25 มี.ค. 2023 เวลา 23:00

ฌาน กับ อัตตา3 ของเรา ที่ต้องละด้วยฌาน

ฌานอันเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ และนำมาประกาศให้หมู่มวลมนุษยชาติได้รู้ตามได้ปฏิบัติตามเพื่อความสิ้นทุกข์โดยถ้วนรอบ
2
เพื่อความถ้วนรอบเพื่อความรอบรู้ในธรรม วันนี้จะชี้ให้เห็นบทธรรมที่ชื่อว่าฌาน กับ อัตตา3 ของเรา ที่ต้องละด้วยการกระทำฌานเท่านั้น
เพื่อชี้ให้เห็นว่าอัตตานั้นคืออย่างไร ก่อนที่จะละอัตตา เราต้องเห็นเขาซะก่อน เมื่อเห็นแล้วจึงกระทำการละด้วยการกระทำฌานไปตามลำดับ
สืบเนื่องจากได้เขียนเรื่องฌาน กับ ร่างกายของเรา ที่ต้องละด้วยการกระทำฌานเท่านั้น โดยได้อาศัยเอามหาตัณหาสังขยสูตรบ้าง วิปัสสนาญาณบ้าง มหาสติปัฏฐานสูตรบ้าง เป็นที่ตั้ง
เพื่ออธิบายธรรมนั้นให้ได้รับฟังว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เวียนเกิดเวียนตายอยู่ในวัฏสงสารนั้น จะต้องได้อัตตาตัวตนหรือได้ร่างกายของตนๆ ตามเหตุแห่งกรรมก่อน
กระทำกรรมอย่างนี้ไปนรก ก็ต้องได้ร่างกายที่เป็นนรก
กระทำกรรมอย่างนี้ไปเป็นเดรัจฉาน ก็ต้องได้ร่างกายที่เป็นเดรัจฉาน
กระทำกรรมอย่างนี้เป็นเหตุให้เป็นเปรต ก็ต้องได้ร่างกายเป็นเปรต
กระทำกรรมอย่างนี้เป็นเหตุให้เป็นมนุษย์ ก็ต้องได้ร่างกายที่เป็นมนุษย์
กระทำกรรมอย่างนี้ที่เป็นเหตุให้ต้องเป็นเทวดา ก็ต้องได้ร่างกายที่เป็นเทวดา
ดังนั้นสรรพสัตว์ที่เวียนเกิดเวียนตายอยู่ในวัฏสงสารนี้จะต้องเป็นผู้ที่ได้มีร่างกายอยู่
อย่างเช่นร่างกายมนุษย์ เมื่อกระทำเหตุกระทำปัจจัยตามเหตุตามปัจจัยอันสมควรแล้ว
เราก็จะต้องมาได้ร่างกายที่เป็นมนุษย์นี้
ดังที่เคยยกวิปัสสนาญาณให้ได้รับฟังว่า
อยัง โข เม กาโย
กายของเรานี้แล
จาตุมมหาภูติโก
ประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ไฟ ลม
มาตาเปตติกสัมภโว
มารดาบิดาทำให้เกิด
โอทนกุมมาสุปจโย
เติบโตด้วยข้าวสุกขนมสด
อนิจจุจฉาทน
เป็นของไม่เที่ยง
ปริมัททน
จะถูกกระทำเยียบย้ำทุกพื้นที่
เภทะนะวิทธัง
ที่สุดจะต้องแตกทำลาย
สันธัมโม อิทัญจ
เข้าจะเป็นของเขาอยู่อย่างนี้
ปน เม วิญญาณัง เอตถ นิสสิตัง เอตถ ปฏิพัทธันติ วิญญาณของเราอาศัยอยู่ในกายนี้เนื่องอยู่ในกายนี้
วิญญาณที่เป็นต้นเหตุแห่งความเกิดนามรูปคือเกิดร่างกายนั้น คือผู้ที่มากระทำให้เกิดร่างกายนี้อย่างบริบูรณ์ ได้อาศัยอยู่ในกายนี้เนื่องอยู่ในกายนี้
เราต้องเห็น เราต้องรู้ว่าต้นเหตุแห่งการเกิดร่างกายนี้ได้ หรือองค์ประชุมแห่งปัจจัย3 นอกจากมารดาบิดา จะต้องมีวิญญาณนี้เป็นต้นเหตุแห่งความได้ร่างกายนี้ สรรพสัตว์ทุกตัวตนมีร่างกายเป็นของๆตนอยู่
อัตตา 3 คืออย่างไร?
อัตตาที่1 โอฬาริโก เป็นอัตตาที่หยาบ
อัตตาที่2 มโนมโย เป็นอัตตาที่สำเร็จด้วยจิต
อัตตาที่3 อรูโป เป็นอัตตาที่หารูปไม่ได้
นี่คือการแสดงอัตตา3 ของสรรพสัตว์ที่พระพุทธเจ้าได้ประกาศเอาไว้ อธิบายซ้ำให้ได้รับฟังดังนี้ว่าพระพุทธเจ้าได้จำแนกให้เราเห็นว่าความได้ร่างกายนั้น ยังจำแนกลงไปให้เห็นว่า อัตตาของเรามี 3 ลักษณะ
อัตตาลักษณะที่1 คือ โอฬาริโก อัตตปฏิลาโภ คือ ความได้อัตตาที่หยาบ
อัตตาลักษณะที่2 คือ มโนมโย อัตตปฏิลาโภ คือความได้อัตตาที่สำเร็จด้วยจิต ตัวนี้เป็นความลึกซึ่งที่ต้องฟัง ต้องดูจากผู้รู้
อัตตาลักษณะที่3 คือ อรูโป อัตตปฏิลาโภ เป็นอัตตาที่หารูปไม่ได้ ไม่มีรูปแต่มีอัตตาอยู่
เป็น 3 ลักษณะ
1.อัตตาหยาบๆ
2.อัตตาที่สำเร็จด้วยจิต
3.อัตตาที่หารูปไม่ได้ ไม่มีรูปแต่เป็นอัตตา
นี่คือการจำแนกให้เห็นว่าร่างกายของเราหรืออัตตาของเรามี 3 ลักษณะ
ดูอัตตาที่1 ก่อน
อัตตาที่1 รูปี จาตุมมหาภูติโก กวลีการาภักโข อยัง โอฬาริโก อัตตปฏิลาโภ
กายหยาบหรือร่างกายหยาบ คือร่างกายที่ประกอบไปด้วยมหาภูตรูป4 ที่มี ดิน น้ำ ไฟ ลม ก็คือร่างกายเนื้อ เติบโตด้วยข้างสุกขนมสด ตรงกับที่ได้อธิบายในวิปัสสนาญาณ
นี่คือร่างกายเนื้อร่างกายที่เป็นอัตตาหยาบ จับได้ต้องได้ เห็น ฟัง ดม ดู กิน สัมผัสได้หรือรับรู้ธรรมารมณ์ของร่างกายหยาบนี้ได้ คืออัตตาตัวตนของเรานี้
อัตตาที่ 2 รูปี มโนมโย สัพพังคปัจจังคี อหีนินทริโย อยัง มโนมโย อัตตปฏิลาโภ
ร่างกายนี้สำเร็จด้วยจิต สำเร็จด้วยจิต คือ มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีร่างกายครบสมบูรณ์ มีอินทรีไม่พรกพร่อง
ตรงนี้จะชี้ด้วยตัวอย่างให้เห็นก่อนดังนี้ว่าตัวเรานี้ เมื่อก่อนเราเป็นบุคลผู้ที่ประกอบด้วยอกุศลธรรมอยู่ อกุศลมูลอยู่
คือเป็นผู้ที่ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดของรักของชอบใจคนอื่น โกหก ส่อเสียด คำหยาบ เพ้อเจ้อ มุ่งหวังในกาม พยาบาท เป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ กระทำแต่ความผิดอยู่ ในชีวิตในร่างกายของเราประกอบอยู่อย่างนี้
แล้วหลังจากนั้น เมื่อเราได้ฟังธรรมที่ถูกต้อง เราได้ทราบชัดในธรรมที่ถูกต้องว่าเรากระทำอกุศลมูลอยู่ พอเรารู้กุศลมูล คือ ธรรมที่ถูกต้อง เรากลับ เราลบธรรมอกุศลมูลทิ้งหมด
มาประกอบ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดของรักของชอบใจคนอื่นๆ ไม่โกหก ไม่ส่อเสียด ไม่คำหยาบ ไม่เพ้อเจ้อ ไม่มุ่งหวังในกาม ไม่พยาบาท เป็นผู้ที่สัมมาทิฏฐิ จากร่างกายที่ผิดอยู่เมื่อก่อน กลับมาเป็นบุคคลผู้ที่ถูกต้อง
เป็นร่างกายเดิม เป็นร่างกายที่ถูกเปลี่ยนใหม่ สำเร็จด้วยจิต คือกระทำที่จิตร่างกายคนก็ยังเหมือนเดิม แต่จิตเปลี่ยนไป เปลี่ยนจากการทำอกุศลมาเป็นกุศล นี่คือร่างกายที่สำเร็จด้วยจิตให้ได้รับทราบดังนี้
และคำที่ว่า มีร่างกายครบมีอินทรีไม่พรกพร่องส่วนหนึ่ง คือ เห็นทุกประการเหมือนกัน ร่วมทั้งการที่อธิบายให้เห็นว่า จากเป็นคนไม่ดี กลายเป็นคนดี หรือจากเป็นคนดี กลายเป็นคนไม่ดี
ร่างกายนี้เป็นร่างกายที่เมื่อตายจากตัวหนึ่งไปสู่อีกตัวหนึ่งไม่ต้องเผาร่างกายเดิม ไม่ต้องฝังไม่ต้องกลบ กลายเป็นร่างกายใหม่ อุบัติขึ้นทันทีเป็นโอปาติกะนั่นเรียกว่า มโนมยอัตตา
อัตตาที่3 อรูปี มโนมโย อยัง มโนมโย อัตตปฏิลาโภ
หมายถึงว่าร่างกายที่หารูปมิได้ หารูปมิได้เช่น
เวทนา คือ ความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ ไม่ทุกข์ไม่สุข เราจะหารูปไม่ได้ ไม่มีรูป แต่เรามีอยู่ เรามีความรู้สึกสุข ทุกข์ ไม่ทุกข์ไม่สุข หรือยินดี ไม่ยินดี ทั้งไม่ยินดีทั้งยินดีอย่างนี้
สัญญา คือ ความรับรู้ เราไม่รู้ว่าความรับรู้มันเป็น สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาวอย่างไร เราไม่รู้ ไม่เคยเห็น แต่เรารับรู้ได้ รู้ดี รู้ชั่ว เรารู้ได้แต่ไม่มีรูป
เจตนา คือ ความตั้งใจ เราจะเป็นคนที่ทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ เราจะทำสิ่งนี้ให้ได้อย่างนี้ คำว่าเจตนาของเรา ไม่มีสีเขียว สีแดง ไม่อ้วน ไม่ผอม ไม่อะไร ไม่มีรูปให้เห็น นี่คือความที่เป็นอัตตาของเราแต่ไม่มีรูป
ผัสสะ คือ การผัสสะ ตากระทบรูป หูได้ยินเสียง
จมูกดมกลิ่น ลิ้นรับรส กายสัมผัส จิตรับรู้ธรรมมารมณ์ใดๆ เป็นอาการผัสสะที่ไม่มีรูป ไม่เห็นว่าเป็นเขียว เป็นเหลือง เป็นแดง เป็นขาวใดๆ แต่รู้ว่าผัสสะแล้ว สัมผัสแล้วเป็นนามเป็นสิ่งที่ไม่มีรูป
มนสิการ คือการกระทำในใจ การกระทำที่จิต เป็นการกระทำที่จิตที่ใจ ทำทุกสิ่งทุกอย่างทำที่จิต จากความไม่ดีเป็นความดีก็ทำที่จิต จากความไม่รู้ให้เป็นความรู้ก็ทำที่จิต ทำที่จิตที่ใจ
สิ่งเหล่านี้ไม่ปรากฏรูปให้เราเห็น แต่มีอยู่ในตัวเรา เป็นอัตตาที่3 คือ อัตตาที่หารูปไม่ได้ ไม่มีรูป สำเร็จด้วยสัญญา
รับรู้ด้วยความรับรู้ว่าเรื่องนี้เรารู้แล้ว ได้ฟังแล้วก็รู้แล้ว ได้เห็นแล้วเราก็เห็นแล้ว ได้ดมเราก็ดมแล้ว ได้กินเราก็กินแล้ว ได้สัมผัสก็สัมผัสแล้ว ได้รับรู้ด้วยจิตก็รับรู้แล้ว ไม่มีรูปแต่รับรู้ได้ด้วยสัญญา
มีอัตตาอยู่ 3 อย่าง ที่สรรพสัตว์ ผู้ทีร่างกายมีจิตใจสมบูรณ์ต้องมีอยู่
คือ โอฬาริกอัตตา ที่เป็นกายหยาบร่างกายเนื้อ
คือ มโนมยอัตตา ที่เป็นอัตตาที่สำเร็จด้วยจิต ด้วยความเก่งของจิตดังที่ได้อธิบาย
คือ อรูปี คือ อัตตาที่หารูปมิได้ ไม่มีรูปแต่มี นี่คือกายทั้ง3
เจ้ากายทั้ง3 หรืออัตตาทั้ง3 นี้เป็นเหตุแห่งความทุกข์
อัตตาที่1 ร่างกายนี้เป็นเบื้องต้น ที่จิต มโน วิญญาณ ประกอบกรรมแล้วต้องไปได้ร่างกายความเป็นนรกบ้าง เดรัจฉานบ้าง เปรตบ้าง มนุษย์บ้าง เทวดาบ้างดังนี้ นี่คือความทุกข์
อัตตาที่2 ก็คือการสำเร็จด้วยจิต ตั้งใจพุ้งเป้าที่จะเอา ที่จะทำ ทำให้สำเร็จด้วยจิต ทำให้เป็นทุกข์
อัตตาที่3 คือ เวทนา สัญญา เจนตา ผัสสะ มนสิการ ที่มีในตัวเราเป็นร่างกายเป็นอัตตาที่ไม่มีรูป แต่ก็ทำให้เราเป็นทุกข์
เราต้องมาเป็นทุกข์เป็นมนุษย์เพราะเจตนาของเรา อันเป็นที่ตั้งของวิญญาณของเรา เกิดจากเวทนานั้นเป็นที่ตั้ง วิญญาณของเราจึงมาตั้งอยู่ในความเป็นมนุษย์ ตามสมควร แต่เมื่อเป็นมนุษย์แล้วยังต้องเวียนเกิดเวียนตายยังเป็นทุกข์อยู่
ในอัตตา3 นี้เป็นเหตุแห่งความทุกข์ เมื่อเราเห็นเหตุเกิดทุกข์แล้วเรารู้ว่าเขามีคุณ ที่ทำให้เรามีร่างกายอยู่ มีคุณที่เราต้องมาอาศัยอยู่ เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าการนี้เป็นทุกข์แล้ว จะได้ปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์
ในการมีคุณจากการที่เราอาศัยอาหารที่มาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทั้งหมดนี้มีคุณ
แต่ทีนี้เราเห็นโทษ โทษที่ทำให้เราต้องเป็นทุกข์ ต้องเวียนเกิด เวียนแก่ เวียนเจ็บ เวียนตาย ในวัฏสงสารไม่สิ้นสุด คือโทษ
เมื่อเห็นเหตุเกิดทุกข์ รู้คุณ รู้โทษ ดังนี้เป็นที่ถ้วนรอบแล้ว เราก็กระทำความดับทุกข์ ดับทุกข์โดยบทธรรมที่ชื่อว่าโพธิปักขิยธรรมที่พระพุทธเจ้าประกาศเอาไว้
การปฏิบัติโพธิปักขิยธรรมต้องกระทำฌานเท่านั้น ด้วยฌาน1-4 เป็นหลัก หรือฌาน1-8 จนบริบูรณ์ ก็จะสำเร็จไปอยู่ที่สัญญาเวทยิตนิโรธ ตรงนี้ต้องทำ
ทำโดยการ เกิดที่ตาทำที่ตา เกิดที่หูทำที่หู เกิดทีจมูกทำที่จมูก เกิดที่ลิ้นทำที่ลิ้น เกิดที่กายทำที่กาย เกิดที่จิตทำที่จิต เป็นอุบายเครื่องออกจากผัสสายตนะทั้ง6 ตามความเป็นจริง
ไม่ได้เกิดจากการนั่งสมาธิ
ไม่ได้เกิดจากการสวดมนต์
ไม่ได้เกิดจากการเดินจงกรม
ไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติธรรม 3วัน 5วัน 7วัน
หรือเดินธุดงค์ใดๆเลย
ไม่ได้เกิดจากการนั่งฌานด้วย การนั่งฌานไม่มี พระพุทธเจ้าไม่เคยประกาศ ต้องเกิดจากการกระทำฌานเท่านั้น
ดังนั้นรายละเอียดในการดับอัตตา3 คอยกระทำไปตามลำดับ แต่ตอนนี้ชี้ให้ได้เห็นว่าเรามีอัตตา3 นะ
นอกจากร่างกายแล้ว เรายังมีอัตตา3 ที่เป็นเหตุแห่งความทุกข์ เมื่อเราเห็นเหตุเกิดทุกข์แล้ว เราต้องทำความดับทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะอัตตา3 นี้
ดังนั้นเราจะไปกระทำฌานเราต้องรู้สิ่งที่เราจะไปดับเขาก่อน อะไรบ้างเป็นเหตุ ที่ได้ลำดับเอาไว้ คือ ร่างกาย คือ กายในกาย
ลำดับนี้ คือ อัตตา เป็นทุกข์ทั้งนั้น ทำให้เราเป็นทุกข์ เราจะต้องดับร่างกาย ดับอัตตา ให้เราได้รับรู้ว่าเรามีอัตตาที่จะต้องดับต่อไปนะ เรื่องของการกระทำฌานต้องทำไปด้วยความประณีต ดังนั้นจึงทำลำดับให้เห็น

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา