Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หมอใกล้คุณ
•
ติดตาม
6 ชั่วโมงที่แล้ว • สุขภาพ
เบาหวานชนิดที่ 2 (DM type 2) การดำเนินโรค
บทนำ
เบาหวานชนิดที่ 2 (DM type 2) เป็นโรคเบาหวานชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดและ เป็นโรคเมตาบอลิกที่มีความซับซ้อนและมีการดำเนินโรคที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง (progressive nature) ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงธรรมชาติการเกิดโรค ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของการดื้อต่ออินซูลินไปจนถึงภาวะแทรกซ้อนในระยะท้าย เป็นกุญแจสำคัญในการวางแผนการรักษา
บทความนี้จะสรุปองค์ความรู้ใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่
1. ธรรมชาติการดำเนินโรคที่ไม่ได้รับการรักษา
2. การพยากรณ์โรคที่สัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาล
3. การเปรียบเทียบผลลัพธ์ทางคลินิกที่สำคัญในแต่ละระดับของ HbA1c
ประเด็นที่ 1 : ธรรมชาติการดำเนินโรคในรายที่ไม่ได้ทำการรักษา (Natural History of Untreated T2DM)
การดำเนินโรคของ T2DM เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ก่อนที่จะมีการวินิจฉัยอย่างเป็นทางการ สามารถแบ่งได้เป็นระยะต่างๆ ดังนี้
ระยะที่ 1 : ระยะดื้อต่ออินซูลินและระดับน้ำตาลปกติ (Insulin Resistance with Normoglycemia)
กลไก: นี่คือจุดเริ่มต้นทางพยาธิสรีรวิทยา เนื้อเยื่อส่วนปลาย (Peripheral tissues) โดยเฉพาะกล้ามเนื้อลาย (skeletal muscle), ไขมัน (adipose tissue) และตับ (liver) ตอบสนองต่ออินซูลินลดลง ทำให้ตับอ่อน (pancreas) ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหลั่งอินซูลินในปริมาณที่สูงกว่าปกติ (compensatory hyperinsulinemia) เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือด (euglycemia) ให้คงที่
ระยะเวลา: ระยะนี้สามารถคงอยู่ได้นาน 5-10 ปี หรือมากกว่านั้น โดยที่ผู้ป่วยยังไม่มีอาการและมีระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร (Fasting Plasma Glucose - FPG) และระดับ HbA1c อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ระยะที่ 2 : ระยะก่อนเบาหวาน (Prediabetes: IGT & IFG)
กลไก: เมื่อเวลาผ่านไป β-cell ของตับอ่อนเริ่มเสื่อมสภาพลง (β-cell dysfunction) และไม่สามารถผลิตอินซูลินเพื่อชดเชยภาวะดื้อต่ออินซูลินที่รุนแรงขึ้นได้อีกต่อไป ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเริ่มสูงขึ้น โดยมักจะเริ่มจากระดับน้ำตาลหลังมื้ออาหาร (Postprandial glucose) สูงขึ้นก่อน นำไปสู่ภาวะ Impaired Glucose Tolerance (IGT) และตามมาด้วยระดับน้ำตาลขณะอดอาหารที่สูงขึ้น (Impaired Fasting Glycaemia - IFG)
ระยะเวลา: โดยเฉลี่ยแล้ว บุคคลในระยะก่อนเบาหวานจะพัฒนาไปเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 เต็มรูปแบบภายใน 5-10 ปี หากไม่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ระยะที่ 3 : ระยะเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างชัดเจน (Overt T2DM)
กลไก: ณ จุดที่วินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ประมาณการว่า การทำงานของ β-cell ได้ลดลงไปแล้วอย่างน้อย 50% และจะยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องในอัตราประมาณ 4-5% ต่อปี การสูญเสียหน้าที่ของ β-cell นี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลแย่ลงเรื่อยๆ และผู้ป่วยจำนวนมากต้องการการรักษาด้วยยาหลายชนิดหรืออินซูลินในที่สุด
ระยะเวลา (ไม่ได้รับการรักษา): หากไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยจะอยู่ในภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง (chronic hyperglycemia) ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดภาวะแทรกซ้อนทั้งชนิดเฉียบพลัน (เช่น HHS) และเรื้อรัง
ระยะที่ 4 : ระยะท้ายของโรคและภาวะแทรกซ้อน (End-Stage/Advanced T2DM with Complications)
กลไก: ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรังจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อหลอดเลือดผ่านกลไกต่างๆ เช่น Advanced Glycation End-products (AGEs), Protein Kinase C (PKC) activation และ oxidative stress นำไปสู่
●
ภาวะแทรกซ้อนของหลอดเลือดขนาดเล็ก (Microvascular Complications) : จอประสาทตาเสื่อม (Retinopathy), ไตเสื่อมการทำงาน (Nephropathy), เส้นประสาทส่วนปลายเสียการทำงาน (Neuropathy)
●
ภาวะแทรกซ้อนของหลอดเลือดขนาดใหญ่ (Macrovascular Complications) : เส้นเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease) , โรคหลอดเลือดในสมอง (Cerebrovascular Disease), โรคของหลอดเลือดส่วนปลาย (Peripheral Arterial Disease)
ระยะเวลา (ไม่ได้รับการรักษา): โดยทั่วไป ภาวะแทรกซ้อนทางหลอดเลือดขนาดเล็กจะเริ่มปรากฏให้เห็นหลังจากการวินิจฉัยประมาณ 10-15 ปี และภาวะแทรกซ้อนทางหลอดเลือดขนาดใหญ่จะปรากฏในเวลาใกล้เคียงกันหรือเร็วกว่านั้น และเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิต
สรุป Timeline (โดยประมาณและไม่ได้รับการรักษา)
Insulin Resistance → Prediabetes: ~5-10 ปี
Prediabetes → Overt T2DM: ~5-10 ปี
Overt T2DM → Significant Complications: ~10-20 ปี
ประเด็นที่ 2 : การพยากรณ์โรคตามระดับ HbA1c ที่ดีขึ้น (Prognosis by HbA1c improvement)
การควบคุมระดับ HbA1c มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน ข้อมูลที่สำคัญที่สุดมาจาก United Kingdom Prospective Diabetes Study (UKPDS) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์แบบ "log-linear" ระหว่างระดับ HbA1c กับผลลัพธ์ทางคลินิก
-- Microvascular Complications
●
ทุกๆ 1% ที่ลดลงของ HbA1c (เช่น จาก 9.0% เป็น 8.0%) มีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนทางหลอดเลือดขนาดเล็กลงประมาณ 37%
●
ความสัมพันธ์นี้เป็นแบบต่อเนื่อง (continuous relationship) หมายความว่ายิ่ง HbA1c ต่ำลงเท่าไหร่ (แม้จะยังไม่ถึงเป้าหมาย) ความเสี่ยงก็ยิ่งลดลง
-- Macrovascular Complications (MACE)
●
ทุกๆ 1% ที่ลดลงของ HbA1c มีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงของ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายการขาดเลือด Myocardial Infarction (MI) ลง 14% และลดการเสียชีวิตที่เกี่ยวกับเบาหวาน (diabetes-related death) ลง 21%
★
Legacy Effect: จากติดตามระยะยาวของ UKPDS พบว่ากลุ่มที่ควบคุมน้ำตาลอย่างเข้มงวด (Intensive control) ในช่วงแรกยังคงมีอัตราการเกิด MI และ all-cause mortality ต่ำกว่ากลุ่มควบคุมเดิม (conventional control) อย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าระดับ HbA1c ของทั้งสองกลุ่มจะใกล้เคียงกันแล้วในภายหลังก็ตาม สิ่งนี้บ่งชี้ว่าการควบคุมน้ำตาลให้ดีตั้งแต่เนิ่นๆ ให้ผลดีในระยะยาวอย่างมหาศาล
ดังนั้น เมื่อตัดปัจจัยเสี่ยงร่วมอื่นๆ ออกไป การลดลงของ HbA1c เพียงอย่างเดียวสามารถปรับปรุงการพยากรณ์โรคได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีผลชัดเจนและแข็งแกร่งที่สุดต่อภาวะแทรกซ้อนทางหลอดเลือดขนาดเล็ก
ประเด็นที่ 3 : Surrogate Endpoint (MACE) และ Survival เปรียบเทียบตามระดับ HbA1c
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง HbA1c กับผลลัพธ์ทางคลินิกที่ชัดเจน (Hard Endpoints) เช่น MACE และการรอดชีวิต ให้ภาพที่ซับซ้อนขึ้น
ความสัมพันธ์ระหว่าง HbA1c กับ MACE และ All-Cause Mortality:
-- ความสัมพันธ์แบบเส้นโค้ง (Curvilinear/J-shaped Relationship): สำหรับ All-cause mortality งานวิจัยเชิงสังเกตการณ์ขนาดใหญ่หลายชิ้นพบความสัมพันธ์ในลักษณะรูปตัว J (J-shaped curve)
●
HbA1c > 8.0%: ความเสี่ยงต่อ MACE และการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนและชันขึ้นเรื่อยๆ
●
HbA1c 6.5% - 7.5%: มักจะเป็นจุดที่ความเสี่ยงต่ำที่สุด (nadir) ในกลุ่ม all-cause mortality
●
HbA1c < 6.0% - 6.5%: ในผู้ป่วยบางกลุ่ม (โดยเฉพาะผู้สูงอายุ, มีโรคร่วมหลายโรค, หรือมีประวัติ severe hypoglycemia) อาจพบความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ, ความเปราะบางของผู้ป่วย (frailty) หรือเป็น reverse causality เช่น มีภาวะไตวายเรื้อรังที่เป็นสาเหตุให้น้ำตาลไม่สูงอีกต่อไป
✓
สำหรับ Diabetes-related mortality และ MACE: ความสัมพันธ์มักจะเป็นเชิงเส้น (linear) มากกว่า คือยิ่ง HbA1c สูง ความเสี่ยงก็ยิ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน
★
Precision Medicine: แนวคิด "one-size-fits-all" สำหรับเป้าหมาย HbA1c (เช่น <7.0%) ได้เปลี่ยนไปสู่แนวทางเฉพาะบุคคล (Individualized target) โดยพิจารณาจากอายุ, ระยะเวลาที่เป็นเบาหวาน, โรคร่วม, ความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลต่ำ และความคาดหวังของผู้ป่วย เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงจากการรักษา
สรุป ธรรมชาติของเบาหวานชนิดที่ 2
คือการเสื่อมถอยของการทำงานของ β-cell บนพื้นฐานของภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงหากไม่ได้รับการรักษา
การควบคุมระดับ HbA1c ให้ดีตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะแทรกซ้อนทางหลอดเลือดขนาดเล็ก และมี "legacy effect" ในการลด MACE ในระยะยาว ข้อมูลเชิงสถิติยืนยันว่าระดับ HbA1c ที่สูงขึ้นสัมพันธ์โดยตรงกับการเพิ่มขึ้นของ MACE, การเสียชีวิต และการลดลงของอายุขัย การนำเสนอข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาแบบองค์รวมและสื่อสารกับผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
การแพทย์
ความรู้รอบตัว
สุขภาพ
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
รวมความรู้เกียวกับเบาหวาน ( DM )
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย