถูกค้นพบ ไม่ว่าจะจากสนามรบโบราณในยุคอยุธยา หรือจากแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย สามารถเล่าเรื่องราวของผู้คนในอดีตได้อย่างมีชีวิตชีวา
ในชีวิตประจำวัน คนไทยอาจเดินผ่านสถานที่ทางประวัติศาสตร์มากมายโดยไม่ทันสังเกต แต่ใต้พื้นดินที่เหยียบย่ำอยู่นั้น อาจซ่อนเรื่องราวของโศกนาฏกรรม วีรกรรม และวิถีชีวิตของผู้คนในอดีต ที่รอคอยให้เทคโนโลยีในอนาคตเข้ามาเปิดเผย เพื่อให้พวกเขาได้ “เล่าเรื่อง” อีกครั้ง
🎯 สรุปประเด็นสำคัญ
✅ คดีฆาตกรรม 700 ปี: โครงกระดูกที่ถูกสับและฝังในอารามที่บูดาเปสต์ ได้รับการยืนยันทาง DNA แล้วว่าเป็นของ “ดยุคเบลาแห่งมักโซ” ที่ถูกลอบสังหารในปี 1272
✅ โครงกระดูกที่หายไป: ฟอสซิลนี้ถูกพบในปี 1915 แต่ได้สูญหายไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเพิ่งถูกค้นพบอีกครั้งในปี 2018
✅ โหดเหี้ยมเกินจำเป็น: พบหลักฐานบาดแผลถึง 26 แห่งทั่วร่างกาย (9 แห่งที่ศีรษะ) ซึ่งมากกว่าที่จำเป็นในการฆ่าคน
✅ วินาทีสุดท้าย: การจำลองเหตุการณ์ชี้ว่าเขาถูกรุม 2-3 คน, ใช้แขนป้องป้อง, ล้มหัวฟาด แต่ยังคงสู้ต่อแม้จะนอนอยู่กับพื้น ก่อนจะถูกแทงทะลุสันหลังและถูกทำร้ายซ้ำที่ใบหน้า
💬 แล้วคุณล่ะครับ...
การที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่สามารถ “ปลุก” โครงกระดูก 700 ปี ให้กลับมาเล่าเรื่องราววินาทีสุดท้ายของชีวิตได้อย่างละเอียดขนาดนี้... ทำให้คุณรู้สึกทึ่งกับพลังของนิติวิทยาศาสตร์ หรือรู้สึกขนลุกกับความโหดร้ายในประวัติศาสตร์มากกว่ากันครับ?
🔎 แหล่งอ้างอิง
1. Hajdu, T., et al. (2025). Murder in cold blood? Forensic and bioarchaeological identification of the skeletal remains of Béla, Duke of Macsó (c. 1245–1272). Forensic Science International: Genetics. https://doi.org/10.1016/j.fsigen.2025.103381
🙏 ถึงผู้อ่านทุกท่าน
หากคุณชื่นชอบและเห็นคุณค่าของงานที่ผมทำ การสนับสนุนเล็กๆ น้อยๆ จากคุณจะเป็นพลังสำคัญอย่างยิ่ง เปรียบเสมือน 'ค่ากาแฟ' ที่ช่วยต่อลมหายใจ และทำให้ผมสามารถเดินหน้าสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไปได้ เพื่อให้พื้นที่แห่งการเรียนรู้ของเรายังคงอยู่
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความเมตตาจากทุกท่าน เพื่อให้เพจนี้ได้เดินต่อไปครับ
Link สนับสนุนค่ากาแฟ [https://ezdn.app/witlyofficial]

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา