22 พ.ย. เวลา 05:30 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

🏭 ข่าวร้ายและข่าวดี! การปล่อย CO2 โลกยังพุ่ง แต่จีน (ผู้ปล่อยเบอร์ 1) อาจถึง ‘จุดพีค’ แล้ว

ปี 2025 กำลังจะผ่านไป พร้อมกับสถิติโลกใหม่ที่เราไม่อยากได้... รายงาน Global Carbon Budget ประจำปีเผยว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 1.1% ทำลายสถิติสูงสุดเดิมอีกครั้ง
นั่นหมายความว่าปีนี้มนุษยชาติจะปล่อย CO2 ออกมาถึง 38.1 พันล้านตัน! (เทียบเท่ากับรถยนต์น้ำมัน 9 พันล้านคันวิ่งตลอดทั้งปี)
“เรายังไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่การปล่อยก๊าซจะลดลงอย่างรวดเร็วพอที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้” โครินน์ เลอ เกเร (Corinne Le Quéré) จากมหาวิทยาลัยอีสต์แองเกลีย กล่าว
แต่ท่ามกลางข่าวร้าย... ยังมีสัญญาณแห่งความหวังอันริบหรี่ปรากฏขึ้นมาจากประเทศที่เป็น “ผู้ร้าย” เบอร์หนึ่งของโลกอย่างจีน
จุดเปลี่ยนของมังกรจีน?
แม้เศรษฐกิจจะยังเติบโต แต่การปล่อยก๊าซของจีนในปีนี้กลับ “ทรงตัว” (เพิ่มขึ้นเพียง 0.4% หรืออาจจะแบนราบตามการวิเคราะห์ในบางแห่ง) นี่อาจเป็นสัญญาณว่าจีนกำลังจะถึง “จุดพีค” ของการปล่อยก๊าซแล้ว ซึ่งอาจนำไปสู่จุดเปลี่ยนของทั้งโลกตามมา
สาเหตุหลักมาจากอะไร? คำตอบคือ พลังงานแสงอาทิตย์ครับ
Supplemental data of Global Carbon Budget 2025
ในปีนี้ พลังงานแสงอาทิตย์ในจีนเติบโตขึ้นอย่างมหาศาลถึง 46% ซึ่งมากพอที่จะรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นทั้งหมด และทำให้การผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลในจีน ลดลง 1.1% ในช่วง 3 ไตรมาสแรก นี่คือ “การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง” ที่น่าจับตามองที่สุด
โลกที่ร้อนขึ้น 1.36°C และอนาคตที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย
แม้จะมีสัญญาณบวกจากจีนและอินเดีย (ที่การปล่อยก๊าซเริ่มเติมโตช้าลง) แต่ความจริงคือโลกของเราร้อนขึ้นแล้ว 1.36°C เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าเป้าหมายที่จะจำกัดอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5°C ตามข้อตกลงปารีสนั้น “แทบจะเป็นไปไม่ได้แล้ว” สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือพยายาม “ลดความเสียหาย” โดยทำให้การพุ่งทะลุเพดานนี้น้อยที่สุดและสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเลี่ยงหายนะทางสภาพอากาศที่กู้คืนไม่ได้ เช่น การละลายของแผ่นน้ำแข็ง
🏡 จีน อินเดีย และบทเรียนสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานของไทย
สถานการณ์ของจีนและอินเดียสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจกับการลดคาร์บอนสามารถเดินไปด้วยกันได้ หากมีการลงทุนในพลังงานสะอาดอย่างจริงจัง ทั้งสองประเทศกำลังพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่จำเป็นต้องแลกมาด้วยการทำลายสิ่งแวดล้อม หากแต่สามารถสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาและความยั่งยืนได้
สำหรับประเทศไทย การเดินหน้าสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero ได้ถูกกำหนดเป็นวาระสำคัญเช่นกัน การที่มหาอำนาจอย่างจีนเริ่มเปลี่ยนทิศทางสู่พลังงานสะอาด ถือเป็นแรงผลักดันสำคัญที่กระตุ้นให้ไทยต้องเร่งเครื่องในการใช้พลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งมีศักยภาพสูงในประเทศ หากสามารถลงทุนและพัฒนาอย่างจริงจัง ไทยก็จะไม่ตกขบวนรถไฟแห่งอนาคตที่กำลังมุ่งหน้าไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
🎯 สรุปประเด็นสำคัญ
✅ สถิติโลกใหม่: การปล่อย CO2 จากฟอสซิลทั่วโลกปี 2025 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.1% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 38.1 พันล้านตัน
✅ จีนเริ่มทรงตัว: การปล่อยก๊าซของจีนเริ่มแบนราบ ไม่พุ่งสูงเหมือนอดีต ด้วยอานิสงส์จากการเติบโตของพลังงานแสงอาทิตย์ที่พุ่งขึ้นถึง 46%
✅ เป้า 1.5°C อาการหนัก: โลกร้อนขึ้นแล้ว 1.36°C และการจะคุมให้ไม่เกิน 1.5°C นั้นแทบเป็นไปไม่ได้แล้ว เป้าหมายตอนนี้คือการ "จำกัดความเสียหาย"
✅ แนวโน้มดีขึ้น: แม้จะยังไม่ลดลง แต่ "อัตราการเติบโต" ของการปล่อยก๊าซทั่วโลกช้าลงกว่าทศวรรษที่แล้วมาก
💬 แล้วคุณล่ะครับ...
การที่ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนเริ่มชะลอการปล่อยก๊าซได้สำเร็จ... ทำให้คุณมีความหวังกับการแก้ปัญหาโลกร้อนมากขึ้นไหมครับ?
🔎 แหล่งอ้างอิง
1. Friedlingstein, P., et al. (2025). Data supplement to the Global Carbon Budget 2025. Earth System Science Data. https://doi.org/10.18160/gcp-2025

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา