30 มิ.ย. เวลา 12:27 • สุขภาพ

แนวทางการลดน้ำหนักและการรักษาตั้งแต่พื้นฐานถึงการแพทย์ขั้นสูง part 2

มาต่อจากคราวที่แล้วกันนะครับ
แบบที่ 2. การรักษาด้วยยา (Pharmacotherapy)
สำหรับผู้ที่ไม่สามารถลดน้ำหนักได้ตามเป้าหมายด้วยการปรับพฤติกรรมเพียงอย่างเดียว หรือมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ การใช้ยาอาจเป็นทางเลือกเสริมที่มีประสิทธิภาพ
ข้อบ่งชี้ในการใช้ยาลดน้ำหนัก
โดยทั่วไป แพทย์จะพิจารณาใช้ยาเมื่อ
1. ดัชนีมวลกาย (BMI) >30 kg/m²
2. ดัชนีมวลกาย (BMI) >27 kg/m² และมีโรคร่วมที่เกี่ยวข้องกับความอ้วน (Obesity-related comorbidities) อย่างน้อย 1 อย่าง
- เบาหวาน (DM)
- ความดันโลหิตสูง (Hypertension)
- ไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia) : แต่โดยทั่วไป DLP จัดเป็นภาวะที่ถูกควบคุมได้ง่ายด้วยยากลุ่ม Statin ; ในขณะที่ DM , HT จัดเป็นภาวะที่มีความสัมพันธ์กับน้ำหนักมากกว่า
สิ่งสำคัญ: การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ และต้องทำควบคู่ไปกับการควบคุมอาหารและออกกำลังกายเสมอ ไม่สามารถใช้ทดแทนกันได้
กลุ่ม GLP-1 Receptor Agonists (Liraglutide, Semaglutide ) และ Dual GIP / GLP-1RA (Tirzepatide)
• กลไก: เป็นกลุ่มยาที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน เดิมทีใช้รักษาเบาหวาน แต่พบว่ามีประสิทธิภาพสูงในการลดน้ำหนัก ออกฤทธิ์เลียนแบบฮอร์โมน GLP-1 ในร่างกาย ซึ่งมีผลหลายอย่าง
-- ออกฤทธิ์ที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส: ทำให้รู้สึก อิ่มเร็วขึ้นและนานขึ้น ลดความอยากอาหาร
-- ชะลอการบีบตัวของกระเพาะอาหาร (Delayed gastric emptying): ทำให้อาหารอยู่ในกระเพาะนานขึ้น จึงรู้สึกอิ่มนาน
-- กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน (เมื่อระดับน้ำตาลสูง): ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น
ประสิทธิภาพในการรักษา (Efficacy)
-- Liraglutide : ลดน้ำหนักได้เฉลี่ยประมาณ 5% ถึง 8% ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น หลังการรักษา 56-68 สัปดาห์
-- Semaglutide : ลดน้ำหนักได้เฉลี่ยประมาณ 12% ถึง 17% ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น หลังการรักษา 68 สัปดาห์ (STEP trial program) ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่า Liraglutide อย่างมีนัยสำคัญ
-- Tirzepatide : ซึ่งมีการเสริมฤทธิ์โดยเพิ่ม GIP ลดน้ำหนักได้เฉลี่ยประมาณ 15% (5 mg), 20% (10 mg) และสูงถึง 22.5% (15 mg) ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น หลังการรักษา 72 สัปดาห์ (SURMOUNT-1 trial) โดยทั่วไป Tirzepatide แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักที่สูงที่สุดในบรรดาทั้งสามตัว
• ข้อดี: เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงในการลดน้ำหนักและมีประโยชน์เพิ่มเติมในการลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
• ข้อเสีย: เป็นยาฉีดใต้ผิวหนัง (รายวันหรือรายสัปดาห์) ผลข้างเคียงที่พบบ่อยคือ คลื่นไส้, อาเจียน, ท้องผูก/ท้องเสีย ซึ่งมักจะดีขึ้นเมื่อร่างกายปรับตัวได้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
ข้อควรระวังและข้อห้ามใช้ที่สำคัญ (Important Precautions and Contraindications)
-- ประวัติส่วนตัวหรือครอบครัวเป็นโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ชนิด Medullary Thyroid Carcinoma (MTC) หรือกลุ่มอาการ Multiple Endocrine Neoplasia syndrome type 2 (MEN 2): เป็นข้อห้ามใช้สำหรับยาทั้งสามชนิดนี้ เนื่องจากมีการศึกษาในสัตว์ทดลองพบความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของ C-cell tumors ในต่อมไทรอยด์
-- ประวัติการแพ้ยา (Hypersensitivity) ต่อตัวยาหรือส่วนประกอบใดๆ ในยา
-- ภาวะตับอ่อนอักเสบ (Pancreatitis): ควรระมัดระวังในผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นตับอ่อนอักเสบ หากมีอาการปวดท้องรุนแรงต่อเนื่อง ควรรีบพบแพทย์
-- Gastrointestinal Disease: ควรใช้ด้วยความระมัดระวังในผู้ป่วยที่มีโรคทางเดินอาหารรุนแรง เช่น Gastroparesis เนื่องจากยากลุ่มนี้มีผลชะลอการบีบตัวของกระเพาะอาหาร
-- Gallbladder Disease: มีรายงานการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีและถุงน้ำดีอักเสบ
กลุ่ม Orlistat
• กลไก: ออกฤทธิ์ที่ลำไส้โดยตรง โดยยับยั้งเอนไซม์ Pancreatic Lipase ทำให้ ลดการดูดซึมไขมันจากอาหาร ที่รับประทานเข้าไปประมาณ 30% ไขมันที่ไม่ถูกดูดซึมจะถูกขับออกทางอุจจาระ
• ข้อควรระวัง: ผลข้างเคียงที่พบบ่อยคืออุจจาระมีไขมันปน (Steatorrhea), ผายลมบ่อย, ปวดท้อง และอาจรบกวนการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน (A, D, E, K)
แบบที่ 3. การผ่าตัดกระเพาะอาหาร (Bariatric Surgery)
การผ่าตัดเป็นเครื่องมือการรักษาโรคอ้วนที่ มีประสิทธิภาพสูงสุดในระยะยาว สำหรับผู้ที่เป็นโรคอ้วนระดับรุนแรง (Severe Obesity) ช่วยให้น้ำหนักลดลงอย่างมีนัยสำคัญและทำให้อาการของโรคร่วมต่างๆ ดีขึ้นหรือเป็นปกติ (Remission) ได้โดยเฉพาะเบาหวานชนิดที่ 2 (DM type 2)
ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัด
ตามแนวทางสากล การผ่าตัดจะถูกพิจารณาเมื่อ
1. ดัชนีมวลกาย (BMI) >40 kg/m²
2. ดัชนีมวลกาย (BMI) >35 kg/m² ร่วมกับ มีโรคร่วมที่เกี่ยวข้องกับความอ้วนที่รุนแรง เช่น
-- OSA และ/หรือ OHS
-- ภาวะอื่นๆ ที่เคยกล่าวไว้ในบทความเรื่อง “อ้วนแบบไหนอันตราย ควรพบแพทย์เร่งด่วน“
3. ในคนเอเชีย อาจพิจารณาใช้เกณฑ์ BMI ที่ต่ำกว่านี้ (เช่น >35 หรือ >32.5 ร่วมกับโรคร่วม) เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อโรคร่วมที่ BMI ต่ำกว่า
ผู้ป่วยต้องผ่านการประเมินความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ และต้องมีความมุ่งมั่นที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างถาวรหลังการผ่าตัด
Sleeve Gastrectomy (การผ่าตัดกระเพาะเป็นรูปแขนเสื้อ)
หลักการ: สามารถทำผ่านการส่องกล้องได้ (Laparoscopic) เป็นการผ่าตัดแบบ Restrictive ศัลยแพทย์จะทำการตัดกระเพาะอาหารส่วนใหญ่ออกไป (ประมาณ 80%) ทำให้กระเพาะอาหารมีขนาดเล็กลงคล้ายท่อหรือแขนเสื้อ
Image from Cleveland clinic 2022
กลไกการลดน้ำหนัก
-- จำกัดปริมาณอาหาร: กระเพาะที่เล็กลงทำให้รับประทานได้น้อยลงและอิ่มเร็วขึ้น
-- ลดฮอร์โมนหิว: กระเพาะส่วนที่ถูกตัดออกไป (Fundus) เป็นแหล่งผลิตฮอร์โมน Ghrelin ซึ่งเป็นฮอร์โมนกระตุ้นความหิว เมื่อฮอร์โมนนี้ลดลง ความอยากอาหารจึงลดลงไปด้วย
ข้อมูลทางสถิติและผลลัพธ์ (Evidence-Based Outcomes)
การลดน้ำหนัก: โดยเฉลี่ยผู้ป่วยสามารถลดน้ำหนักส่วนเกิน Excess Weight Loss ได้ประมาณ 55-65% หรือ Total Weight Loss ประมาณ 20-25% ในระยะยาว (5 ปีขึ้นไป)
การรักษาโรคร่วม:
-- เบาหวาน (T2DM): มีอัตรา Remission (ควบคุมน้ำตาลได้โดยไม่ต้องใช้ยา) ประมาณ 60-70%
-- ความดันโลหิตสูง: มีอัตรา Remission/Improvement ประมาณ 60-80%
-- ไขมันในเลือดผิดปกติ: มีการพัฒนาที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
Roux-en-Y Gastric Bypass (การผ่าตัดบายพาสกระเพาะอาหาร)
หลักการ: เป็นการผ่าตัดแบบผสม (Restrictive + Malabsorptive)
Image from Barilife
กลไกการลดน้ำหนัก
-- Restrictive: ศัลยแพทย์จะสร้างกระเพาะอาหารขนาดเล็ก (Stomach Pouch) ขนาดประมาณ 30 ml
-- Malabsorptive: จากนั้นจะนำลำไส้เล็กส่วนกลางมาต่อกับกระเพาะใหม่นี้ เป็นการ "บายพาส" ไม่ให้อาหารผ่านไปที่กระเพาะอาหารส่วนที่เหลือและลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการดูดซึมสารอาหารและแคลอรี่สูง
เป็นการผ่าตัดที่ได้ผลในการลดน้ำหนักมากกว่า Sleeve gastrectomy แต่ก็มีขั้นตอนที่ยุ่งยากกว่า มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนมากกว่าเช่นกัน
ชีวิตหลังการผ่าตัด: ไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่คือจุดเริ่มต้น
การผ่าตัดไม่ใช่ "ทางลัด" แต่เป็น "เครื่องมือ" ที่ทรงพลัง ผู้ป่วยต้องปรับเปลี่ยนการกินไปตลอดชีวิต ต้องรับประทานวิตามินและแร่ธาตุเสริมเพื่อป้องกันภาวะขาดสารอาหาร และต้องติดตามผลกับทีมแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา