10 ก.ค. เวลา 11:58 • สุขภาพ

เบาหวานชนิดที่ 1 ( DM type 1) คืออะไร ?

โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes Mellitus, T1DM) เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเองที่ไปทำลาย beta-cell ในตับอ่อน ส่งผลให้เกิดภาวะขาดอินซูลินอย่างสมบูรณ์และมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง แม้จะพบได้น้อยกว่าเบาหวานชนิดที่ 2 แต่ T1DM มีความจำเพาะเจาะจงทั้งในแง่ของกลไกการเกิดโรค การดำเนินโรค และแนวทางการรักษา ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจในเชิงลึกเพื่อการดูแลผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
กลไกสาเหตุ: ที่แตกต่างจากเบาหวานชนิดที่ 2
  • เบาหวานชนิดที่ 1 (T1DM)
เป็นโรคที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันต่อต้านตนเอง (Autoimmune Disease) โดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-lymphocyte และแอนติบอดี (Autoantibodies) ขึ้นมาโจมตีและทำลาย "เบต้าเซลล์" (β-cells) ในตับอ่อน ซึ่งเป็นเซลล์เพียงชนิดเดียวที่ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนอินซูลิน
กระบวนการทำลายนี้จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เองอีกต่อไปหรือผลิตได้ในระดับที่ต่ำมากจนไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ส่งผลให้กลูโคสไม่สามารถเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงานได้และเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงตามมา ปัจจัยกระตุ้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่ามีความสัมพันธ์กันระหว่างปัจจัยทางพันธุกรรม (Genetic Predisposition) โดยเฉพาะยีนในกลุ่ม HLA (Human Leukocyte Antigen) และปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น การติดเชื้อไวรัสบางชนิด
  • เบาหวานชนิดที่ 2 (T2DM)
กลไกหลักเกิดจาก ภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance) ซึ่งเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย (โดยเฉพาะที่กล้ามเนื้อ ตับ และเนื้อเยื่อไขมัน) ตอบสนองต่ออินซูลินได้ลดลง ทำให้ตับอ่อนต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อผลิตอินซูลินในปริมาณที่มากขึ้นมาชดเชย ในระยะยาวเบต้าเซลล์จะเริ่มอ่อนล้าและเสื่อมสภาพลง (β-cell Dysfunction) ทำให้การหลั่งอินซูลินลดลง แต่ไม่ได้เกิดจากการทำลายโดยระบบภูมิคุ้มกันเหมือนใน T1DM
ดังนั้น ใน T2DM จึงเป็นภาวะขาดอินซูลินแบบสัมพัทธ์ (Relative Insulin Deficiency) ควบคู่ไปกับภาวะดื้ออินซูลิน
  • ธรรมชาติของการดำเนินโรคหากไม่ได้รับการรักษา
หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษา T1DM จะมีการดำเนินโรคที่รวดเร็วและรุนแรงตามลำดับขั้นของภาวะขาดอินซูลิน
1. ระยะแรกเริ่ม (Pre-clinical Stage):
เป็นระยะที่เริ่มมีกระบวนการทำลายเบต้าเซลล์แล้ว สามารถตรวจพบ Autoantibodies ในเลือดได้ แต่ยังไม่มีอาการแสดงทางคลินิก เนื่องจากเบต้าเซลล์ที่เหลืออยู่ยังสามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอที่จะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติได้
2. ระยะแสดงอาการ (Clinical Onset):
เมื่อเบต้าเซลล์ถูกทำลายไปมากกว่า 80-90% ร่างกายจะเข้าสู่ภาวะขาดอินซูลินอย่างสมบูรณ์ ทำให้เกิดอาการคลาสสิกของเบาหวานอย่างชัดเจนและรวดเร็ว ได้แก่
  • Polyuria (ปัสสาวะบ่อยและปริมาณมาก): เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินค่าไตที่จะดูดกลับได้ (Renal Threshold) ทำให้มีน้ำตาลถูกขับออกมาทางปัสสาวะ (Glycosuria) และดึงน้ำออกไปด้วย
  • Polydipsia (กระหายน้ำบ่อย): เป็นผลจากการสูญเสียน้ำทางปัสสาวะ ทำให้ร่างกายขาดน้ำและกระตุ้นศูนย์ควบคุมการกระหายน้ำ
  • Polyphagia (หิวบ่อย กินจุ): แม้ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูง แต่เซลล์ไม่สามารถนำกลูโคสไปใช้เป็นพลังงานได้ ร่างกายจึงเข้าใจว่ากำลังขาดพลังงานและส่งสัญญาณให้รู้สึกหิว
  • Unexplained Weight Loss (น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ): เมื่อขาดอินซูลิน ร่างกายจะไม่สามารถใช้กลูโคสได้ จึงหันไปสลายไขมันและโปรตีนในกล้ามเนื้อมาใช้เป็นพลังงานแทน ทำให้มวลไขมันและกล้ามเนื้อลดลงอย่างรวดเร็ว
3. ภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลัน (Acute Complication)
หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา ภาวะขาดอินซูลินจะนำไปสู่ภาวะ Diabetic Ketoacidosis (DKA) ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่อันตรายถึงชีวิต
กลไกคือ เมื่อร่างกายสลายไขมันเป็นพลังงาน จะเกิดสารที่เป็นผลพลอยได้คือ คีโตน (Ketone Bodies) ซึ่งมีความเป็นกรด เมื่อคีโตนสะสมในเลือดปริมาณมากจะทำให้เลือดมีภาวะเป็นกรด (Metabolic Acidosis) ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง หายใจหอบลึก (Kussmaul Breathing) มีกลิ่นลมหายใจคล้ายผลไม้สุก (Fruity Breath) ซึมลง และอาจหมดสติหรือเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
  • การตรวจ Autoantibody เพื่อยืนยันการวินิจฉัย
การตรวจหาแอนติบอดีจำเพาะต่อเซลล์ตับอ่อน (Islet Autoantibodies) เป็นเครื่องมือสำคัญในการยืนยันการวินิจฉัย T1DM และช่วยแยกโรคจากเบาหวานชนิดอื่น โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ที่เริ่มมีอาการซึ่งอาจถูกวินิจฉัยผิดว่าเป็น T2DM (เรียกว่า Latent Autoimmune Diabetes in Adults - LADA) การพบ Autoantibodies ตั้งแต่หนึ่งชนิดขึ้นไปในผู้ป่วยเบาหวานจะบ่งชี้ถึงกระบวนการ Autoimmune ที่เป็นลักษณะเฉพาะของ T1DM
Autoantibodies ที่นิยมตรวจในปัจจุบัน ได้แก่
  • Glutamic Acid Decarboxylase Autoantibodies (GAD65 Abs): เป็นตัวที่พบบ่อยที่สุด (ประมาณ 70-80% ของผู้ป่วย T1DM รายใหม่) และมักจะยังคงตรวจพบได้นานหลายปีหลังการวินิจฉัย
  • Islet Antigen-2 Autoantibodies (IA-2 Abs): พบได้ประมาณ 50-70% มีความจำเพาะสูงต่อ T1DM
  • Zinc Transporter 8 Autoantibodies (ZnT8 Abs): พบได้ประมาณ 60% ของผู้ป่วย และอาจตรวจพบได้ในรายที่ GAD65 และ IA-2 ให้ผลลบ
  • Insulin Autoantibodies (IAA): พบได้บ่อยในเด็กที่เริ่มมีอาการ (โดยเฉพาะก่อนเริ่มฉีดอินซูลิน) แต่พบน้อยในผู้ใหญ่ การตรวจจะมีความแม่นยำก็ต่อเมื่อทำก่อนที่ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาด้วยอินซูลินจากภายนอก
ในทางคลินิก การตรวจ Panel ที่ครอบคลุม GAD65, IA-2 และ ZnT8 จะสามารถตรวจพบ Autoantibodies ได้ในผู้ป่วย T1DM รายใหม่มากกว่า 95%
  • แนวทางการรักษาที่มีในปัจจุบัน: มุ่งสู่การควบคุมที่แม่นยำ
เนื่องจาก T1DM เกิดจากการขาดอินซูลินโดยสมบูรณ์ เป้าหมายหลักของการรักษาจึงเป็นการให้ อินซูลินทดแทน (Insulin Replacement Therapy) ตลอดชีวิต เพื่อเลียนแบบการหลั่งอินซูลินของคนปกติให้ใกล้เคียงที่สุด ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์เป้าหมาย และป้องกันภาวะแทรกซ้อนทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง
1. การให้อินซูลิน (Insulin Therapy)
  • Multiple Daily Injections (MDI): เป็นการฉีดอินซูลินวันละหลายครั้ง ประกอบด้วย
-- Basal Insulin: อินซูลินออกฤทธิ์นาน (Long-acting) หรือปานกลาง (Intermediate-acting) ฉีดวันละ 1-2 ครั้ง เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในช่วงอดอาหารและระหว่างมื้อ
-- Bolus Insulin: อินซูลินออกฤทธิ์เร็ว (Rapid-acting) หรือสั้น (Short-acting) ฉีดก่อนอาหารแต่ละมื้อ เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลที่สูงขึ้นหลังรับประทานอาหาร
  • Continuous Subcutaneous Insulin Infusion (CSII) หรือ Insulin Pump:
-- เป็นการใช้เครื่องปั๊มอินซูลินขนาดเล็กติดตัว ซึ่งจะปล่อยอินซูลินชนิดออกฤทธิ์เร็วเข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนังอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง (Basal Rate) และผู้ใช้สามารถสั่งให้เครื่องฉีดอินซูลินเพิ่มเติม (Bolus) ก่อนมื้ออาหารได้ วิธีนี้ช่วยให้การควบคุมระดับน้ำตาลมีความยืดหยุ่นและแม่นยำกว่า MDI
2. เทคโนโลยีการติดตามระดับน้ำตาล (Glucose Monitoring)
  • Continuous Glucose Monitoring (CGM): เป็นอุปกรณ์ที่ใช้วัดระดับน้ำตาลในน้ำระหว่างเซลล์ (Interstitial Fluid) อย่างต่อเนื่องตลอดเวลาและส่งข้อมูลไปยังเครื่องรับหรือสมาร์ทโฟน ทำให้เห็นแนวโน้มของระดับน้ำตาลและช่วยแจ้งเตือนเมื่อมีภาวะน้ำตาลสูงหรือต่ำเกินไป
  • Automated Insulin Delivery (AID) Systems หรือ Hybrid Closed-Loop Systems: เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงที่เชื่อมโยง CGM เข้ากับ Insulin Pump โดยอัลกอริทึมของระบบจะปรับการให้ Basal Insulin โดยอัตโนมัติตามค่าที่อ่านได้จาก CGM ช่วยลดภาระของผู้ป่วยและเพิ่มเวลาที่ระดับน้ำตาลอยู่ในเกณฑ์เป้าหมาย (Time in Range) ได้อย่างมีนัยสำคัญ ถือเป็นมาตรฐานการรักษาที่แนะนำในปัจจุบันสำหรับผู้ป่วยที่มีความพร้อม
3. การรักษาเชิงนวัตกรรมและอนาคต (Novel & Precise Medicine)
  • Immunotherapy: มีความพยายามในการพัฒนายาเพื่อหยุดยั้งหรือชะลอการทำลายเบต้าเซลล์จากระบบภูมิคุ้มกัน เช่น Teplizumab (Tzield®) ซึ่งเป็น Anti-CD3 Monoclonal Antibody ที่ได้รับการรับรองจาก FDA ในปี 2022 เพื่อชะลอการเกิดอาการของ T1DM (stage 3)ในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง (stage 2)
  • Cell Replacement Therapy: การปลูกถ่ายเซลล์ตับอ่อน (Pancreatic Islet Transplantation) หรือการพัฒนาเบต้าเซลล์จากสเต็มเซลล์ (Stem-cell Derived Islet Cells) เป็นแนวทางที่มีศักยภาพในการรักษาให้หายขาดได้ แต่ยังมีความท้าทายเรื่องการป้องกันการปฏิเสธเซลล์จากระบบภูมิคุ้มกัน (Immune Rejection) และความปลอดภัยในระยะยาว
  • Adjunctive Therapies: การใช้ยาอื่น ๆ ร่วมกับอินซูลิน เช่น Pramlintide, Metformin, SGLT2 inhibitors หรือ GLP-1 receptor agonists อาจมีประโยชน์ในผู้ป่วยบางรายเพื่อช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดปริมาณอินซูลินที่ต้องใช้ หรือลดความผันผวนของระดับน้ำตาล แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวังและพิจารณาเป็นรายบุคคล

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา