20 ธ.ค. เวลา 12:19 • ประวัติศาสตร์

พระยาภักดีนรเศรษฐ (เลิศ เศรษฐบุตร) คหบดีผู้มาก่อนกาล ผู้เชื่อว่าความมุมานะสำคัญกว่าเงินทุน

ถ้าให้พูดถึงพาหนะสำหรับเดินทางไปไหนมาไหนในปัจจุบันแล้วล่ะก็ คนกรุงเทพฯ ในปัจจุบันจำนวนไม่น้อยเลยที่เลือกใช้บริการรถไฟฟ้าหรือไม่ก็บริการเรียกรถผ่านแอพพลิเคชันเป็นหลัก กลับกันรถโดยสารประจำทางอย่างรถเมล์อาจจะไม่ได้เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งสำหรับคนรุ่นใหม่เหมือนแต่ก่อน แต่ก็ใช่ว่ารถเมล์จะหายไปจากสังคมแต่อย่างใด
รถเมล์นับว่าเป็นรถโดยสารสาธารณะคู่ใจผู้มีรายได้น้อยและผู้ต้องการประหยัดค่าเดินทางมาอย่างยาวนานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งกิจการรถโดยสารสาธารณะประเภทนี้เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นมาจากคหบดีหัวทันสมัยผู้หนึ่งที่ได้ริเริ่มกิจการเดินรถโดยสารเป็นทางเลือกในการเดินทางอีกทางเลือกหนึ่งของผู้มีรายได้น้อย
นอกเหนือจากรถราง ภายใต้สโลแกน "สุภาพ ซื่อสัตย์ ประหยัด ทันใจ เอากำไรแต่น้อย บริการผู้มีรายได้น้อย" คหบดีผู้ที่ให้กำเนิดกิจการรถเมล์ไทยผู้นี้ก็คือไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็น “พระยาภักดีนรเศรษฐ” หรือที่คนในปัจจุบันอาจจะรู้จักกันในชื่อของ “นายเลิศ”
⭐ นายเลิศ เศรษฐบุตร
พระยาภักดีนรเศรษฐ หรือเลิศ เศรษฐบุตร หรือเลิศ สมันเตา เกิดมาในครอบครัวที่เรียกได้ว่าพอมีฐานะ โดยต้นตระกูลของนายเลิศคือพระประเสริฐวานิช (แต้โป้) ซึ่งเป็นชาวจีนที่เดินทางมาตั้งรกรากและพึ่งพระบรมโพธิสมภารในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ก่อนที่จะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระประเสริฐวานิชในกรมท่าซ้ายครั้งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
เรื่องที่ว่านายเลิศเกิดวันใดนั้น คุณหญิงสิน ภักดีนรเศรษฐ ภรรยาของนายเลิศได้เล่าไว้ในหนังสือ “อาลัยนายเลิศ” ว่านายเลิศนั้นเที่ยวบอกกับคนอื่นไปทั่วว่าตนนั้นมีวันเกิดถึง 3 วันด้วยกัน ซึ่งการที่มีวันเกิดที่แตกต่างกันมากขนาดนี้เกิดจากความเชื่อเรื่องการผูกดวงชะตาซึ่งคุณพ่อของนายเลิศเชื่อเรื่องนี้มาก จึงกำหนดวันเดือนปีเกิดของบุตรชายให้เต็มไปด้วยเลข 7
อีกทั้งยังมีเรื่องวันเกิดที่คิดขึ้นใหม่เพื่อความมงคลในการแต่งงานกับคุณหญิงสินด้วย แต่ทั้งนี้ได้ระบุเอาไว้ว่าวันเกิดจริงของนายเลิศคือวันที่ 22 มิถุนายน ปี 2415
การที่คุณพ่อของนายเลิศได้จัดโชคชะตากำหนดวันเดือนปีเกิดให้เป็นมงคลนี้ก็นับว่าเป็นความเชื่อเป็นเหมือนกับการมองการณ์ไกลก็ว่าได้ เพราะต่อมานายเลิศผู้นี้ก็ได้กลายเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาทในการพัฒนาบ้านเมืองให้ทันสมัยในแบบฉบับของตัวเอง
⭐ หนทางที่ลำบากของการไปถึงฝั่งฝัน
นายเลิศได้รับการศึกษาในโรงเรียนสวนอนันต์หรือโรงเรียนสวนนันทอุทยานซึ่งเป็นโรงเรียนหลวงที่แยกมาจากโรงสกูลในพระบรมมหาราชวัง ก่อนที่จะศึกษาต่อที่สุนันทาลัยจนจบหลักสูตรมีวิทยาฐานะเป็นครูได้ แต่ด้วยเลือดพ่อค้าที่สืบต่อกันมาในตระกูล นายเลิศจึงเลือกที่จะทำงานด้านค้าขาย และออกไปสมัครงานเป็นเสมียนที่ห้างสี่ตาหรือห้างวินเซอร์เมื่อมีอายุได้ 19 ปี ด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งจะเป็นนายห้างให้ได้ ผิดกับค่านิยมของคนในสมัยนั้นที่ปรารถนาจะรับราชการกัน
นายเลิศทำงานอยู่ที่ห้างสี่ตา ทำทุกสิ่งอย่างในฐานะของเสมียนชั้นผู้น้อยโดยที่ไม่ได้มีค่าจ้างเป็นประจำ เมื่อไม่เห็นที่ทางที่จะเติบโตได้จึงลาออกจากห้างสี่ตาและไปทำงานที่โรงภาษี ชะตาชีวิตในช่วงแรกเหมือนจะตกอยู่ในวังวนของการฝึกงานแบบไร้ค่าจ้างอยู่หลายครั้ง จนสุดท้ายก็จำใจกลับไปทำงานเป็นครูสอนหนังสืออยู่ช่วงหนึ่ง จนกระทั่งได้พบลู่ทางใหม่ที่จะชักพาให้เขาได้เป็นนายห้างได้อย่างสมใจปรารถนา
ในปี 2431 นายเลิศได้รับการชักชวนจากแหม่มแมคฟาร์แลนด์ (คุณครูฝรั่งผู้ก่อตั้งโรงเรียนอรุณสตรี) ให้เข้าไปทำงานในแผนกจำหน่ายโซดาและน้ำหวานของบริษัท สิงคโปร์สเตรตส์ หรือห้างเฟรเซอร์แอนด์นีฟ ซึ่งที่ห้างแห่งนี้เป็นห้างที่ให้โอกาสลูกจ้างสามารถที่จะเป็นนายห้างของตนเองรับเอาสินค้าของบริษัทไปตั้งร้านในฐานะตัวแทนจำหน่ายได้ นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางอาชีพนายห้างของนายเลิศที่ผ่านความพยายามไขว่คว้าโอกาสมานานหลายปี
⭐ จากน้ำแข็งถึงรถเมล์: คหบดีผู้แสวงหาสิ่งใหม่มาให้ชาวกรุงฯ
หลังจากที่นายเลิศได้ทำงานกับห้างเฟรเซอร์แอนด์นีฟได้ไม่นานนัก นายเลิศก็ได้เริ่มต้นชีวิตนายห้างโดยการจัดตั้งห้างเป็นของตนเองเมื่ออายุได้ 22 ปี เป็นร้านขายสินค้านำเข้าจากต่างประเทศใกล้กับบริเวณสะพานพิทยเสถียร ที่ซึ่งต่อมาจะมีการสร้างตึกสูง 7 ชั้นอันโด่งดังซึ่งยังคงตั้งตระหง่านมาจนถึงทุกวันนี้
กิจการของนายเลิศดีขึ้นเป็นลำดับ เงินทองก็เริ่มมากมาย และนำมาสู่การทำธุรกิจในด้านอื่น ๆ ที่เรียกได้ว่าเป็นกิจการบุกเบิกหลายกิจการ ที่สำคัญก็เช่นการตั้งโรงงานน้ำแข็งสยามหรือโรงงานน้ำแข็งนายเลิศ และการจัดทำธุรกิจด้านการขนส่งมวลชน ซึ่งล้วนแต่เป็นธุรกิจที่จำต้องมีทุนในระดับหนึ่งก่อนจึงจะสามารถทำได้ ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ก็เปลี่ยนชีวิตของชาวกรุงเทพมากเหมือนกัน
คนไทยเรารู้จักกับน้ำแข็งครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นน้ำแข็งนำเข้ามาจากสิงคโปร์ ด้วยความยากในการที่จะได้มา ทำให้น้ำแข็งเป็นของหรูราคาแพง และมีเพียงเจ้านายหรือขุนนางชั้นสูงเท่านั้นที่จะได้ลิ้มลอง การจัดตั้งโรงน้ำแข็งของนายเลิศในปี 2455 จึงเป็นก้าวสำคัญที่เปลี่ยนให้สิ่งที่เคยเข้าถึงยากอย่างน้ำแข็ง กลายเป็นสินค้าที่คนธรรมดาทั่วไปก็สามารถเข้าถึงได้เหมือนกัน
ในส่วนของธุรกิจขนส่งมวลชนนั้น เดิมทีนายเลิศให้บริการในส่วนของรถม้าแท็กซี่อยู่ก่อน แต่ทั้งนี้นานวันเข้านายเลิศก็มองว่ามันดูเป็นการทรมานสัตว์ จึงริเริ่มนำเข้ารถยนต์มาใช้และเปิดให้บริการเป็นรถโดยสารสาธารณะ โดยเป็นรถเมล์สีขาว ติดตราสัญลักษณ์ของบริษัทนายเลิศที่ผู้คนเรียกกันติดปากว่าตราขนมกง โดยให้บริการภายใต้สโลแกน "สุภาพ ซื่อสัตย์ ประหยัด ทันใจ เอากำไรแต่น้อย บริการผู้มีรายได้น้อย"
กิจการรถเมล์นายเลิศเป็นกิจการขนาดใหญ่และเป็นรากฐานของกิจการขนส่งมวลชนของไทยนอกเหนือจากรถรางและรถไฟด้วย โดยรถเมล์นายเลิศดำเนินกิจการยาวนานกว่า 70 ปี มีเส้นทางสัมปทานเดินรถกว่า 36 สาย ซึ่งเป็นบริษัทรถเมล์ที่ใหญ่ที่สุดในช่วงเวลาดังกล่าว ก่อนที่ต่อมากิจการรถเมล์เอกชนต่าง ๆ จะถูกยุบรวมกันภายใต้ชื่อของ “ขสมก.” หรือองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
⭐ จากเลิศสมันเตาสู่เลิศสะแมนแตน และมรดกของลูกผู้ชายชื่อนายเลิศ
ความหรูหราอู้ฟู่ของคหบดีใหญ่อย่างนายเลิศ ได้ทำให้ชื่อ “เลิศสมันเตา” ของเขากลายมาเป็นคำแสลงที่มีความหมายว่าเจ๋ง แจ๋ว ดีเลิศประเสริฐศรี ซึ่งจากชื่อเลิศสมันเตาก็ได้แปลงมาเป็น “เลิศสะแมนแตน” หรือ “เริ่ดสะแมนแตน” โดยเทิ่ง สติเฟื่อง หรือ บรรยงค์ เสนาลักษณ์ พร้อมกับทำให้คำนี้กลายเป็นคำแสลงยอดฮิตไปทั่วผ่านสื่อกลางอย่างโทรทัศน์
เป็นที่เล่ากันในหมู่ลูกจ้างว่านายเลิศนั้นเป็นคนที่ดูดุ ไม่ค่อยยิ้ม แต่ทั้งนี้ก็ยังบอกต่อกันด้วยว่าถ้าหากได้รู้จักกับท่านจริง ๆ จะพบว่านายเลิศเป็นคนใจดี มีความอารี และเห็นแก่ผู้อื่นมาก กิจการของนายเลิศไม่ได้มีเพียงแค่กิจการหรูหราสร้างสรรค์เม็ดเงินมหาศาลจากการค้าขายเพียงอย่างเดียว นายเลิศยังคงเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และทำบุญทำกิจการเพื่อสังคมด้วย
ทั้งการจัดตั้งโรงเรียนอย่างโรงเรียนเศรษฐบุตรบำเพ็ญ ไปจนถึงโรงพยาบาลอย่างโรงพยาบาลเลิดสิน เราสามารถมองเห็นร่องรอยของนายเลิศได้อยู่หลายต่อหลายแห่งในปัจจุบัน ซึ่งล้วนแต่เป็นหลักฐานของธุรกิจนายเลิศที่เป็นมากกว่าแค่ธุรกิจการค้าที่มุ่งเน้นแสวงหากำไรเพียงอย่างเดียว แต่เป็นธุรกิจที่เห็นค่าและเข้าใจคนด้วยกันเอง
นายเลิศเป็นผู้ที่ประกอบกิจการด้วยใจสุจริต ตลอดจนมีหลักการของตนเองที่นับว่าดีเลิศสมดังชื่อของเจ้าตัว นายเลิศมองว่าเงินไม่ได้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในธุรกิจ คนต่างหากที่สำคัญ ถึงแม้ว่าคนเราจะเกิดมามีต้นทุนแตกต่างกัน แต่ต้นทุนก็คือต้นทุน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะต่อยอดจากต้นทุนนั้นได้อย่างไร ต้นทุนอย่างเงินทองทรัพย์สมบัติเป็นต้นทุนที่หมดไป
ทว่า ต้นทุนในตัวคนเองที่นายเลิศเรียกว่าคุณสมบัติ 3 ประการ อย่างความซื่อสัตย์ ความเพียร ความอดทน มันเป็นนิสัยที่ติดตัวไม่มีวันหาย และคุณสมบัตินี้นี่เองที่จะให้คนเราลุกขึ้นยืนได้ใหม่หลังจากล้มไปแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง…
#สุดโปรด #นายเลิศ #พระยาภักดีนรเศรษฐ #ประวัติศาสตร์ #บุคคล #ชีวประวัติ #ธุรกิจ #BBL #BangkokBank #ธนาคารกรุงเทพ
โฆษณา