18 ก.ค. 2022 เวลา 04:15 • หนังสือ
#91 CWG. 4️⃣ — บทที่ 2️⃣2️⃣ (ตอนที่ 5) : ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลก ก็เป็นเพียงแค่บทละครในโลกวัตถุมายานี้เท่านั้น
▪️ผู้แปล : แอดมิน
{🔸ซึ่งผมอาจนำคำแปลบางส่วน ของคุณซิม จากเพจ Books for Life มาใช้ด้วยครับ ก็ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ที่ทำให้งานแปลมันสมบูรณ์ขึ้นครับ 🙏 นี่เป็นงานแปลที่ผมตั้งใจแปลมาก ๆ หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ทีนี้ด้วยครับ🔸}
Q : You know, I can see how what’s been said here might not fit into the overall understanding of many. I mean, what’s been laid out here probably isn’t going to mesh for the majority of people.
นีล : พระองค์ก็รู้ เพราะผมยังสามารถเห็นได้เลยว่าสิ่งที่เรากำลังพูดกันในตอนนี้อาจไม่สอดคล้องกับความเข้าใจโดยรวมของคนจำนวนมาก ผมหมายความว่า สิ่งที่อธิบายไว้ในที่นี้อาจจะไม่เหมาะกับคนส่วนใหญ่นะครับ
A : So long as anyone experiences reality as a victim/villain scenario, it will not. But there are no victims and no villains in the world. Or anywhere in the universe. There are only sentient beings physically and metaphysically evolving, and helping each other evolve.
พระเจ้า : ตราบใดที่ผู้คนยังคงเห็นว่าการมีประสบการณ์ในฐานะเหยื่อ/คนร้าย เป็นความจริงจริงๆ ไม่ใช่แค่บทละคร (ในโลกวัตถุที่เป็นมายา) มันก็จะไม่เหมาะตามที่เธอว่า แต่ทว่าไม่มีเหยื่อและผู้ร้ายในโลกนี้ หรือที่ใดก็ตามในจักรวาล มีเพียงสิ่งมีชีวิตที่มีจิตสำนึกที่กำลังวิวัฒน์ตนเองทั้งทางร่างกายและในระดับเหนือกาย (จิตใจ, วิญญาณ) ทั้งยังกำลังช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการวิวัฒนาการ
It is as I have said to you previously: I have sent you nothing but angels.
ก็อย่างที่ฉันเคยบอกไว้ก่อนหน้า : ฉันไม่ได้ส่งใครไปหาเธอเลยนอกจากเหล่าทูตสวรรค์★
★ทุกๆคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราไม่ใช่ใครเลยนอกจากเหล่าทูตสวรรค์ เพราะถ้าไม่มีพวกเขาเหล่านั้นเราจะไม่มีวันมีประสบการณ์เพื่อบรรลุถึงตัวตนที่แท้จริงได้เลย (มีประสบการณ์นับไม่ถ้วนที่หากมีเราเพียงแค่คนเดียวก็ไม่อาจมีได้ พระองค์ถึงแบ่งตัวเองออกมาเป็นจำนวนอนันต์) —แอดมิน—
1
If you felt that you would significantly shorten the evolutionary process of an entire species—that is, of billions—by allowing your Self to exit your physical body at a certain time in a certain way, would you do it?
หากเธอรู้สึกว่าเธอสามารถช่วยลดกระบวนการวิวัฒนาการของทั้งเผ่าพันธุ์ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ —นั่นคือสามารถช่วยคนได้เป็นพันๆล้านคน—โดยยินยอมให้แก่นแท้แห่งความเป็นเธอ (วิญญาณ) ออกจากร่างกายของเธอในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เธอจะทำมันรึเปล่า❓
Don’t think about your answer at the level of Mind. Think about it at the level of Soul.
อย่าคิดหาคำตอบด้วยระดับของจิตใจ ให้คิดถึงเรื่องนี้ในระดับของวิญญาณ
.
Q : When I think about it at the level of Soul, I realize that my existence cannot be threatened and my life cannot and will not end. So to simply change the form of my existence from the physical to the metaphysical—especially knowing that I can change it back again whenever I wish—knowing that billions would move forward in their evolutionary process because of it, makes it a very easy decision.
นีล : เมื่อผมคิดถึงเรื่องนี้ที่ระดับของวิญญาณ ผมตระหนักได้ว่าการดำรงอยู่ของผมไม่สามารถถูกคุกคามได้ และชีวิตของผมก็ไม่สามารถสิ้นสุดลงและจะไม่มีวันสิ้นสุดลง
ดังนั้น ด้วยการที่ผมแค่เปลี่ยนรูปแบบการดำรงอยู่ของผมจากรูปธรรมชีวิตทางกายภาพไปเป็นรูปธรรมชีวิตในมิติเหนือกายภาพ —โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรู้ว่าผมสามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นรูปธรรมชีวิตทางกายภาพอีกครั้งได้ทุกเมื่อตามที่ผมปรารถนา— การรู้ว่าคนหลายพันล้านคนจะก้าวไปข้างหน้าในกระบวนการวิวัฒนาการของพวกเขาได้เพราะการทำอย่างนั้น นั่นก็ทำให้ตัดสินใจได้ง่ายมาก ๆ
I would see it as what I called, earlier, a “Burning Building Moment,” when you rush in to save the baby and your own physical survival is not even part of your thought process; not part of the equation. I would make whatever choice brings the greatest benefit to the largest number of my fellow sentient beings.
ผมจะเห็นมันเหมือนกับสิ่งที่ผมได้เปรียบเปรยไว้ก่อนหน้านี้ว่า “ณ ห้วงขณะที่ตึกไฟไหม้” เมื่อเรารีบพุ่งเข้าไปช่วยเด็กทารก การคิดคำนวนเพื่อเอาตัวรอดเอาร่างกายให้รอดนั้นไม่มีอยู่ในหัวเลย เราไม่ได้คิดถึงมันสักนิดเลยด้วยซ้ำ และผมจะทำการเลือกสิ่งใดก็ตามที่นำประโยชน์สูงสุดมาสู่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นจำนวนมากที่สุด
A : Of course you would, because that’s Who You Are.
พระเจ้า : แน่นอนว่าเธอจะทำแบบนั้น เพราะนั่นคือ สิ่งที่เธอเป็นจริงๆ คือ ตัวตนที่แท้จริงของเธอ
I want to tell you again that Love is who you all are.
ขอให้ฉันได้บอกกับเธออีกครั้งว่า “ความรัก” คือสิ่งที่พวกเธอทุกคนเป็น (พวกเธอทั้งหมดคือความรัก)
It is because of this that you would actually forgive the person or group appearing to be the cause of your death, because you would realize that at a conscious level they did not even know what they were doing.
เป็นเพราะเหตุนี้เองที่เธอจะให้อภัยบุคคลหรือกลุ่มคนที่ดูเหมือนจะเป็นต้นเหตุแห่งการตายของเธอ เพราะเธอจะตระหนักได้ว่า พวกเขาขาดสติเสียจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ (ถูกอารมณ์ในเชิงลบครอบงำ)
1
Then, when you moved to total awareness in the Realm of Pure Being (if it does not happen before), you would abandon any need to forgive them, because forgiveness would be replaced with understanding. You would comprehend completely how a sentient being could or would do such a thing.
จากนั้น เมื่อเธอเกิดการตระหนักรู้อย่างเต็มเปี่ยมอยู่ในสภาวะแห่งการเป็นอันบริสุทธิ์★ (หากมันยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน) เธอก็ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องให้อภัยพวกเขาอีก เพราะการให้อภัยจะถูกแทนที่ด้วยความเข้าใจ เธอจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ทำไมสิ่งมีชีวิตที่มีจิตสำนึกถึงทำอะไรแบบนั้น หรือทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร
★สภาวะที่จิตมองทะลุถึงโลกมายา (โลกวัตถุ) ทั้งปวง ทั้งหมดนี่มันก็แค่การแสดงเพื่อมีประสบการณ์ถึงบทบาทนั้นๆเท่านั้น และจดจำทั้งหมดได้อีกครั้งอย่างสมบูรณ์ (จดจำได้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองคือใคร และพวกเราทั้งหมดนั้นคือหนึ่งเดียวกัน) —แอดมิน—
.
Q : You have told me in the past that understanding replaces forgiveness in the mind of the master.
นีล : พระองค์เคยบอกผมในการสนทนาครั้งก่อนของเราว่า #ความเข้าใจจะเข้ามาแทนที่การให้อภัยในจิตใจของคุรุ
A : And so it does.
พระเจ้า : และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ★
★ความเข้าใจได้เข้ามาแทนที่การให้อภัยในจิตใจของเหล่าคุรุ.
การที่เราจะให้อภัยใครสักคนได้นั้น
เราต้องรู้สึกว่าตนโดนทำร้าย
ไม่ว่า ‘ทางกาย’ หรือ ‘ทางใจ’ เสียก่อน.
เมื่อคุรุไม่เคยรู้สึกว่าตนโดนทำร้าย.
ฉะนั้นคุรุที่แท้ จึงไม่เคยให้อภัยผู้ใด
เพราะเข้าใจและตระหนักถึง
สัจจะความจริงนั้นอยู่ก่อนแล้ว.
—แอดมิน—
All of these things would be experienced by you precisely because you are made up of the energy you call Love, personified and magnified in the free-will choices and decisions that you make, the understandings that you embrace, and the expressions of Self that you place into the ongoing and simultaneous creation within the Ultimate Reality.
เธอจะเห็นหรือตระหนักรู้ถึงทุกอย่างตามสภาพความเป็นจริง ว่าตัวเธอถูกสร้างขึ้นมาจากพลังงานที่เรียกว่า “ความรัก” ว่า “ความเป็นเธอ” (นิยามที่เธอให้ตัวเองว่าเธอคือใคร) ถูกตอกย้ำจากการตัดสินใจเลือกด้วยเจตจำนงเสรีของตัวเธอเอง ด้วยความเชื่อที่เธอโอบรับไว้ และด้วยการแสดงออกถึงตัวตนที่เธอเป็น ในการสร้างสรรค์ตัวตนของเธอ (ที่มีจำนวนอนันต์) อย่างต่อเนื่องไปพร้อมกันในขณะเดียวกัน ภายในโลกแห่งสัจจะความจริงสูงสุด★
★จะเรียกว่าโลกของพระเจ้า หรือ กายของพระเจ้าก็ได้ พวกเราทั้งหมดคืออณูหนึ่งๆ ที่กำลังมีประสบการณ์อยู่ในกายของพระองค์ —แอดมิน—
1
You do not have to wait until you find yourself in the Realm of Pure Being. This awareness may be embraced by you at any time. The continued expansion of your awareness is what evolution is all about.
เธอไม่จำเป็นต้องรอจนกว่าเธอจะพบว่าตัวเองต้องอยู่ในสภาวะแห่งการเป็นอันบริสุทธิ์นั้นเสียก่อน เพราะการเห็นทุกอย่างตามสภาพความเป็นจริงสามารถเกิดขึ้นกับเธอได้ทุกเมื่อ การขยายขอบเขตการรับรู้ของเธอออกไปอย่างต่อเนื่อง คือ ทุกอย่างที่การวิวัฒนาการนั้นเกี่ยวข้อง
★อ่านทบทวนเรื่องความตายเพิ่มเติมได้ตามลิงค์ครับ —แอดมิน—
สวส.จะไม่มีวันยุติชีวิตของสิ่งมีชีวิตอื่น
หากเธอไม่เข้าใจความตาย เธอก็จะไม่มีทางเข้าใจชีวิต
========= จบบทที่ 22 =========

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา