8 ก.ค. เวลา 12:54 • สุขภาพ

” Metformin “ จากรากเหง้าในทุ่งหญ้าสู่ราชาแห่งยาเบาหวาน

Metformin คือชื่อที่ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 และบุคลากรทางการแพทย์ทั่วโลกคุ้นเคยเป็นอย่างดี มันเป็นยาขนานแรก (First-line therapy) ที่ถูกแนะนำในแนวทางการรักษาส่วนใหญ่ทั่วโลก ด้วยประสิทธิภาพที่ดี ราคาไม่แพง และโปรไฟล์ความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยมเมื่อใช้อย่างถูกต้อง แต่เบื้องหลังความเรียบง่ายของยาเม็ดสีขาวนี้ คือประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและน่าทึ่ง รวมถึงกลไกการออกฤทธิ์ที่ซับซ้อนเกินกว่าที่เคยเข้าใจกันในอดีต
  • ประวัติศาสตร์ที่ไม่ธรรมดา: จากสมุนไพรสู่การค้นพบทางวิทยาศาสตร์
เรื่องราวของ Metformin ต้องย้อนกลับไปหลายศตวรรษที่ทุ่งหญ้าในยุโรป ณ ที่นั่นมีพืชชนิดหนึ่งชื่อว่า French Lilac หรือ Goat's Rue (Galega officinalis) ซึ่งถูกใช้เป็นยาสมุนไพรมาตั้งแต่ยุคกลางเพื่อรักษาอาการหลากหลาย รวมถึงอาการที่สมัยนั้นเรียกว่า "ปัสสาวะหวาน" (sweet urine) ซึ่งก็คือโรคเบาหวานนั่นเอง
นักวิทยาศาสตร์ในต้นศตวรรษที่ 20 ได้สกัดสารสำคัญจาก Galega officinalis และพบว่ามันมีสารในกลุ่ม Guanidine ซึ่งมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้จริง แต่ Guanidine เองนั้นมีความเป็นพิษต่อตับสูงเกินกว่าจะนำมาใช้เป็นยาได้
การค้นคว้าจึงดำเนินต่อไปเพื่อหาสารสังเคราะห์ที่มีโครงสร้างคล้ายกันแต่ปลอดภัยกว่า จนเกิดเป็นสารในกลุ่ม Biguanides ขึ้นมา ในช่วงทศวรรษ 1950s ยาในกลุ่มนี้หลายตัวได้ถูกนำมาศึกษา รวมถึง Phenformin, Buformin และ Metformin
แพทย์ชาวฝรั่งเศส Dr. Jean Sterne คือบุคคลสำคัญที่ได้ศึกษา Metformin อย่างจริงจัง และเป็นผู้ตั้งชื่อการค้าให้มันว่า "Glucophage" ซึ่งแปลตรงตัวว่า "ตัวกินกลูโคส" (Glucose-eater) เขาตีพิมพ์ผลการศึกษาในมนุษย์ครั้งแรกในปี 1957 อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรก Metformin กลับถูกบดบังรัศมีโดยยาในกลุ่มเดียวกันอย่าง Phenformin และการมาถึงของยาในกลุ่ม Sulfonylureas
จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงในช่วงทศวรรษ 1970s เมื่อ Phenformin และ Buformin ถูกถอนออกจากตลาดในหลายประเทศเนื่องจากความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับภาวะเลือดเป็นกรดแลคติก (Lactic Acidosis) ที่รุนแรงและอันตรายถึงชีวิต
Metformin ซึ่งมีโครงสร้างทางเคมีที่ต่างออกไปเล็กน้อย มีความเสี่ยงในการเกิดภาวะนี้น้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ จึงรอดพ้นจากการถูกถอนยาและค่อยๆ ได้รับการยอมรับมากขึ้น จนกระทั่งได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ในปี 1995 และก้าวขึ้นมาเป็นยาหลักในการรักษาเบาหวานชนิดที่ 2 นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
  • เกร็ดความรู้: ชาวไร่สังเกตว่าเมื่อแพะหรือแกะกินพืชชนิดนี้เข้าไป จะให้ผลผลิตน้ำนมมากขึ้น จึงเป็นที่มาของชื่อ Goat's Rue และมีการใช้เพื่อกระตุ้นน้ำนมในมนุษย์ด้วย
  • กลไกการออกฤทธิ์: ไม่ใช่แค่ลดน้ำตาล แต่ปรับสมดุลทั้งร่างกาย
เดิมทีเราเข้าใจว่า Metformin ออกฤทธิ์หลักๆ 3 อย่าง คือ
1. ลดการสร้างกลูโคสที่ตับ (Hepatic Gluconeogenesis)
2. เพิ่มความไวของอินซูลินที่เนื้อเยื่อส่วนปลาย (Peripheral Insulin Sensitivity) โดยเฉพาะที่กล้ามเนื้อและไขมัน ทำให้การดึงกลูโคสไปใช้ดีขึ้น
3. ชะลอการดูดซึมกลูโคสที่ลำไส้
ปัจจุบันเราทราบว่ากลไกหลักในระดับโมเลกุลเกิดขึ้นที่ ไมโทคอนเดรีย (Mitochondria) โดย Metformin จะเข้าไปยับยั้งเอนไซม์ Mitochondrial Respiratory Chain Complex I อย่างอ่อนๆ การยับยั้งนี้ส่งผลให้สัดส่วนของ AMP ต่อ ATP (AMP:ATP ratio) ภายในเซลล์สูงขึ้น ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าเซลล์กำลังมีพลังงานต่ำ
ภาวะนี้จะไปกระตุ้นเอนไซม์ที่เปรียบเสมือน "เซ็นเซอร์พลังงาน" ของเซลล์ นั่นคือ AMP-activated protein kinase (AMPK) ซึ่งเมื่อถูกกระตุ้นแล้ว AMPK จะ:
1. ที่ตับ : ยับยั้งการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกลูโคส (เช่น PEPCK, G6Pase) ทำให้การสร้างกลูโคสลดลง ซึ่งเป็นกลไกหลักในการลดระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร (Fasting Plasma Glucose)
2. ที่กล้ามเนื้อ : กระตุ้นการทำงานของตัวขนส่งกลูโคส GLUT4 ทำให้ดึงกลูโคสจากเลือดเข้าไปใช้ได้มากขึ้น
3. กลไกใหม่ที่ลำไส้ : งานวิจัยล่าสุดพบว่า Metformin มีผลอย่างมากต่อจุลินทรีย์ในลำไส้ (Gut Microbiome) และเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนกลุ่ม Incretin อย่าง GLP-1 (Glucagon-like peptide-1) ซึ่งช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลินและลดความอยากอาหาร
  • ประสิทธิภาพในการลดระดับน้ำตาล: โดยเฉลี่ยแล้ว Metformin ในขนาดที่เหมาะสม (monotherapy) สามารถลดระดับ HbA1c ได้ประมาณ 1.0 - 1.5% และลดระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร (FPG) ได้ 60-80 mg/dL
  • ประโยชน์ที่ได้รับการยืนยัน: มากกว่ายาควบคุมเบาหวาน
ประโยชน์ของ Metformin ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การลดตัวเลขน้ำตาล แต่ยังได้รับการพิสูจน์ถึงผลดีในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการศึกษาครั้งประวัติศาสตร์ UKPDS (UK Prospective Diabetes Study)
ข้อมูลทางสถิติจาก UKPDS: การศึกษา UKPDS ที่ติดตามผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นเวลานานกว่า 10 ปี พบว่าในกลุ่มผู้ป่วยที่มีน้ำหนักเกิน (Overweight) ที่ได้รับการรักษาด้วย Metformin มีผลลัพธ์ที่ดีกว่ากลุ่มที่ควบคุมอาหารเพียงอย่างเดียวอย่างมีนัยสำคัญ:
  • ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับเบาหวาน (Any diabetes-related endpoint) ลง 32%
  • ลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากโรคเบาหวาน (Diabetes-related death) ลง 42%
  • ลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ (All-cause mortality) ลง 36%
  • ลดความเสี่ยงของกล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial infarction) ลง 39%
- -- ประโยชน์เด่นอื่นๆ ---
  • ไม่ทำให้น้ำหนักขึ้น: แตกต่างจากยาเบาหวานหลายชนิด (เช่น Sulfonylureas, Insulin) Metformin มีผลต่อน้ำหนักแบบ "Weight neutral" หรืออาจช่วยลดน้ำหนักได้เล็กน้อย (Modest weight loss)
  • ความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) ต่ำมาก: เนื่องจากกลไกของยาไม่ได้กระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลินเพิ่มขึ้นโดยตรง (Insulin secretagogue) ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะน้ำตาลต่ำเมื่อใช้เป็นยาเดี่ยวจึงน้อยมาก
  • ประโยชน์ต่อหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular benefits): ผลจาก UKPDS และการศึกษาอื่นๆ ชี้ว่าประโยชน์ต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดของ Metformin อาจมีกลไกอื่นนอกเหนือจากการลดน้ำตาลเพียงอย่างเดียว (Pleiotropic effects)
  • การใช้งานอื่นๆ (Potential uses): มีการนำ Metformin ไปใช้รักษาภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) และกำลังมีการศึกษาอย่างกว้างขวางถึงบทบาทในการป้องกันมะเร็งบางชนิด และการชะลอวัย (Anti-aging)
  • ราคาถูกมาก เมื่อเทียบกับยาอื่นในปัจจุบัน (Cost-Benefit)
  • ข้อห้ามและข้อควรระวัง: ใช้ยาอย่างปลอดภัย
แม้จะเป็นยาที่ปลอดภัย แต่ Metformin ก็มีข้อห้ามและข้อควรระวังที่ต้องใส่ใจอย่างเคร่งครัด
-- ข้อห้ามใช้ (Contraindications)--
1. ภาวะไตบกพร่องรุนแรง (Severe renal impairment): โดยทั่วไปห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีค่า eGFR < 30 mL/min/1.73 m2
-- เหตุผล: Metformin ไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่ตับและถูกขับออกทางไตเกือบ 100% หากไตทำงานบกพร่องรุนแรง ยาจะสะสมในร่างกายและเพิ่มความเสี่ยงของการเกิด Lactic Acidosis อย่างมาก
2. ภาวะเลือดเป็นกรด (Metabolic Acidosis): ทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง รวมถึงภาวะ Diabetic Ketoacidosis (DKA)
3. ภาวะขาดน้ำรุนแรง, Sepsis, Shock, หรือภาวะ Hypoxia อื่นๆ
4. แพ้ยา Metformin
-- ข้อควรระวัง (Precautions)--
1. Lactic Acidosis: แม้จะพบได้น้อยมาก (ประมาณ 3-10 รายต่อ 100,000 คน-ปี) แต่เป็นภาวะที่รุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตสูง ผู้ป่วยควรได้รับคำแนะนำให้หยุดยาทันทีหากมีอาการที่เข้าได้ เช่น ปวดกล้ามเนื้อรุนแรง หายใจลำบาก ปวดท้อง อ่อนเพลียผิดปกติ
2. การใช้ในผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตบกพร่องปานกลาง: ในกลุ่มที่มี eGFR 30-45 mL/min/1.73 m^2 ควรพิจารณาเริ่มยาในขนาดต่ำและติดตามการทำงานของไตอย่างใกล้ชิด
3. การใช้ร่วมกับการฉีดสารทึบรังสี (Iodinated Contrast Media): มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน (Contrast-induced nephropathy) ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงของ Lactic acidosis ตามมา จึงมีคำแนะนำให้ หยุดยา Metformin ชั่วคราว ก่อนหรือขณะทำหัตถการ และจะเริ่มยาใหม่ได้เมื่อผ่านไป 48 ชั่วโมงและประเมินแล้วว่าการทำงานของไตยังคงปกติ
4. การดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มปริมาณมากแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรังจะเพิ่มความเสี่ยงต่อ Lactic Acidosis
5. อาการข้างเคียงทางเดินอาหาร: เป็นอาการข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุด (เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย ท้องอืด) มักเกิดขึ้นในช่วงแรกของการรักษา สามารถลดได้โดยการ เริ่มยาในขนาดต่ำแล้วค่อยๆ ปรับเพิ่ม (Start low, go slow) และ รับประทานยาพร้อมหรือหลังอาหาร การใช้ยาสูตรออกฤทธิ์นาน (Extended-release, XR) อาจช่วยลดอาการข้างเคียงนี้ได้
6. การขาดวิตามิน B12: การใช้ Metformin ในระยะยาวสัมพันธ์กับการดูดซึมวิตามิน B12 ที่ลดลง ควรพิจารณาตรวจระดับวิตามิน B12 เป็นระยะในผู้ที่ใช้ยามานาน โดยเฉพาะหากมีภาวะโลหิตจางหรือปลายประสาทอักเสบ
-- บทสรุป --
Metformin เป็นมากกว่ายาเบาหวานสามัญ มันคือตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการพัฒนายาจากภูมิปัญญาดั้งเดิมสู่การแพทย์ที่อิงหลักฐานเชิงประจักษ์ ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน ประสิทธิภาพที่พิสูจน์แล้ว กลไกอันซับซ้อน และโปรไฟล์ความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือเมื่อใช้อย่างถูกหลัก ทำให้ Metformin ยังคงยืนหยัดเป็นเสาหลักในการต่อสู้กับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ทั่วโลก และยังคงมีแง่มุมใหม่ๆ ให้ศึกษาค้นคว้าต่อไปในอนาคต

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา