24 มี.ค. 2023 เวลา 23:00

ฌาน กับ ร่างกายของเรา ที่ต้องละด้วยฌาน

ฌานอันเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ และนำมาประกาศให้หมู่มวลมนุษยชาติได้รู้ตามได้ปฏิบัติตามเพื่อความสิ้นทุกข์โดยถ้วนรอบ
2
เพื่อความถ้วนรอบเพื่อความรอบรู้ในธรรม วันนี้จะชี้ให้เห็นบทธรรมที่ชื่อว่าฌานกับร่างกายของเราที่ต้องละด้วยการกระทำฌานเท่านั้น
พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้ไม่ใช่ของเธอทั้งหลายและไม่ใช่ของใครอื่นดังนี้
หรือบางคราวพระองค์ก็ได้ตรัสว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราไม่เป็นของเรา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเรา ดังนี้
จากคำตรัสของพระพุทธเจ้าใน 2 ลักษณะดังกล่าวนั้น พอพวกเราได้ฟัง พวกเราก็เห็นตามว่าเป็นจริงเลยทันที และเราก็ได้กล่าวคำตามพระพุทธเจ้าอยู่โดยธรรมดา
โดยสำคัญว่าตนได้รู้จริงในคำตรัสนั้นๆของพระพุทธเจ้าแล้ว แต่ความเป็นจริงแล้ว พวกเรายังไม่ได้รู้ร่างกาย เรายังไม่รู้ว่ากายนี้คืออะไรเลย
เพราะแม้เราจะกล่าวตามคำของพระพุทธเจ้าว่า กายนี้ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย และไม่ใช่ของใครอื่น หรือร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นของเรา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเราดังนี้
แต่เราเองยังไม่ได้ละร่างกายนี้ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าเลย เรายังต้องมีร่างกาย เรายังต้องมีชีวิต เราต้องตั้งอยู่ เราต้องดำเนินไปอยู่
ในการมีชีวิตในการมีร่างกายของเรา ตาเรายังต้องดูสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ หูเรายังต้องฟังอยู่ จมูกเรายังต้องดมต้องหายใจอยู่ ลิ้นเรายังต้องกินต้องรับประทานอยู่ กายเรายังสัมผัสใดๆอยู่ จิตเรายังรับรู้ธรรมารมณ์ใดๆอยู่ เพื่อบริหารร่างกายนี้ให้ตั้งอยู่ได้ ตั้งอยู่อย่างมีความสุข
ถ้าไม่ได้ดูซักพักหนึ่งใจจะขาดแล้ว
ถ้าไม่ได้ฟังก็ไม่ได้เหมือนจะตายให้ได้
ถ้าไม่ได้หายใจนิไม่นานตาย
ถ้าไม่ได้กินเวทนาอันเป็นทุกข์จะเกิดทันที
ถ้าไม่ได้สัมผัสประหนึ่งว่าร่างกายนี้จะแตกสลายไป
ถ้าไม่ได้รับรู้เรื่องราวใดๆร่างกายหรือจิตใจจะร้อนรนมาก
นั่นหมายถึงการที่เรายังกระทำการละกายของเราไม่ได้ เราจะไปกล่าวตามท่านโดยสบายไม่ได้ว่ากายนี้ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย และไม่ใช่ของใครอื่น เรายังกล่าวไม่ได้ หรือเราจะบอกว่ากายนี้ไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นของเรา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเราดังนี้
เรายังไม่ควรจะกล่าว เพราะเรายังไม่รู้ชัดในร่างกายนี้เลย และยังกระทำเหตุปัจจัยให้หลุดพ้นจากกายนี้ไม่ได้ดังพระพุทธเจ้าท่าน คำกล่าวของท่านไม่ผิดแต่เราต้องรู้ให้จริงก่อน จึงควรที่จะกล่าวด้วยความรู้จริง
ดังนั้นในวันนี้จึงมาชี้ในเรื่องของ ฌาน กับ ร่างกายของเราที่ต้องละด้วยการกระทำฌานเท่านั้น โดยอาศัย มหาตัณหาสังขยสูตรบ้าง วิปัสสนาญาณบ้าง มหาสติปัญฐานสูตรบ้าง เป็นที่ตั้ง
ก่อนที่เราจะกระทำฌานกับร่างกายของเรา เรามารู้จักกายของเรานี้ก่อน จะขอยกเอาคำตรัสของพระพุทธเจ้าในมหาตัณหาสังขยสูตร พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่12 เป็นที่ตั้ง ในการเกิดขึ้นของกายของสัตว์ในโลกนี้
พระพุทธเจ้าตรัสว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสัตว์โลกนี้ มารดาบิดาอยู่ด้วยกัน มารดายังไม่มีระดู สัตว์ที่จะมาเกิดยังไม่ปรากฏ และทารกที่จะมาเกิดยังไม่ปรากฏ ความเกิดแห่งทารก ก็ยังไม่มีก่อน
1
ในสัตว์โลกนี้ มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน มารดามีระดู แต่ทารกที่จะมาเกิดยังไม่ปรากฏ ความเกิดแห่งทารก ก็ยังไม่มีก่อน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดมารดาบิดาอยู่ร่วมกันด้วย มารดามีระดูด้วย ทารกที่จะมาเกิดก็ปรากฏด้วย เพราะความประชุมพร้อมแห่งปัจจัย 3 ประการอย่างนี้ ความเกิดแห่งทารกจึงมี นี้คือการเกิดขึ้นของชีวิตหรือการเกิดขึ้นของสรรพสัตว์โดยถ้วนทั่วในโลกนี้
และจะตามด้วยวิปัสสนาญาณ อันเป็นวิชชา8
ในวิชชาที่ 1 ที่ทุกคนต้องมี ต้องรู้ ต้องกระทำได้ เรามาดูวิชชาที่ว่าวิชชาที่1 วิปัสสนาญาณ พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ดังนี้
กายของเรานี้แล ประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ไฟ ลม ร่างกายนี้
มารดากับบิดาทำให้เกิด เติบโตด้วยข้าวสุกขนมสด
เป็นของไม่เที่ยงอาจไม่เป็นดังหวัง
จะถูกกระทำเยียบย้ำทุกพื้นที่ ทุกพื้นที่จะถูกกระทำให้มีความเป็นไปในร่างกายนี้ทุกพื้นที่ และที่สุดก็จะแตกทำลาย
เขาจะเป็นของเขาอยู่อย่างนี้ ไม่เที่ยง ต้องถูกทำลายอยู่ทุกพื้นที่ ต้องแตกทำลาย จะต้องมีอันแตกทำลายเป็นเบื้องปลาย
มีสุดท้ายตามมาว่า วิญญาณของเรามาอาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้
วิญญาณเป็นผู้มาในเหตุปัจจัยที่ 3 เมื่อซักครู่นี้ จึงทำให้ได้ชีวิตนี้ได้ หรือร่างกายนี้เกิดขึ้นได้ แม้มารดากับบิดาจะอยู่ด้วยกันยังไงถ้าวิญญาณไม่มาก็จะไม่เกิด
ดังนั้นวิญญาณเป็นตัวมาครองเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดร่างกายนี้ แต่ในตอนนี้ให้เราดูที่ร่างกายนี้ก่อน เราจะบอกว่าไม่มีไม่ได้ วิญญาณเป็นตนเหตุ ที่ทำให้มามีร่างกายนี้
มาอย่างไร?
กัมมัสสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโน
เรามีกรรมเป็นของๆตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย จึงได้มามีร่างกายนี้ เกิดจากกรรมเก่าส่งผลมา
เมื่อมาได้ร่างกายที่เป็นมนุษย์ก็มีสภาวะมนุษย์ เราต้องรับรู้ว่าเรามีร่างกายอยู่ เป็นร่างกายของเราจริงๆ เราต้องมี เราต้องอยู่ ถ้าเรายังไม่มีความรู้นี้ ที่จะกระทำความละกาม ละอกุศลธรรมจากความเป็นกายนี้จนบรรลุปีติ อันเป็นฌาน1เราจะละกายนี้ไม่ได้
หรือเรากระทำฌานไปจนถึงฌานที่2 คือ สุขเสมือนปราศจากอามิส ยังไม่ได้ เราก็จะละกายนี้ไม่ได้ก่อน กายยังเป็นของเราอยู่
หรือเราจะกระทำฌานระดับที่3 เวทนาอันเป็นทุกข์ก็ไม่ใช่ สุขก็ไม่ใช่ คือ เป็นอุเบกขาจากกายนี้ไม่ได้ คือ เราจะต้องยึดกายนี้อยู่ กายยังจะพาเราเวียนไปในวัฏสงสารอยู่ เรายังจะต้องมีกายให้ต้องเวียนอยู่ในวัฏสงสาร
หรือเรายังกระทำฌาน4 ไม่ได้ ละกาม ละอกุศลธรรมมาตามลำดับๆ มาไม่ได้ ไม่สามารถจะเป็นผู้สงบ เป็นผู้ดับแล้ว เป็นผู้ไม่มีอุปาทานใดๆแล้วจากกายนี้ยังไม่ได้
ยัง เรายังมีกายอยู่เรายังต้องเวียนเกิดเวียนตายในวัฏสงสารนี้ไปกับจิต มโน วิญญาณของเรา ที่ไปอาศัยกายนี้แล้วเกิดแล้วดับไม่สิ้นสุดอยู่
เราจะต้องเป็นผู้ที่รู้ในฌาน เพื่อกระทำฌานดับความที่เรายินดีในกาม ยินดีในอกุศลธรรมในกายนี้อยู่ ละไปตามลำดับ
จะให้สิ้นเกลี้ยงก็ต้องขึ้นไปอรูปฌาน คือ
อากาสานัญจายตนะญาณในกาย
วิญญานัญจายตนะญาณในกาย
อากิญจัญญายตนะญาณในกาย
เนวสัญญานาสัญญายตนะญาณในกายให้สิ้น
บัตินั้นเมื่อเราเข้าไปสู่ความเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว เราถึงจะกล่าวได้ว่า กายนี้ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เราก็รู้ว่าไม่ใช่ของเราจริงๆเพราะเราละแล้ว
และไม่ใช่ของใครอื่น ใครก็ทำให้เกิดไม่ได้ ไม่มีใครมามีสิทธิ์ในกายนี้ แต่กายนี้เป็นเพราะเหตุเพราะปัจจัยแห่งกรรมของสรรพสัตว์ที่กระทำอยู่เท่านั้น
เมื่อเรารู้วิบากกรรม เราก็กระทำกรรมนั้นให้สิ้น เป็นเหตุเป็นปัจจัยของอจินไตย4 เมื่อเรารู้เหตุเกิดทุกข์ รู้เหตุดับทุกข์ คือ พุทธวิสโย
เรากระทำฌาน หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด จนไปถึงสัญญาเวทยิตนิโรธจากกายได้ เราจึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้ชัดในกาย รู้กรรมของกายนี้ ทำกรรมในกายนี้ให้สิ้น
เมื่อนั้นเราจึงเป็นผู้รู้ในกายนี้แจ่มแจ้ง หรือรู้ในโลกนี้แจ่มแจ้ง กายที่ยังอยู่ในวัฏสงสารกับกายที่เข้าไปสู่สภาวะที่เป็นนิพพานปรินิพพานต่างกันอย่างไรเราจะรู้ตอนนั้น
ถ้าถึงตอนนั้นแล้ว เราจึงควรจะกล่าวได้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นของเรา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเราดังนี้ เพราะเรารู้ชัด
ตอนนี้พูดให้รู้ว่าอย่าเพิ่งพูดว่า กายนี้ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย และก็ไม่ใช่ของใครอื่น เพราะเรายังละกายไม่ได้ กระทำที่สุดแห่งกายยังไม่ได้ อย่าเพิ่งพูดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นของเรา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเราดังนี้อย่าเพิ่ง
แต่เราต้องตระหนักว่า เราจะต้องกระทำการละกายนี้ให้สิ้นด้วยการกระทำฌาน
ในฐานะผู้ที่เป็นพุทธวิสโย คือ เป็นผู้รู้เหตุเกิดของทุกข์ และรู้วิธีดับทุกข์
รู้ฌานวิสโย คือ รู้การกระทำความดับทุกข์ด้วยการกระทำฌานให้สิ้นในกายนี้
รู้กรรมวิปาโก คือ รู้ผลของกรรมของกายนี้กระทำให้สิ้นไป
รู้โลกกินตา รู้โลกเก่าของกายนี้ และรู้โลกใหม่ของกายนี้ เราต้องเป็นผู้รู้ดังนี้
ดังนั้น ถ้าเราจะดูที่สุดของการกระทำกายให้สิ้น เราดูที่มหาสติปัฏฐานสูตรในข้อต้น ที่พระพุธเจ้าท่านตรัสว่า กายในกาย ภิกษุที่จะเห็นกายในกายได้ ต้องเห็นอย่างไร
พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง
พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
พิจารณาเห็น ธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง
พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง
ตรงนี้คำว่าเกิดขึ้นและเสื่อมไป หรือ เกิดขึ้นและดับลง คือ เราเห็นความทุกข์เกิดขึ้น และกระทำการดับทุกข์โดยการกระทำฌานแล้ว
มหาสติปัฏฐานสูตรเคยอธิบายแล้วว่า บอกแล้วว่าจะต้องกระทำฌานในข้อสุดท้ายสัมมาสมาธิเท่านั้น คำว่าเห็นความเกิดและเห็นความเสื่อม เห็นความเกิดขึ้นของกองทุกข์ และกระทำความดับทุกข์ให้เสื่อมให้สิ้นไป เราต้องเป็นผู้รู้ในขั้นตอนนี้ นี้คือกายในกาย การดูมหาสติปัฏฐานสูตร
และเมื่อตรัสว่าดังพรรณนามาฉะนี้มาตามลำดับ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก จนที่ว่าภิกษุเป็นผู้เห็นธรรมที่เกิดขึ้นและเสื่อมไปในกายบ้าง อันเป็นลำดับที่6
พระองค์ท่านก็จะตรัสต่อท้ายว่า อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิ ไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก
จากเนื้อความแห่งธรรมเราจะเห็นว่าไม่ใช่ว่ากายไม่มี มีอยู่ แต่ว่าสักแต่ว่าความรู้ รู้ว่ามีเท่านั้น สักแต่ว่าอาศัยระลึก ระลึก คือ กระทำความรู้เหตุเกิดทุกข์ และทำความดับทุกข์คือระลึก เห็นเหตุเกิดทุกข์ และทำความดับทุกข์ อาศัยกระทำเพื่อความสิ้นทุกข์
เธออันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว หมายถึงเรามีชีวิตอยู่ มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่กระทำกับอายตนะภายนอกเพื่อเอามาเลี้ยงชีวิตเราให้ดำเนินชีวิตไปจนถึงที่สุดแห่งการมีชีวิต
เรากระทำด้วยความที่ไม่มีตัณหากระทำด้วยที่ทิฏฐิ ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว
และคำสุดท้ายบอกว่า และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก ไม่ใช่ไม่มีร่างกายนะ มีอยู่นะ แต่เราไม่ถือมั่น นี่คือความสำคัญในธรรมอันลึกซึ้งขององค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
วันนี้มาชี้ให้ดูว่าเบื้องต้นเราต้องรู้ว่าเรามีร่างกายนะ และร่างกายนี้เราจะต้องกระทำฌานเพื่อละร่างกายนี้ เพื่อจะได้หลุดพ้นจากวัฏสงสารด้วยการกระทำฌานนี้
ที่สำคัญคือให้เราตระหนักว่าเรามีร่างกายอยู่ กายที่ต้องไปตามอำนาจแห่งกรรม5 ที่ต้องไปในวัฏสงสาร ถ้าเราปรารถนาที่จะกระทำความทุกข์ให้สิ้น เราจะต้องกระทำกิจด้วยการฟัง
ที่ต้องฟังเนืองๆ จำติดปาก จำขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิ แล้วได้อนิสงส์แห่งการฟังธรรม 4 ประการ แล้วบรรลุอจินไตย4 ดังที่ชี้ให้ได้เห็นมาโดยลำดับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา