8 มิ.ย. 2022 เวลา 04:00
อริยมรรค ๘ กับ โพธิปักขิยธรรม
เพื่อความถ้วนรอบในธรรม ลำดับต่อไปนี้ อาตมาจะแสดงธรรมในหัวข้อธรรมว่า อริยมรรคมีองค์8 กับ เหตุที่ต้องบัญญัติโพธิปักขิยธรรมขึ้น เป็นปัจจัยห้อมล้อม โดยอาตมาจะยังอาศัยเอา มหาจัตตารีสกสูตร เป็นที่ตั้ง เพื่อแสดงธรรมนี้ ขอพวกเราได้รับฟังไปตามลำดับเถิด
ในเรื่องของอริยมรรคมีองค์8 กับเหตุที่ต้องบัญญัติโพธิปักขิยธรรมขึ้นเป็นปัจจัยห้อมล้อมนี้ สืบเนื่องจากโดยลำดับที่ผ่านมา อาตมาได้แสดงธรรมในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กับพวกเราได้รับฟังมาตามลำดับแล้วว่า อริยมรรคมีองค์8 นั้น ไม่สามารถปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์เพียงลำพังพระสูตรเดียวได้
ดังนั้นพระศาสดาจึงได้บัญญัติโพธิปักขิยธรรมขึ้นเป็นปัจจัยห้อมล้อม เพื่อปฏิบัติอริยมรรคมีองค์8 นี้ เพื่อความดับทุกข์ให้สิ้น ขึ้น
นั่นหมายถึงว่า บุคคลผู้หนึ่งผุ้ใด แม้จะรู้จริงแทงตลอดในอริยมรรคมีองค์8 นี้อย่างบริบูรณ์แล้ว คือ รู้ในสัมมาทิฏฐิ ว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ คือ รู้ว่าทานให้ผล ยัญพิธีให้ผล บวงทรวงให้ผล ผลกรรมดีกรรมชั่วมี โลกเก่ามี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว์โอปปาติกะมี โลกนี้มีสมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ยังกระทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้โลกหน้า และนำมาประกาศได้นั้นมีอยู่ ดังนี้
หรือลำดับต่อมา บุคคลผู้หนึ่งผู้ได้รู้ชัดในสัมมาสังกัปปะว่า ว่าเป็นความสัมมาสังกัปปะแล้ว คือ ดำริออกจากกาม ดำริออกจากพยาบาท ดำริออกจากความเบียดเบียนแล้ว
ลำดับต่อมา ได้รู้ชัดในสัมมาวาจาว่าเป็นสัมมาวาจา คือ เว้นขาดจากการผุ้เท็จ พูดส่อเสียด ผู้คำยาบ พูดเพ้อเจ้อแล้ว
ลำดับต่อมา ได้เป็นผู้ที่มีสัมมากัมมันตะแล้ว คือ เป็นผู้เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลัก เว้นจากการผิดของรักของชอบใจคนอื่น
ลำดับต่อมาเป็นผู้รู้สัมมาทิฏฐิในเรื่องของสัมมาอาชีวะแล้ว คือ เว้นขาดจากการโกง เว้นขาดจากการล่อลวง เว้นขาดจากการตลบตะแลง เว้นขาดจากการยอมตนในทางที่ผิด เว้นขาดจากเอาลาภแลกลาภแล้ว
เป็นบุคคลผู้รู้ชัดในสัมมาวายามะ เป็นบุคคลผู้ที่รู้ชัดในสัมมาสติ เป็นบุคคลผู้ที่รู้ชัดในสัมมาสมาธิแล้ว ตามลำดับ
กระทำตามลำดับโดยกระทำสัมมาทิฏฐิพอเหมาะ จึงได้สัมมาสังกัปปะ สัมมาสังกัปปะพอเหมาะ จึงได้สัมมาวาจา สัมมาวาจาพอเหมาะ จึงได้สัมมากัมมันตะ สัมมากัมมันตะพอเหมาะ จึงได้สัมมาอาชีวะ สัมมาอาชีวะพอเหมาะ จึงได้สัมมาวายามะ สัมมาวายามะพอเหมาะ จึงได้สัมมาสติ สัมมาสติพอเหมาะ จึงได้สัมมาสมาธิ เช่นนี้แล้ว
หรือรู้ชัดต่อไปอีกว่า ตนเป็นผู้สลัดมิจฉาทิฏฐิออกแล้วได้สัมมาทิฏฐิแล้ว เป็นผู้สลัดมิจฉาสังกัปปะออกเป็นสัมมาสังกัปปะแล้ว เป็นผู้สลัดมิจฉาวาจาออกได้เป็นสัมมาวาจาแล้ว เป็นผุ้สลัดมิจฉากัมมันตะออกเป็นสัมมากัมมันตะแล้ว เป็นผู้สลัดซึ่งมิจฉาอาชีวะออกเป็นสัมมาอาชีวะแล้ว
เป็นผู้สลัดมิจฉาวายามะได้เป็นสัมมาวายามะแล้ว เป็นผู้ที่สลัดมิจฉาสติออกเป็นสัมมาสติแล้ว ได้เป็นผู้ที่สลัดมิจฉาสมาธิได้เป็นสัมมาสมาธิแล้ว เป็นผู้ที่สลัดมิจฉาญาณะหรือญาณ ได้เป็นผู้ที่มีสัมมาญาณแล้ว และที่สุดสลัดความเป็นมิจฉาวิมุตติออก ได้เป็นสัมมาวิมุตติแล้วเช่นนี้ ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดจะสามารถคัดค้านตำหนิมหาจัตตารีสกสูตร ดังนี้แล้วนี้
บุคคลผู้รู้ชัดเช่นนี้ ก็ไม่สามารถปฏิบัติความดับทุกข์โดยมหาจัตตารีสกสูตร หรืออริยมรรคมีองค์8 นี้เพียงลำพังได้ นั่นเพราะว่า บุคคลคนผู้หนึ่งผู้ใดผู้นี้ ยังไม่รู้ซึ่งอริยสัจ4 บุคคลผู้นี้จะต้องเป็นผู้รู้ซึ่งอริยสัจ4 โดยทั้งมวลก่อน
บุคคลผู้หนึ่งผู้ใดผู้นั้น จะต้องรู้ซึ่งทุกข์ ว่าทุกข์นี้คืออย่างไร เกิดขึ้นอย่างไรก่อน ต้องเห็นทุกข์ก่อน ลำดับต่อมาบุคคลผู้นี้ต้องรู้สมุทัย รู้เหตุของทุกข์ ว่าเกิดขึ้นอย่างไร ว่ามีสาเหตุอย่างไรจึงต้องเป็นทุกข์ บุคคลคนผู้หนึ่งผู้ใดผู้นี้ จะต้องรู้นิโรธ รู้ความดับนิโรธนี้ก่อน เหตุการณ์ความทุกข์เกิดขึ้นขณะใด ผู้นี้จะต้องดับลงได้
และหลังจากนั้นบุคคลคนผู้หนึ่งผู้ใดผู้นี้ จึงจะสามารถกระทำตามอริยมรรคมีองค์8 โดยมีโพธิปักขิยธรรมฮ้อมล้อมนี้ กระทำความดับทุกข์ทั้งหมดทั้งมวลเป็นวิปัสสนา เป็นปัญญาวิมุตติ กระทำความดับทุกข์ให้สิ้นไปตามลำดับเท่านั้น ไม่ใช่ว่าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดนั้น ได้รู้ชัดในอริยมรรคมีองค์8 นี้แล้ว จะสามารถเอาอริยมรรคมีองค์8 มาปฏิบัติเพียงลำพัง ไม่ได้
ดังนั้นบทธรรมที่ชื่อโพธิปักขิยธรรมจึงมาห้อมล้อม ดังเช่นที่เราได้ยิน คำของพระศาสดาที่ประกาศอยู่ในพระสูตรหลายๆพระสูตรที่ว่า ภิกขุ ฉันนัง ผัสสายตนานัง สมุทยัญจ อัตถังคมัญจ อัสสาทัญจ อาทีนวัญจ นิสสรณัญจ ยถาภูตัง ปชานาติ ภิกษุเป็นผู้รู้เหตุเกิด รู้เหตุดับ รู้คุณ รู้โทษ รู้อุบายเครื่องออกจากผัสสายตนะทั้ง6 ตามความเป็นจริง นี่คือบทธรรมที่อธิบายเพิ่มในเรื่องของอริยสัจ4
รู้เหตุเกิดก็คือ รู้ทุกข์กับรู้สมุทัย รู้เหตุดับก็คือรู้นิโรธกับรู้มรรค ยังซ้อนลงไปอีกว่า ต้องรู้คุณ รู้โทษ ตรงเหตุเกิดหนิมีคุณ เรามีอัตตาตัวตนเรามีร่างกายของเรา ที่จะต้องอาศัยอยู่ ที่จะต้องดำเนินชีวิตอยู่ เรามีก่อน แล้วเมื่อมีคุณดังนี้ สิ่งที่มีคุณของเรา ที่ต้องอาศัยอยู่ที่ต้องดำเนินชีวิตอยู่ จะต้องมีอาหารทีนี้
อาหารที่เป็น กวฬีการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร จะต้องเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางจิต สิ่งนี้เป็นคุณ เป็นคุณทั้งตัวเรา ทั้งอัตตาตัวตนของเรา และอาหารนี้เป็นคุณ
แต่พอมีคุณแล้วมีโทษทีนี้ โทษที่เรามีร่างกาย มีอัตตาตัวตนนี้ ทำให้เราต้องเวียนเกิด เวียนแก่ เวียนเจ็บ เวียนตาย อยู่ในวัฏสงสาร เป็นนรก เป็นเดรัจฉาร เป็นเปรต เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา ไม่สิ้นสุดหนิคือโทษ และโทษที่เราติดในอาหาร ยึดในอาหารว่า นั่นเป็นเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวเป็นตนของเราดังนี้
ที่เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางจิต ทั้งหมดที่เป็นกาม เป็นสิ่งที่นาปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด ประกอบด้วยกามทั้งหมดทั้งมวลนั้น คือเป็นอาหาร เป็นกามคุณ5 เป็นอาหาร
สิ่งเหลานี้มีคุณและมีโทษทีนี้ เป็นโทษเพราะการที่เรายึดในร่างกาย ยึดติดในอาหาร ทำให้เราต้องเวียนเกิดเวียนแก่ เวียนเจ็บ เวียนตาย ในวัฏสงสารเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ พอรู้คุณรู้โทษดังนี้ เราจึงทำความดับ เห็นทุกข์เกิดขึ้น แล้วดับ เป็นนิโรธ เป็นนิโรธ แล้วหลังจากนั้นรู้ข้อธรรมสำหรับปฏิบัติ เพื่อความดับทุกข์คือ อริยมรรคมีองค์8 อันฮ้อมล้อมด้วยโพธิปักขิยธรรม เรากระทำความดับทุกข์ให้สิ้น
นิโรธอาตมาได้ระบุให้ฟังว่า ตรงนี้เป็นสมถะ คือเกิดเมื่อใดดับเมื่อนั้น เกิดเมื่อใดดับเมื่อนั้น วิปัสสนา คืออริยมรรคมีองค์8 หรือองค์แห่งโพธิปักขิยธรรม คือเห็นความจริงว่าทุกข์ทั้งหมดทั้งมวล จะต้องเกิดอย่างนี้ เรากระทำความดับเอาไว้
เหมือนที่พระศาสดาอุปมา ในเรื่องของบุคคลผู้ที่นายช่างศร ที่ดัดลูกศรเอาไว้ก่อน รู้ว่าความแก่จะต้องเกิดกับทุกสิ่งทุกอย่าง รู้ว่าความเจ็บจะต้องเกิดกับทุกข์สิ่งทุกข์อย่าง รู้ว่าความตายจะต้องเกิดขึ้นกับทุกสิ่งทุกอย่าง เราดับเอาไว้ก่อน
พอถึงเหตุการณ์จริงๆเราก็ดับอยู่เหมือนเดิม โดยองค์ประชุมแห่งการดับ หรือความดับ หรือการละนั้น ที่พระศาสดาประกาศว่า อุบายเครื่องออกจากผัสสายตนะทั้ง6 ตามความเป็นจริง อุบายเครื่องออกนี้คือองค์ธรรมแห่งฌาน กระทำด้วยฌานทั้งนั้น นั่นหมายถึงว่า การดับหรือความดับนั้น ในโพธิปักขิยธรรม หรือองค์ประชุมแห่งโพธิปักขิยธรรมนี้ จะต้องปฏิบัติด้วยการกระทำฌานเท่านั้น
ความละเอียดความประณีต ในการปฏิบัติธรรมนั้น จะเพิ่มมากขึ้นเพิ่มมาขึ้น เพราะทุกข์นี้ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นของใคร ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นของใคร ไม่ใช่กระทำได้ง่ายๆของใคร จะต้องเป็นไปตามธรรมของพระศาสดาที่เป็น ปณีตัง ปณีตัง นิปุณา ประณีตและก็ละเอียดสูงสุดขึ้นไป ซึ่ง ปัจจัตตัง วิญญูหิติ บัณฑิตพึงรู้แจ้งได้ด้วยตนเอง
นี่คือเหตุคือปัจจัย ที่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องบัญญัติโพธิปักขิยธรรมขึ้นห้อมล้อมอริยมรรคมีองค์8 เพื่อให้การปฏิบัติธรรมนั้น เป็นไปตามลำดับขั้นตอน ถ้าใครรู้เฉพาะอริยมรรคมีองค์8 ไม่รู้องค์ประชุมแห่งโพธิปักขิยธรรม ก็จะไม่รู้เบื้องตนว่าทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร สาเหตุของทุกข์เป็นเพราะอะไร แล้วก็จะมาดับทุกข์ไม่ได้ ก็จะปฏิบัติอริยมรรคมีองค์8 เพียงลำพังไม่ได้ จะต้องรู้มาเป็นลำดับๆ
ถ้าจะยกอุปมาให้พวกเราได้เห็นหนิ อาตมาจะอาศัยอุปมาของพระศาสดาที่พระศาสดามักจะยกในคราวที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดกระทำความสำเร็จไม่ได้ เช่น ที่พระศาสดาอุปมาว่า มีชายคนหนึ่ง รู้ชัดว่าถ้าเมื่อตนเองได้แต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่ง ที่สวย ที่ดี ที่เก่งคนหนึ่งแล้ว จะทำให้ชีวิตเขาบริบูรณ์
เขาก็เลยเที่ยวประกาศว่า เขาจะแต่งกับผู้หญิงในเมืองๆนี้ ที่สวย ที่ดี ที่เก่งที่สุด แต่พอคนเหล่านั้นยินดีกับเขาแล้วถามเขาว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร เขากลับตอบว่าไม่รู้ไม่เคยเห็น แล้วอย่างนี้ความที่เขารู้ว่า การแต่งงานเป็นความสมบูรณ์ ของชีวิต เขาจะได้แต่งงานไหม ถ้าเขาไม่เคยเห็นผู้หญิงเลย เขาไม่รู้จักผู้หญิงเลย หรือผู้หญิงคนนั้นไม่มีในเมืองนี้ให้เขาแต่ง
ก็เทียบกับว่า เรารู้ว่าอริยมรรคมีองค์8 เป็นธรรมที่ดับทุกข์บริบูรณ์ แต่เราไม่รู้ว่า สิ่งที่เราจะไปดับทุกข์นั้น คือเราไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นสมุทัย มาตามลำดับ เราก็ย่อมเอาอริยมรรคมีองค์8 นี้ไปดับไม่ได้
เพราะฉะนั้นองค์คาพยพแห่งโพธิปักขิยธรรม ช่วยให้เราเห็นว่า ทุกข์เกิดขึ้นดังนี้ มีสาเหตุของความทุกข์อย่างนี้ เรากระทำความดับทุกข์เบื้องต้นดังนี้ เรากระทำความดับทุกข์ทั้งหมดทั้งมวลดังนี้ มาตามลำดับ เราจึงจะทำได้
หรืออุปมา อุปมาที่พระศาสดามักจะยกเคียงกันก็คือ มีผู้ชายคนหนึ่ง กำลังทำบันไดหรือทำพะองเพื่อไปขึ้นปราสาท คนทั่วไปยินดีกับเขา ที่เขาจะทำบันไดไปขึ้นปราสาท พอคนทั่วไปยินดีแล้วถามเขาว่า ปราสาทนั้นอยู่ที่ไหน เขากลับตอบว่า เขาไม่รู้ เขาไม่เห็นปราสาทนั้นเลย
ดังนี้ผู้ชายคนนั้นก็จะทำบันไดเสียเปล่า คือ อุปมาก็คือ เขาก็จะไม่สามารถขึ้นปราสาทได้ เพราะเขาไม่เคยเห็นปราสาทเลย เช่นเดียวกัน บุคคลผู้ที่รู้ในอริยมรรคมีองค์8 บริบูรณ์แล้ว แต่บุคคลผู้นั้น ไม่ได้ประกอบด้วยโพธิปักขิยธรรม ก็คือเขาจะไม่รู้ว่า ความเกิดแห่งทุกข์เป็นแบบนี้ ความดับทุกข์เป็นแบบนี้ มีคุณแบบนี้ มีโทษแบบนี้ มีอุบายเครื่องออกจากผัสสายตนะทั้ง6 ตามความเป็นจริงดังนี้
ถ้าไม่เป็นไปตามลำดับแล้ว บุคคลผู้หนึ่งผู้ใดจะใช้เพียงอริยมรรคมีองค์8 กระทำความดับทุกข์ไม่ได้
ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้บัญญัติโพธิปักขิยธรรมขึ้น เป็นปัจจัยห้อมล้อมกัน เพื่อให้ได้เห็นชัดๆว่าทุกข์เป็นอย่างนี้ ความเกิดขึ้นของกองทุกข์หนิเป็นดังนี้ ความดับทุกข์เป็นดังนี้ วิธีการที่จะใช้อริยมรรคมีองค์8 กระทำความดับทุกข์นั้น ต้องดับด้วยขบวนแห่งธรรมที่ชื่อว่าโพธิปักขิยธรรมดังนี้ และในขบวนแห่งการดับทุกข์นั้น ต้องกระทำด้วยการกระทำฌานเท่านั้น
นี่คือเหตุ คือปัจจัย ที่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องบัญญัติโพธิปักขิยธรรมขึ้นเป็นปัจจัยห้อมล้อม อริยมรรคมีองค์8 เอาไว้
ที่สำคัญ เวลาแสดงรายละเอียดของโพธิปักขิยธรรมในมหาสติปัฏฐานสูตร เป็นรายละเอียดที่ยาวมาก ละเอียดมาก ละเอียดที่สุด แต่ในนั้น ไม่มีสัมมัปปธาน4 ไม่มีอิทธิบาท4 ไม่มีอินทรีย์5 ไม่มีพละ5 อยู่ในนั้น ไม่ปรากฏอยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตรเลย แต่มี อาตมาชี้ให้พวกเราได้ดูว่า แต่มีอยู่ในนั้นอย่างบริบูรณ์ ผู้รู้เท่านั้นจึงจะรู้ว่าอยู่ตรงไหน
เหมือนๆกันกับที่จะโยงกลับไปว่า การที่เราจะรู้ทุกข์ เราต้องรู้ในปฏิจจสมุปบาทโดยบริบูรณ์ ต้องรู้ว่าปฏิจจสมุปบาทเป็นแม่บทธรรมหลัก ถูกย่อลงมาเป็นขันธ์5 อย่างไร ถูกย่อลงมาเป็นสติปัฏฐาน4 อย่างไร ถูกย่อลงเป็นวิตกวจารในองค์ฌาน1 อย่างไร ถูกย่อลงเป็นธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ในโพชฌงค์7 อย่างไรอย่างนี้ เราต้องรู้ตัวนี้ก่อน
นั่นคือทั้งหมดทั้งมวลแห่งองค์ธรรมที่ทุกคนจะต้องประณีต เป็นผู้รู้จริง เป็นผู้แทงตลอดในธรรมมาตามลำดับ แล้วหลังจากนั้นเมื่อเรารู้มาตามลำดับ รู้ธรรมตามลำดัแล้ว เราจะเห็นบทที่พระศาสดาประกาศโพธิปักขิยธรรมอยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตรนั้น โดยบริบูรณ์ และกระทำได้ตามธรรมนั้นไปตามลำดับโดยบริบูรณ์
มหาสคิปัฏฐานสูตรนั้น อธิบายโดย่อ แสดงโดยย่อ ย่ออย่างเช่นที่ท่านย่อให้กับท่านพาหิยทารุจิริยะฟัง คือ ทิฏเฐนะ ทิฏตวาทิตา สุเตนะ สุตวาทิตา มุเตนะ มุตวาทิตา วิญญาเต วิญญาตวาทิตา ได้เห็นสักแต่ว่าได้เห็น ได้ฟังสักแต่ว่าได้ฟัง ได้รู้สักแต่ว่าได้รู้ รู้แจ้งสักแต่ว่ารู้แจ้ง นั่นคือองค์แห่งธรรมที่ชื่อว่าโพธิปักขิยธรรมนั้น ย่อขนาดนั้นก็มี ผู้รู้ต้องรู้ดังนี้
ดังนั้นในตอนนี้ อาตมานำเอาธรรมที่ชื่อว่าอริยมรรคมีองค์8 กับเหตุที่พระศาสดาต้องบัญญัติโพธิปักขิยธรรมขึ้น เป็นปัจจัยห้อมล้อมในการปฏิบัตินั้น มาแสดงให้กับพวกเราได้รับฟัง เพื่อให้ได้เห็นแล้วรู้ชัดว่า ทำไมเมื่อมีอริยมรรคมีองค์8 แล้ว ทำไมต้องมีโพธิปักขิยธรรมอีก
ทั้ง 2 อย่างนี้ เป็นธรรมอันเดียวกัน เราต้องรับรู้ดังนี้ เพราะอริยมรคคมีองค์8 ปฏิบัติเพียงลำพังไม่ได้ ต้องปฏิบัติตามโพธิปักขิยธรรมเท่านั้น จึงจะกระทำความสิ้นทุกข์ได้
อนุโมทนากับทุกคนเอาไว้เท่านี้
แสดงธรรมโดย หลวงพ่อ พุทธปัญโญ
วันอังคารที่ 22 เดือน มิถุนายน ปี 2564
อ้างอิง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา