22 มิ.ย. เวลา 08:15 • สุขภาพ

ภาวะ OSA และ OHS คืออะไร ? อันตรายไหม ?

Obstructive Sleep Apnea (OSA) และ Obesity Hypoventilation Syndrome (OHS) เป็นภาวะความผิดปกติของการหายใจที่เกี่ยวเนื่องกับโรคอ้วนและมักเกิดร่วมกัน แต่ทั้งสองภาวะมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญในแง่ของพยาธิสรีรวิทยา เกณฑ์การวินิจฉัย และแนวทางการรักษา การทำความเข้าใจในความแตกต่างนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพยากรณ์โรคและการวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
ตารางแสดงความแตกต่าง OSA และ OHS
Obstructive Sleep Apnea (OSA)
พยาธิสรีรวิทยาของ OSA มีศูนย์กลางอยู่ที่ ความผิดปกติทางกายวิภาคและประสาทกล้ามเนื้อ (Anatomical & Neuromuscular Compromise) ของทางเดินหายใจส่วนบน
-- การยุบตัวของทางเดินหายใจ: ระหว่างการนอนหลับ โดยเฉพาะช่วง REM sleep จะมีการลดลงของ Muscle tone ของกล้ามเนื้อที่ช่วยขยายทางเดินหายใจส่วนบน (Upper airway dilator muscles) ในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยง (เช่น Retrognathia, Macroglossia, การสะสมไขมันบริเวณผนังคอ) ทำให้ทางเดินหายใจยุบตัวลงเมื่อเกิดแรงดันลบขณะหายใจเข้า
-- Gas Exchange Abnormality: การอุดกั้นทำให้เกิด Apnea/Hypopnea ส่งผลให้เกิดภาวะ Hypoxemia และ Hypercapnia เป็นช่วงๆ (Intermittent) ในตอนกลางคืน อย่างไรก็ตาม กลไกการควบคุมการหายใจ (Ventilatory control) ในขณะตื่นยังคงปกติ ทำให้สามารถกำจัด CO_2 ส่วนเกินออกไปได้ ส่งผลให้ระดับ PaCO_2 ในขณะตื่นอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ภาพประกอบจาก Mayo clinic
Obesity Hypoventilation Syndrome (OHS)
พยาธิสรีรวิทยาของ OHS มีความซับซ้อนกว่าและเป็นผลจากหลายปัจจัยร่วมกัน นำไปสู่ ภาวะหายใจแผ่วอย่างต่อเนื่อง (Sustained Hypoventilation)
-- Mechanical Load จากภาวะอ้วน
Restrictive Physiology: ไขมันที่สะสมปริมาณมากบริเวณทรวงอกและช่องท้อง (Chest wall and abdominal fat) เพิ่มภาระการทำงานของระบบหายใจ (Increased work of breathing) และจำกัดการขยายตัวของปอด ทำให้เกิด Restrictive ventilatory pattern ลดลงทั้ง Functional Residual Capacity (FRC) และ Expiratory Reserve Volume (ERV)
-- ความผิดปกติของศูนย์ควบคุมการหายใจ (Altered Central Ventilatory Control)
Blunted Chemoreceptor Response: ผู้ป่วย OHS มีการตอบสนองของ Central chemoreceptors ต่อระดับ CO_2 (Hypercapnic ventilatory response) และ O_2 (Hypoxic ventilatory response) ที่ลดลง กล่าวคือ แม้ระดับ PaCO_2 จะสูงขึ้น สมองก็ไม่สั่งการให้หายใจเร็วและลึกขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น
ความสัมพันธ์และภาวะที่เกิดร่วมกัน (Overlap)
OHS ส่วนใหญ่มี OSA: ประมาณ 90% ของผู้ป่วยที่วินิจฉัย OHS มีภาวะ OSA ร่วมด้วย (โดยส่วนใหญ่อยู่ในระดับรุนแรง)
OSA ส่วนน้อยที่เป็น OHS: มีผู้ป่วย OSA เพียง 10-20% เท่านั้นที่จะพัฒนาไปเป็น OHS
ดังนั้น OHS จึงไม่ได้เป็นเพียงผลลัพธ์สุดท้ายของ OSA ที่รุนแรง แต่เป็นภาวะที่แตกต่างซึ่งมีปัจจัยทางพยาธิสรีรวิทยาอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง
ผู้ป่วยกลุ่ม "Overlap" (OHS with coexistent OSA) มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนทางระบบหัวใจและหลอดเลือด (เช่น Pulmonary Hypertension, Cor Pulmonale) และมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าผู้ป่วยที่มี OSA เพียงอย่างเดียวอย่างมีนัยสำคัญ
” แล้วเราควรเฝ้าระวังเมื่อไร ? “
การคัดกรองภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea: OSA)
การคัดกรอง OSA ควรทำในเชิงรุกเมื่อพบปัจจัยเสี่ยงและอาการ มากกว่าจะรอให้ผู้ป่วยแสดงอาการชัดเจนทั้งหมด เนื่องจากผู้ป่วยจำนวนมากไม่ตระหนักถึงความผิดปกติของตนเอง
ควรเริ่มคัดกรองเมื่อใด?
** เมื่อมีอาการและอาการแสดงที่น่าสงสัย (Suggestive Symptoms and Signs):
ไม่ว่าค่า BMI จะเป็นเท่าไร หากผู้ป่วยมีอาการเหล่านี้ ควรเริ่มกระบวนการคัดกรองทันที:
อาการสำคัญ (Cardinal Symptoms):
-- นอนกรนเสียงดัง (Loud, habitual snoring): เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด
-- มีผู้สังเกตเห็นว่าหยุดหายใจขณะหลับ (Witnessed apneas): มีความจำเพาะสูง
-- ง่วงนอนมากผิดปกติในเวลากลางวัน (Excessive daytime sleepiness - EDS): ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและการทำงาน
เครื่องมือคัดกรองเชิงปฏิบัติ: STOP-BANG Questionnaire
เป็นเครื่องมือที่ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงในการประเมินความเสี่ยง OSA ในเวชปฏิบัติ
-S Snoring: นอนกรนเสียงดังหรือไม่?
-T Tired: รู้สึกอ่อนเพลียหรือง่วงนอนตอนกลางวันบ่อยหรือไม่?
-O Observed: มีคนเคยสังเกตว่าคุณหยุดหายใจขณะหลับหรือไม่?
-P Pressure: มีหรือกำลังรักษาโรคความดันโลหิตสูงหรือไม่?
-B BMI: ดัชนีมวลกาย > 35 kg/m² หรือไม่?
-A Age: อายุ > 50 ปี หรือไม่?
-N Neck circumference: เส้นรอบคอ > 40 ซม. หรือไม่?
-G Gender: เพศชายหรือไม่?
การแปลผล:
ความเสี่ยงสูง (High Risk): ตอบ "ใช่" ≥ 3 ข้อ
ความเสี่ยงต่ำ (Low Risk): ตอบ "ใช่" < 3 ข้อ
หากมีลักษณะอาการดังกล่าว อาจพิจารณาสอบถามแพทย์ที่ตรวจทางด้านนี้โดยตรงได้
ตารางแสดง Prevalence ของ OSA
การคัดกรองภาวะอ้วนและหายใจแผ่ว (Obesity Hypoventilation Syndrome: OHS)
การคัดกรอง OHS เป็นเรื่องที่ท้าทายกว่า เพราะอาการมักจะซ้อนทับกับ OSA อย่างมาก ประเด็นสำคัญคือการมีดัชนีความสงสัย (High Index of Suspicion) ในผู้ป่วยที่ใช่
ควรเริ่มคัดกรองเมื่อใด?
***ควรมีดัชนีความสงสัย (Index of Suspicion) และพิจารณาคัดกรอง OHS ในผู้ป่วยที่มีคุณสมบัติต่อไปนี้:
1. ดัชนีมวลกาย (BMI) ที่สูงมาก:
โดยนิยาม OHS ต้องมี BMI≥30
ในทางปฏิบัติ ควรเริ่มสงสัย OHS อย่างยิ่งใน Severe Obesity (BMI≥40 ) ที่มาด้วยอาการของ Sleep-disordered breathing
2. เมื่อมีอาการแสดงของภาวะคาร์บอนไดออกไซด์คั่ง (Hypercapnia) หรือ หัวใจห้องขวาล้มเหลวที่มีสาเหตุจากแรงดันในปอดสูงแบบเรื้อรัง (Cor Pulmonale ):
-- ในผู้ป่วยโรคอ้วน (โดยเฉพาะ BMI > 35) ที่มีอาการของ OSA หากพบอาการเหล่านี้ร่วมด้วย ต้องสงสัย OHS ทันที:
-- หายใจเหนื่อยง่าย (Dyspnea on exertion) ที่ดูไม่สมส่วนกับระดับความฟิต
-- มีอาการของหัวใจห้องขวาผิดปกติ (Rt.side heart failure) เช่น บวมตามร่างกาย , อาการบวมที่ขาหรือข้อเท้า (Peripheral edema)
-- มีภาวะ Hypoxemia ขณะตื่น (Awake hypoxemia): ผู้ป่วย OSA ทั่วไปมักมี SpO2 ขณะตื่นปกติ (>94%) หากพบว่าผู้ป่วยอ้วนมี Resting SpO2 ต่ำกว่า 94-95% โดยไม่มีโรคปอดอื่นอธิบาย ควรสงสัย OHS
ตารางแสดง prevalence of OHS
"ทำไมภาวะ OHS ถึงอันตราย ?? “
จากข้อมูลพบว่ามีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในผู้ป่วยที่มีภาวะ OHS ที่ไม่ได้ทำการรักษา
1. กลุ่มผู้ป่วย OHS ที่ไม่ได้รับการรักษา (Untreated OHS)
นี่คือกลุ่มที่มีพยากรณ์โรคเลวร้ายที่สุด และแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงตามธรรมชาติของโรค (Natural history)
อัตราการเสียชีวิตสูงอย่างมีนัยสำคัญ: ข้อมูลจากการศึกษาก่อนยุคที่ PAP therapy เป็นที่แพร่หลาย และจากการศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยที่ปฏิเสธการรักษา แสดงให้เห็นอัตราการเสียชีวิตที่น่ากังวลอย่างยิ่ง
-- ที่ประมาณ 2 ปี: อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ประมาณ 23% - 30%
-- ที่ประมาณ 5 ปี: อัตราการเสียชีวิตอาจสูงถึง 46% ในบางการศึกษา
-- ที่ 10 ปี: ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนนัก เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเสียชีวิตหรือได้รับการรักษาก่อนถึงจุดนั้น แต่คาดว่าอัตราการรอดชีวิตจะต่ำมาก
สาเหตุหลักของการเสียชีวิต: ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะแทรกซ้อนทางระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลวข้างขวา (Right Heart Failure), โรคหลอดเลือดหัวใจ, Pulmonary Hypertension, และภาวะการหายใจล้มเหลวเฉียบพลันซ้อนทับเรื้อรัง (Acute-on-chronic hypercapnic respiratory failure)
2. กลุ่มผู้ป่วย OHS ที่ได้รับการรักษา (แต่ไม่ใช่การลดน้ำหนัก)
การรักษาหลักในกลุ่มนี้คือการใช้ Positive Airway Pressure (PAP) therapy เช่น CPAP หรือ BPAP ซึ่งเป็นการรักษาที่ช่วยประคับประคองและช่วยชีวิต แต่ไม่ได้ทำให้โรคหายขาด
อัตราการรอดชีวิตดีขึ้นอย่างมาก: PAP therapy สามารถลดอัตราการเสียชีวิตลงได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับการรักษา
-- ที่ 2 ปี: อัตราการรอดชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น >90%
-- ที่ 5 ปี: อัตราการรอดชีวิตอยู่ที่ประมาณ 70% - 85%
-- ที่ 10 ปี: อัตราการรอดชีวิตอยู่ที่ประมาณ 70-75%
แม้ว่าอัตราการรอดชีวิตจะดีขึ้นอย่างมหาศาล แต่ก็ยังคงต่ำกว่าประชากรทั่วไปหรือผู้ป่วย OSA ที่ไม่มีภาวะ Hypoventilation เนื่องจากผู้ป่วยยังคงมีภาวะอ้วนรุนแรงและโรคร่วมอื่นๆ อยู่
3. กลุ่มผู้ป่วย OHS ที่รักษาด้วยการลดน้ำหนักอย่างมีนัยสำคัญ
นี่คือการรักษาที่มุ่งเป้าไปที่ต้นตอของปัญหาโดยตรง และเป็นการรักษาเดียวที่สามารถทำให้ OHS เข้าสู่ภาวะโรคสงบ (Remission) หรือหายขาด (Cure) ได้ การลดน้ำหนักในระดับที่รวดเร็วและได้ผลที่แน่นอน มักต้องอาศัยการผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดความอ้วน
กลไก: การลดน้ำหนัก 25-30% ของน้ำหนักตัว หรือการลด BMI ลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 35 kg/m² สามารถทำให้ OHS หายขาดได้ในผู้ป่วยมากกว่า 70-80%
อัตราการรอดชีวิต (Survival Rate): เมื่อผู้ป่วยไม่มีภาวะ OHS แล้ว อัตราการเสียชีวิตส่วนเกินที่เกิดจาก OHS (OHS-attributable mortality) จะหมดไป
พยากรณ์โรคของผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเปลี่ยนไปใกล้เคียงกับ กลุ่มคนอ้วนที่ไม่มีภาวะ OHS (Eucapnic obesity) ซึ่งมีอัตราการรอดชีวิตสูงกว่ากลุ่ม OHS อย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้น แม้จะไม่มีตัวเลขที่ชัดเจนสำหรับ 2, 5, 10 ปี แต่สามารถกล่าวได้ว่า อัตราการรอดชีวิตจะเข้าใกล้ประชากรทั่วไปที่มีโปรไฟล์ของโรคร่วมใกล้เคียงกัน ความเสี่ยงที่เหลืออยู่จะมาจากผลของภาวะอ้วนที่ยังคงอยู่ (เช่น โรคเบาหวาน, ความดัน) ไม่ใช่จากภาวะหายใจแผ่วอีกต่อไป
หลังจากได้รับรู้และตระหนักถึงภาวะ OSA และ OHS แล้ว ลองตรวจสอบตัวเองและคนใกล้ตัวดูนะครับ ว่ามีความเสี่ยงหรือมีปัญหานี้หรือไม่ หากสงสัยสามารถลองประเมินเบื้องต้นหรือปรึกษาแพทย์ทางด้านนี้ได้ครับ
อ่านบน FB ได้ที่นี่
โฆษณา