ตายแล้วเกิดเป็นนกยาง ?

พระอินทร์หรือท้าวสักกเทวราชองค์ปัจจุบันนั้นสมัยเป็นมนุษย์มีชื่อว่า มฆมาณพ ได้ปฏิบัติวัตตบท 7 และทำบุญสังคมสงเคราะห์เพราะเกิดในยุคที่ไม่มีพระพุทธศาสนา
โดยวัตตบท 7ได้แก่ บำรุงมารดาบิดา ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล พูดคำสัตย์ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด กำจัดความตระหนี่ด้วยการให้ทาน และไม่โกรธ แต่ถ้ามีความโกรธเกิดขึ้นเพราะยังไม่หมดกิเลสก็จะรีบละเสียโดยทันที
บุญสังคมสงคราะห์นั้นมฆมาณพได้ร่วมกันทำกับสหายอีก 32 คน โดยได้สร้างถนน และสร้างศาลาบริเวณทาง 4 แยกเพื่อให้ผู้คนได้ใช้เป็นสาธารณประโยชน์
มฆมาณพมีภรรยา 4 คน คือนางสุนันทา สุจิตรา สุธรรมา และสุชาดา โดยนางสุธรรมาได้ทำบุญร่วมกับสามีโดยการสร้างช่อฟ้าและป้ายติดที่ศาลานั้น นางสุนันทาได้สร้างสระไว้ใกล้ศาลาเพื่อให้ผู้คนได้ดื่มและอาบ ส่วนนางสุจิตราได้สร้างสวนดอกไม้อันน่ารื่นรมย์ ปลูกไม้ดอกนานาชนิดไว้ใกล้ศาลานั้น
แต่นางสุชาดาคิดว่า “เราเป็นทั้งลูกลุงของนายมฆะ เป็นทั้งภรรยา บุญที่นายมฆะนั่นทำแล้วก็เป็นของเราเหมือนกัน บุญที่เราทำแล้วก็เป็นของนายมฆะนั่นเหมือนกัน” จึงไม่ทำอะไรๆมัวแต่แต่งตัวไปวันๆ
เมื่อมฆมาณพและสหาย 32 คน ละโลกแล้ว มฆมาณพได้เกิดเป็นพระอินทร์ ส่วนสหาย 32 คน ก็ได้เกิดเป็นเทพบุตรบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เช่นกัน สำหรับภรรยา คือ นางสุนันทา สุจิตรา สุธรรมา ก็ได้เกิดเป็นเทพธิดาและเป็นมเหสีของพระอินทร์ด้วยบุญที่ตนได้ร่วมทำกับสามีสมัยเป็นมนุษย์
ส่วนนางสุชาดาเมื่อถึงแก่กรรมแล้วได้เกิดเป็นนางนกยางในซอกเขาแห่งหนึ่งเพราะไม่ได้ทำบุญใดๆเลย วันหนึ่ง พระอินทร์ตรวจดูว่า นางสุชาดาเกิดที่ไหน ก็เห็นว่า เกิดเป็นนกยางจึงเสด็จมาโปรด โดยแสดงตนให้รู้ว่า พระองค์ คือ อดีตสามีของนาง แล้วได้พานางนกยางนั้นขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อให้ดูทิพยสมบัติของเทพธิดาสุนันทา สุจิตรา และสุธรรมา
พระอินทร์นำนางนกยางนั้นไปปล่อยไว้ริมฝั่งสระสวรรค์ชื่อนันทาแล้วตรัสบอกพระมเหสีทั้งสามว่า “พวกหล่อนจะดูนางสุชาดาสหายของพวกหล่อนไหม ?” มเหสีทูลถามว่า นางอยู่ที่ไหนเล่า ? พระเจ้าข้า พระอินทร์ตรัสว่า อยู่ริมฝั่งโบกขรณีชื่อนันทา
พระมเหสีทั้งสามนั้นเสด็จไปในที่นั้น เมื่อเห็นแล้วได้เยาะเย้ยว่า “โอ รูปของแม่เจ้า โอ ผลของการแต่งตัวจงดูจะงอยปากดูแข้ง ดูเท้า ของแม่เจ้าอัตภาพของแม่เจ้าช่างงามแท้” เมื่อเยาะเย้ยแล้วก็จากไป
พระอินทร์เสด็จได้ไปหานางนกยางอีกแล้วตรัสถามว่า “เจ้าพบหญิงสหายแล้วหรือ ?” เมื่อนางทูลว่า “พระมเหสีทั้งสามนั้นหม่อมฉันได้พบแล้ว เขาพากันเยาะเย้ยหม่อมฉันแล้วก็ไป ขอพระองค์โปรดนำหม่อมฉันไปที่ซอกเขานั้นตามเดิมเถิด” แล้วก็ทรงนำนางนั้นไปที่ซอกเขานั้นแต่ได้ตรัสถามว่า “เจ้าเห็นสมบัติของหญิงทั้งสามนั้นแล้วหรือ ?”
นางนกยางทูลตอบว่า หม่อมฉันเห็นแล้ว พระเจ้าข้า พระอินทร์ตรัสว่า เจ้าก็ควรสร้างบุญเพื่อเป็นเหตุให้ได้ไปเกิดที่นั้น นางนกยางถามว่า จักทำอย่างไรเล่า ? พระเจ้าข้า พระอินทร์ตรัสว่า เจ้าจักทำตามโอวาทของเราได้ไหม ? นางนกยางตอบว่า ทำได้ พระเจ้าข้า
จากนั้นพระอินทร์ก็แนะนำให้นางนกยางรักษาศีล ให้กินแต่ปลาตาย แล้วจะมีบุญได้ไปเกิดเป็นเทพธิดา นางนกยางนั้นจึงตั้งใจรักษาศีล กินเฉพาะปลาที่ตายแล้วเท่านั้น จึงได้กินบ้าง ไม่ได้กินบ้าง ในไม่นานก็ตายแล้วไปเกิดเป็นธิดาของช่างหม้อในเมืองพาราณสี
เมื่อนางอายุได้ 15-16 ปี พระอินทร์ก็มาหาอีก แล้วได้แนะนำให้นางรักษาศีลต่อไป เมื่อนางละโลกแล้วได้ไปเกิดเป็นเทพธิดาโดยเป็นธิดาจอมอสูรเวปจิตติ ด้วยบุญที่นางได้รักษาศีลมา 2 ชาติ คือ สมัยเป็นนกยาง และสมัยเป็นมนุษย์ ส่งผลให้นางเทพธิดานั้นมีรูปสวย ผิวพรรณดุจทองคำ ต่อมาพระอินทร์ได้มารับนางสุชาดาเทพธิดาไปเป็นมเหสีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ข้อคิด และแหล่งอ้างอิง
1. การถูกเยาะเย้ยเป็นแรงผลักดันสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้นางนกยางตั้งใจรักษาศีลโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน กินเฉพาะปลาที่ตายแล้วเท่านั้นซึ่งหายาก ทำให้นางนกยางอายุสั้น เพราะได้กินบ้าง ไม่ได้กินบ้าง จึงตายก่อนวัยอันควรแล้วไปเกิดเป็นมนุษย์ด้วยบุญที่ได้รักษาศีลนั้น เมื่อได้สร้างบุญต่อตอนเป็นมนุษย์ละโลกแล้วจึงได้ไปเกิดเป็นเทพธิดาและได้เป็นพระมเหสีของพระอินทร์ในที่สุด
2. เมื่อเราถูกเยาะเย้ยจะด้วยเหตุใดก็ตาม ไม่ต้องไปโกรธเคืองใครเพราะจะมีวิบากกรรม แต่ให้ใช้คำเยาะเย้ยนั้นผลักดันตัวเอง สร้างบุญ ขยันทำงาน สร้างความดีให้ยิ่งๆขึ้นไป ในที่สุดเราก็จะประสบความสำเร็จได้
3. พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย เล่ม 40 หน้า 356 - 378
ธรรมะในพระไตรปิฎก

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา