4 ก.ย. เวลา 11:18 • สุขภาพ

ภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน ( DM complication )

หลายคนอาจเข้าใจว่าโรคเบาหวานเป็นเพียงภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงที่เรื้อรังเปรียบเสมือน "ยาพิษ" ที่ค่อยๆ ทำลายหลอดเลือดและระบบประสาททั่วร่างกายอย่างช้าๆ ซึ่งเป็นต้นตอของภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายและลดทอนคุณภาพชีวิตในระยะยาว
บทความนี้จะอธิบายให้เห็นภาพว่า "ความหวาน" ที่เกินพอดีนี้ สร้างความเสียหายให้กับร่างกายของเราผ่านกลไกใดบ้าง
หัวใจสำคัญของปัญหาส่วนใหญ่มาจากภาวะที่เรียกว่า "พิษจากน้ำตาล (Glucotoxicity)" ซึ่งส่งผลกระทบต่อหลอดเลือด 2 ขนาดหลักๆ คือ หลอดเลือดขนาดใหญ่ (Macrovascular) และหลอดเลือดขนาดเล็ก (Microvascular)
🫀ภาวะแทรกซ้อนที่หลอดเลือดขนาดใหญ่ (Macrovascular Complications)
ภาวะแทรกซ้อนกลุ่มนี้คือสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจ (Heart Attack), โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke), และโรคหลอดเลือดส่วนปลายอุดตัน (Peripheral Artery Disease) ที่อาจนำไปสู่การตัดขา
⛓️‍💥 กลไกการเกิดโรค
กลไกหลักคือการเร่งให้เกิด ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) ซึ่งรุนแรงและเกิดเร็วกว่าคนปกติอย่างมีนัยสำคัญ
1. การทำลายผนังหลอดเลือดโดยตรง (Endothelial Dysfunction): ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงจะทำให้เซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือดชั้นในสุดทำงานผิดปกติ ผนังหลอดเลือดจะสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดภาวะอักเสบได้ง่ายขึ้น
2. การเกิดสารเร่งความเสื่อม (Advanced Glycation End-products - AGEs): เมื่อน้ำตาล (กลูโคส) ในเลือดมีปริมาณมากเกินไป จะเข้าไปจับกับโปรตีนและไขมันในร่างกายอย่างถาวร เกิดเป็นสารประกอบที่เรียกว่า "AGEs" สารนี้มีคุณสมบัติเหมือน "สนิม" ที่ไปเกาะตามผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งและเปราะ นอกจากนี้ AGEs ยังกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและสร้างสารอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น
3. ไขมัน (LDL) ถูกทำลายง่ายขึ้น: น้ำตาลที่สูงจะทำให้ไขมัน LDL (ไขมันชนิดไม่ดี) ถูกออกซิไดซ์ (Oxidized LDL) ได้ง่าย ซึ่งเป็นรูปแบบที่อันตรายและถูกเซลล์เม็ดเลือดขาวเก็บกินเข้าไป กลายเป็น "Foam Cell" ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของ "คราบไขมัน (Plaque)" ที่เกาะตามผนังหลอดเลือด
4. ภาวะแข็งตัวของเลือดง่ายกว่าปกติ: ผู้ป่วยเบาหวานมักมีเกล็ดเลือดที่พร้อมจะเกาะกลุ่มกันง่ายกว่าปกติ และมีปัจจัยที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือดสูงขึ้น ทำให้เมื่อคราบไขมันในหลอดเลือดเกิดการปริแตก จะเกิดลิ่มเลือด (Thrombus) อุดตันหลอดเลือดได้อย่างรวดเร็ว
สรุปง่ายๆ: น้ำตาลที่สูงเปรียบเหมือนการทำให้เลือดมีความ "เหนียวข้น" และทำให้ผนังหลอดเลือด "อักเสบและขรุขระ" ตลอดเวลา จึงเป็นสภาวะที่เอื้อให้ไขมันไปเกาะและอุดตันได้ง่ายกว่าคนปกติหลายเท่า
📊 ระดับน้ำตาลที่เป็นปัญหาและข้อมูลทางสถิติ (Nature of Disease)
สำหรับโรคหลอดเลือดขนาดใหญ่ ความสัมพันธ์กับระดับน้ำตาลจะเป็นแบบ "ต่อเนื่อง (Continuous Risk)" หมายความว่า ยิ่งน้ำตาลสูงขึ้น (วัดจากค่าน้ำตาลสะสม หรือ HbA1c) ความเสี่ยงก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ไม่ได้มีจุดตัดที่ชัดเจนเหมือนโรคหลอดเลือดขนาดเล็ก
  • การศึกษา UKPDS (UK Prospective Diabetes Study) ซึ่งเป็นการศึกษาติดตามผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เพิ่งวินิจฉัยใหม่ในระยะยาว พบว่า ทุกๆ 1% ของ HbA1c ที่เพิ่มขึ้น จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจถึง 14%
ข้อมูลทางสถิติในกลุ่มที่ไม่ได้รับการรักษาหรือควบคุมไม่ดี 🤕
  • ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองสูงกว่าคนทั่วไป 2-4 เท่า
  • ประมาณ 68% ของผู้ป่วยเบาหวานที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป เสียชีวิตจากโรคหัวใจ และ 16% เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมอง
  • ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงที่จะต้องถูกตัดขาส่วนล่าง (ที่ไม่ใช่จากอุบัติเหตุ) สูงกว่าคนทั่วไป 10-20 เท่า เนื่องจากภาวะหลอดเลือดส่วนปลายอุดตันร่วมกับเส้นประสาทเสื่อม
👁️ ภาวะแทรกซ้อนที่หลอดเลือดขนาดเล็ก (Microvascular Complications)
เป็นภาวะแทรกซ้อนที่จำเพาะกับโรคเบาหวานมากกว่า และเป็นสาเหตุสำคัญของความทุพพลภาพ ได้แก่ เบาหวานขึ้นตา (Retinopathy), เบาหวานลงไต (Nephropathy), และโรคเส้นประสาท (Neuropathy)
⛓️‍💥 กลไกการเกิดโรค
กลไกในระดับเซลล์มีความซับซ้อนกว่า แต่มี 3-4 กลไกหลักที่ทำงานร่วมกันทำลายหลอดเลือดฝอยที่เปราะบางในอวัยวะเหล่านี้
1. วิถีโพลีออล (Polyol Pathway): ในภาวะน้ำตาลสูง เซลล์บางชนิด (ที่ไม่มี Insulin-dependent glucose transporter) เช่น เซลล์ในจอประสาทตา, ไต, และเส้นประสาท จะมีน้ำตาลกลูโคสไหลเข้าไปในเซลล์มากเกินไป เอนไซม์ Aldose reductase จะเปลี่ยนกลูโคสเป็น "ซอร์บิทอล (Sorbitol)" ซึ่งไม่สามารถแพร่ออกจากเซลล์ได้ง่าย ทำให้เกิดภาวะบวมในเซลล์ (Osmotic stress) และที่สำคัญคือกระบวนการนี้ใช้สารตั้งต้น (NADPH) ที่จำเป็นต่อการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้เซลล์อ่อนแอลงและถูกทำลายได้ง่าย
2. การสร้างสาร AGEs (เหมือนในหลอดเลือดใหญ่): AGEs จะไปเกาะที่โปรตีนโครงสร้างของหลอดเลือดฝอย (Basement membrane) ทำให้ผนังหลอดเลือดหนาตัวขึ้นแต่กลับรั่วง่ายขึ้น
3. การกระตุ้น Protein Kinase C (PKC): น้ำตาลที่สูงจะกระตุ้นเอนไซม์ PKC ซึ่งส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดฝอยผิดปกติ เกิดการสร้างหลอดเลือดใหม่ที่เปราะบาง (ในตา) และทำให้หลอดเลือดรั่วโปรตีนออกมา (ในไต)
4. วิถีเฮกโซซามีน (Hexosamine Pathway): เป็นอีกหนึ่งกระบวนการที่เกิดขึ้นเมื่อมีน้ำตาลในเซลล์มากเกินไป ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการทำงานของโปรตีนต่างๆ และนำไปสู่การทำลายเซลล์
🫟สรุปผลกระทบต่ออวัยวะต่างๆ
  • ตา (Retinopathy): ผนังหลอดเลือดฝอยที่จอประสาทตารั่วซึม ทำให้มีจุดเลือดออกหรือสารน้ำรั่วออกมา (Non-proliferative) ในระยะยาวร่างกายจะขาดออกซิเจนและพยายามสร้างหลอดเลือดใหม่ (Proliferative) ซึ่งเปราะบางและมีเลือดออกในวุ้นตาได้ง่าย นำไปสู่การตาบอด
  • ไต (Nephropathy): หน่วยกรองของไต (Glomerulus) ถูกทำลาย ทำให้เริ่มมีโปรตีนไข่ขาว (Albumin) รั่วออกมาในปัสสาวะในปริมาณเล็กน้อย (Microalbuminuria) และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดไตจะสูญเสียความสามารถในการกรองของเสีย นำไปสู่ภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย
  • เส้นประสาท (Neuropathy): หลอดเลือดฝอยที่ไปเลี้ยงเส้นประสาทถูกทำลาย ร่วมกับผลโดยตรงจากน้ำตาลที่ทำลายเซลล์ประสาท ทำให้การนำกระแสประสาทผิดปกติ เกิดอาการชาปลายมือปลายเท้าเหมือนใส่ถุงมือถุงเท้า (Stocking-glove pattern) หรืออาจมีอาการปวดแสบปวดร้อน
📊 ระดับน้ำตาลที่เป็นปัญหาและข้อมูลทางสถิติ (Nature of Disease)
ความสัมพันธ์ระหว่างระดับน้ำตาลกับโรคกลุ่มนี้ค่อนข้างชัดเจนและมีลักษณะของ "Threshold Effect" คือเมื่อ HbA1c สูงเกินค่าหนึ่ง ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
  • การศึกษา DCCT (Diabetes Control and Complications Trial) ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 และการศึกษา UKPDS ในชนิดที่ 2 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การควบคุมระดับน้ำตาลให้ HbA1c อยู่ในระดับต่ำกว่า 7% สามารถลดการเกิดและชะลอการดำเนินของภาวะแทรกซ้อนทางจุลภาคได้อย่างมีนัยสำคัญมหาศาล
ข้อมูลทางสถิติในกลุ่มที่ไม่ได้รับการรักษาหรือควบคุมไม่ดี 🤕
  • เบาหวานขึ้นตา: หลังจากเป็นเบาหวานมา 20 ปี ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 เกือบทุกคน และผู้ป่วยชนิดที่ 2 มากกว่า 60% จะมีภาวะเบาหวานขึ้นตาในระดับใดระดับหนึ่ง เบาหวานเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการตาบอดในวัยทำงาน
  • เบาหวานลงไต: เบาหวานเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย (ESRD) ทั่วโลก ประมาณ 20-40% ของผู้ป่วยเบาหวานจะเกิดภาวะเบาหวานลงไต
  • โรคเส้นประสาท: ประมาณ 50% ของผู้ป่วยเบาหวานจะมีภาวะเส้นประสาทเสื่อม
🩼 ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ
นอกเหนือจากหลอดเลือดโดยตรง ภาวะน้ำตาลสูงยังส่งผลกระทบต่อระบบอื่นๆ ของร่างกาย
⛓️‍💥 กลไกและปัญหาที่พบ
  • แผลที่เท้าเบาหวาน (Diabetic Foot Ulcer): เป็นการทำงานร่วมกันที่เลวร้ายระหว่าง 1) โรคเส้นประสาท ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกเจ็บเมื่อเกิดแผลเล็กๆ และ 2) โรคหลอดเลือดส่วนปลายอุดตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงแผลไม่ดี แผลจึงหายยากและติดเชื้อง่าย
  • การติดเชื้อ (Infections): ภาวะน้ำตาลสูงทำให้การทำงานของเม็ดเลือดขาวชนิด Neutrophil บกพร่อง (ทั้งการเคลื่อนที่และการกำจัดเชื้อโรค) เหมือนทำให้ "ทหาร" ของร่างกายอ่อนแอลง ประกอบกับน้ำตาลเองก็เป็นอาหารชั้นดีของเชื้อโรค ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานติดเชื้อได้ง่ายและรุนแรงกว่าคนปกติ เช่น การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ, ปอดบวม, การติดเชื้อที่ผิวหนัง
  • ระบบทางเดินอาหาร (Gastroparesis): เป็นผลมาจากโรคเส้นประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Neuropathy) ที่ควบคุมการบีบตัวของกระเพาะอาหาร ทำให้กระเพาะอาหารบีบตัวช้าลง อาหารค้างอยู่ในกระเพาะนานขึ้น ทำให้มีอาการแน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน และควบคุมระดับน้ำตาลได้ยากขึ้น
📈 ข้อมูลทางสถิติ (Nature of Disease)
  • ผู้ป่วยเบาหวานมีโอกาสเกิดแผลที่เท้าในช่วงชีวิต สูงถึง 15-25% และเป็นสาเหตุหลักของการตัดขา
  • ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงที่จะต้องนอนโรงพยาบาลจากการติดเชื้อสูงกว่าคนทั่วไป และมีอัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อสูงกว่า
บทสรุป
จะเห็นได้ว่าภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานไม่ได้เกิดจากกลไกเดียว แต่เป็นผลพวงจากการที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง ซึ่งไปทำลายโครงสร้างและการทำงานของหลอดเลือดและเส้นประสาททั่วร่างกาย การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงปกติที่สุด ควบคู่ไปกับการควบคุมความดันโลหิตและไขมัน จึงไม่ใช่เป็นเพียงการรักษา "ตัวเลข" แต่เป็นการป้องกันและชะลอ "ภัยเงียบ" เหล่านี้ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพที่ดีต่อไปได้
อ่านบน FB ได้ที่นี่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา