31 ก.ค. เวลา 09:30 • ปรัชญา

รบเถิดอรชุน

#รบเถิดอรชุน
Peace is at hand
— Henry Kissinger on Vietnam war in 1972
...
अयं मे निश्चयः कृष्ण न शमेत् पाण्डवैः सह
धृतराष्ट्रस्त्वदुक्तं च न शृणोति सुयोधनः
อยํ เม นิศฺจยะ กฺฤษณะ นะ ศเมตฺ ปาณฺฑไวหฺ สหะ
ธฺฤตราษฺฏฺรสฺตฺวทุกฺตํ จะ นะ ศฺฤโณติ สุโยธนะหฺ
"ที่ข้าฯ เห็น กฤษณะ! ความปรองดองจะไม่เกิดกับปาณฑพ
ท้าวธฤตราษฎรจะไม่ฟังคำของท่าน และสุโยธนะก็จะไม่ฟังเช่นกัน"
(อุทโยคะปรฺวะ, อุธยายะ 129.31 Udyoga Parva, Udhayaya 129.31,
Critical Edition โดย Bhandarkar Oriental Research Institute)
หลังจากการเนรเทศและหลบซ่อนตัว 13 ปีสิ้นสุดลง เหล่าปาณฑพรวมตัวกันที่นครของท้าววิราฏ และเตรียมการเรียกร้องส่วนแบ่งราชสมบัติคืนจากฝ่ายเการพ ในเวลาเดียวกัน ฝ่ายปาณฑพยังเริ่มระดมกำลังพลและพันธมิตรจากอาณาจักรต่างๆ เพื่อเตรียมรับมือหากการเจรจาล้มเหลว
ในการประชุมเพื่อหารือถึงย่างก้าวทางยุทธศาสตร์ของปาณฑพและพันธมิตรอันรวมถึงพระกฤษณะด้วย ยุธิษฐิระยังคงยืนยันความต้องการสันติภาพ แต่ก็เตรียมพร้อมสำหรับสงคราม ท้าวทรุบท ผู้เป็นพระราชบิดาของพระนางเทราปตี, จึงส่งพราหมณ์ผู้ทรงคุณไปเป็นทูตยังกรุงหัสตินาปุระ เพื่อเรียกร้องสิทธิ์ในราชสมบัติของปาณฑพและยืนยันว่า ปาณฑพไม่ต้องการสงคราม แต่ต้องการประนีประนอมอันเป็นธรรม
แม้ภีษมะของฝ่ายเการพจะเห็นด้วยกับการคืนราชสมบัติให้ปาณฑพ แต่สุโยธนะ (ทุรโยธน์ในฉบับภาษาไทย)ปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว
ท้าวธฤตราษฎรส่งสัญชัย ผู้เป็นสารถีและที่ปรึกษาของตน, ไปพบกับฝ่ายปาณฑพที่เมืองอุปปลฺวยะ (Upaplavya) สัญชัยพยายามโน้มน้าวให้ยุธิษฐิระหลีกเลี่ยงสงคราม โดยเน้นถึงความทุกข์ทรมานที่จะเกิดขึ้นและเสนอให้ปาณฑพยอมรับชะตากรรมโดยไม่ได้รับส่วนแบ่งคืน
ยุธิษฐิระยืนยันว่า ปาณฑพต้องการเพียงส่วนแบ่งที่ชอบธรรมตามกฎหมายและธรรมเนียมประเพณี และยื่นข้อเสนออย่างประนีประนอมว่า จะยอมรับแม้หมู่บ้านเพียง 5 แห่งหากนั่นจะช่วยให้หลีกเลี่ยงสงครามได้ สัญชัยนำความนี้ กลับไปแจ้งแก่ท้าวธฤตราษฎร แต่ทุรโยธน์ยังคงปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง
ปาณฑพดำเนินความพยายามทางการทูตครั้งสุดท้ายและสำคัญที่สุดโดยพระกฤษณะเสนอตัวไปเจรจากับเการพ และเดินทางไปยังกรุงหัสตินาปุระในฐานะทูตสันติภาพของปาณฑพ ก่อนที่พระกฤษณะจะออกเดินทาง เหล่าปาณฑพและที่ปรึกษาได้รวมตัวกันเพื่อหารือถึงความเป็นไปได้ของภารกิจนี้
สัตยกี ผู้เป็นหนึ่งในนักรบผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่ายาทวะ ทั้งเป็นสหายที่ใกล้ชิดและศิษย์ของอรชุน, เป็นหนึ่งในบรรดาผู้เข้าร่วมปรึกษาหารือด้วย เธอเอ่ยโศลกบทนี้ขึ้น เพื่อแสดงความเห็นของเธอต่อพระกฤษณะอย่างตรงไปตรงมา สัตยกีไม่เชื่อว่า การเจรจาจะประสบความสำเร็จ เธอเห็นว่า ทุรโยธน์ถูกครอบงำด้วยความโลภและความเกลียดชังจนไม่อาจยินยอมประนีประนอม และท้าวธฤตราษฎรเองก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะขัดขวางบุตรชายของตน
พระกฤษณะทรงพยายามทุกวิถีทางเพื่อโน้มน้าวท้าวธฤตราษฎรและทุรโยธน์ ทั้งยังชี้แจงถึงความชอบธรรมของปาณฑพและความจำเป็นในการคืนส่วนแบ่งราชสมบัติ และทรงเน้นย้ำถึงความหายนะของสงครามที่จะทำลายล้างทุกอย่าง
พระกฤษณะทรงเสนอทางออกประนีประนอมที่สมควรแก่เหตุโดยขอเพียงหมู่บ้านเล็กๆ 5 แห่งให้ปาณฑพ เพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม นอกจากนี้ ยังทรงเปิดเผยแผนร้ายของทุรโยธน์และวิงวอนให้ทุรโยธน์ยอมรับความจริง วิทูรและภีษมะรวมถึงโทรณาจารย์ก็พยายามสนับสนุนข้อเสนอของพระกฤษณะ
หากทุรโยธน์ปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว โดยประกาศว่า จะไม่มอบแม้เพียงผืนดินเท่าปลายเข็มให้ปาณฑพ และยังพยายามจับตัวพระกฤษณะอีกด้วย พระกฤษณะจึงทรงสำแดงร่างทิพย์ (วิศวรูป) เพื่อแสดงพลังอำนาจของพระองค์ แต่ทุรโยธน์ก็ไม่สะทกสะท้าน เมื่อเห็นว่าไม่มีทางประนีประนอมได้ พระกฤษณะจึงกลับมาสมทบกับฝ่ายปาณฑพและประกาศว่าสงครามเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว
โศลกของสัตยกีบทนี้ สำคัญต่อการทำความเข้าใจพลวัตทางการเมืองและจิตวิทยาของตัวละครหลักในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของมหาภารตะเป็นอย่างยิ่ง หาใช่การพร่ำบ่นด้วยความท้อแท้ หากเป็นการวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองที่เฉียบคม แสดงให้เห็นความซับซ้อนของอำนาจ ความเห็นแก่ตัวของปัจเจกบุคคล, สะท้อนความตึงเครียดและความสิ้นหวังที่แผ่ซ่านไปทั่วในช่วงก่อนสงคราม และตอกย้ำว่า บางครั้งความขัดแย้งที่หยั่งรากลึกเกินไปก็ไม่อาจแก้ไขด้วยการประนีประนอม จะส่งผลให้การหลั่งเลือดกลายเป็นผลสรุปที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้
ในมุมมองเชิงประวัติศาสตร์ นี่เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ด้วยเหตุว่า เป็นการตัดสินใจเข้าสู่สงครามของ "ผู้นำที่ปิดหูปิดตาไม่รับความจริง" และการเมืองที่ถูกควบคุมด้วย "อัตตา" ยิ่งกว่าธรรมะหรือประโยชน์ส่วนรวม
สัตยกีเป็นทั้งนักรบและผู้ใกล้ชิดกับสถานการณ์ ดังนั้น คำกล่าวของสัตยกีจึงมิได้เป็นเพียงการคาดคะเน หากเป็นการประเมินสถานการณ์อย่างตรงไปตรงมา เธอเห็นว่าความพยายามทางการทูตของพระกฤษณะ แม้จะกระทำโดยบุคคลผู้เปี่ยมด้วยบารมีและปัญญาก็แทบไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จ เพราะติดอยู่ที่ "เจตจำนง" ของบุคคลเพียงไม่กี่คน โดยเฉพาะทุรโยธน์
สัตยกีเห็นว่า ทุรโยธน์ถูกความอิจฉาและความโลภครอบงำอย่างสมบูรณ์ ("ไม่ฟังคำของท่าน") ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ขัดขวางการแก้ไขข้อขัดแย้งด้วยสันติวิธี ในมุมมองทางประวัติศาสตร์การเมือง นี่เป็นตัวอย่างของผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์ ไม่สามารถประนีประนอมเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และยึดติดกับอำนาจส่วนตน
สัตยกียังระบุอย่างชัดเจนว่า ท้าวธฤตราษฎรจะไม่ฟังคำแนะนำของพระกฤษณะ อันเนื่องมาจากความอ่อนแอและความรักที่ผิดที่ผิดทางต่อบุตรชายของตนเอง ในเชิงประวัติศาสตร์ นี่คือความล้มเหลวของอำนาจสูงสุดในการควบคุมสถานการณ์ ทำให้วิกฤตการณ์บานปลาย
คำกล่าวของสัตยกีแฝงนัยของชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงมิได้ อันเป็นผลมาจากกรรมที่สั่งสมมาจากการไม่ประพฤติธรรมของฝ่ายเการพ หากสันติภาพไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยการเจรจาทางการทูต แผ่นดินก็จะเข้าสู่ "กลียุค" ที่ความรุนแรงเป็นคำตอบสุดท้าย สัตยกีตระหนักว่า ผลของความดื้อรั้นคือสงครามโดยปราศจากทางเลือกอื่นใดอีก
ความพยายามของพระกฤษณะในฐานะทูตสันติภาพ แม้จะรู้ว่าอาจไม่สำเร็จ แต่ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่าง "ถึงที่สุด" ในการหลีกเลี่ยงสงคราม และยิ่งตอกย้ำว่า เมื่อการทูตล้มเหลว สงครามจึงเป็นหนทางเดียวที่เหลืออยู่สำหรับปาณฑพซึ่งจะถือได้ว่า เป็นการทำสงครามอันชอบธรรม หรือรบโดยธรรมะ (ธรรมยุทธ Dharma-Yuddha) ด้วยเหตุที่ได้พยายามทุกวิถีทางเพื่อสันติภาพแล้ว
ในมุมมองของนักประวัติศาสตร์ โศลกบทนี้ สะท้อนถึงการล่มสลายของระเบียบทางการทูต (collapse of diplomacy) เพราะแม้มี "ทูตที่มีธรรมะสูงสุด" (พระกฤษณะ) ทั้งเสนอ "ข้อเรียกร้องอันนอบน้อมอย่างยิ่งยวด" (เพียงห้าหมู่บ้าน) หากความอหังการและความโลภก็บดบังเสียงแห่งธรรมะได้
โศลกบทนี้ จึงสะท้อนถึง การปฏิเสธทางสันติวิธีและเลือกที่จะทำสงครามแทนการประนีประนอม
...
ทุรโยธน์ปฏิเสธข้อเสนอของพระกฤษณะโดยสิ้นเชิง ต่างจากที่ผู้นำบางคนยอมรับการเจรจาก็เพียงเพื่อซื้อเวลา..เท่านั้น
.

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา