Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Doctor Near you (หมอใกล้คุณ)
•
ติดตาม
12 ก.ย. เวลา 11:18 • สุขภาพ
รู้จัก Primary Hyperparathyroid: เมื่อ "แคลเซียมในเลือดสูง"
หลายท่านอาจเคยได้ยินเรื่อง "แคลเซียม" และความสำคัญต่อกระดูก แต่ร่างกายของเรามีกลไกซับซ้อนในการควบคุมแคลเซียมให้อยู่ในระดับที่พอดี และหนึ่งในผู้ควบคุมหลักก็คือ "ต่อมพาราไทรอยด์" วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับโรคที่เกิดเมื่อผู้ควบคุมนี้ทำงานผิดปกติไป ซึ่งเป็นภัยเงียบที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราได้มากกว่าที่คิด
🧑⚕️ "ต่อมพาราไทรอยด์" คืออะไร? อยู่ตรงไหน และทำหน้าที่อะไร?
ลองนึกภาพต่อมไทรอยด์ซึ่งเป็นต่อมรูปผีเสื้อที่อยู่บริเวณด้านหน้าของลำคอของเรา ต่อมพาราไทรอยด์ คือต่อมขนาดเล็กจิ๋วประมาณเมล็ดถั่วเขียว จำนวน 4 ต่อม ที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของต่อมไทรอยด์นั้น
หน้าที่หลัก ของต่อมพาราไทรอยด์เปรียบเสมือน "ผู้จัดการแคลเซียม" ของร่างกาย โดยมันจะคอยตรวจจับระดับแคลเซียมในเลือดอยู่ตลอดเวลา
●
เมื่อแคลเซียมในเลือดต่ำ: ต่อมพาราไทรอยด์จะหลั่งฮอร์โมนที่ชื่อว่า พาราไทรอยด์ฮอร์โมน (Parathyroid Hormone หรือ PTH) ออกมา
●
ฮอร์โมน PTH จะออกคำสั่งไปยัง 3 ส่วนหลัก
1. กระดูก: สั่งให้สลายแคลเซียมที่เก็บสะสมไว้ออกมาสู่กระแสเลือด
2. ไต: สั่งให้เก็บแคลเซียมกลับคืนสู่ร่างกายให้มากที่สุด (ลดการขับออกทางปัสสาวะ)
3. ลำไส้: สั่งให้ไตช่วยเปลี่ยนวิตามินดีให้อยู่ในรูปที่พร้อมใช้งาน เพื่อไปเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมจากอาหารที่เราทานเข้าไป
เมื่อระดับแคลเซียมในเลือดกลับสู่ภาวะปกติแล้ว ต่อมพาราไทรอยด์ก็จะลดการหลั่งฮอร์โมน PTH ลง กลไกนี้ทำงานเหมือน "เทอร์โมสตัท" ที่คอยเปิด-ปิดแอร์เพื่อควบคุมอุณหภูมิห้องให้คงที่นั่นเอง
⛓️💥 โรค "Primary Hyperparathyroid" คืออะไร? เกิดจากอะไร?
Primary Hyperparathyroidism (PHPT) คือภาวะที่ต่อมพาราไทรอยด์ต่อมใดต่อมหนึ่ง (หรือมากกว่า) เกิดทำงานผิดปกติ โดยผลิตและหลั่งฮอร์โมน PTH ออกมามากเกินความจำเป็น แม้ว่าระดับแคลเซียมในเลือดจะปกติหรือสูงอยู่แล้วก็ตาม
เปรียบเทียบง่ายๆ ก็คือ "เทอร์โมสตัท" ของเราเสียและค้างอยู่ในโหมด "เปิด" ตลอดเวลา ทำให้ร่างกายดึงแคลเซียมออกมาใช้ไม่หยุด จนระดับแคลเซียมในเลือดสูงเกินไป
สาเหตุที่พบบ่อยที่สุด คือ
●
เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง (Adenoma): พบได้ประมาณ 80-85% ของผู้ป่วยทั้งหมด โดยเกิดเนื้องอกขึ้นที่ต่อมพาราไทรอยด์เพียงต่อมเดียว เนื้องอกนี้จะทำงานและสร้างฮอร์โมนเองโดยไม่สนใจระดับแคลเซียมในเลือด ย้ำว่าเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง ไม่ใช่มะเร็ง
●
ต่อมโตผิดปกติ (Hyperplasia): พบได้ประมาณ 10-15% เกิดจากต่อมพาราไทรอยด์ทั้ง 4 ต่อมมีขนาดใหญ่ขึ้นและทำงานมากเกินไปทุกต่อม
●
มะเร็งต่อมพาราไทรอยด์: เป็นสาเหตุที่พบได้น้อยมากจริงๆ (น้อยกว่า 1%)
🕰️ การดำเนินโรคตามธรรมชาติ และลักษณะอาการของผู้ป่วย
หากไม่ได้รับการตรวจพบหรือรักษา โรคนี้มักจะดำเนินไปอย่างช้าๆ เป็น "ภัยเงียบ" ที่ไม่แสดงอาการนานหลายปี แต่เบื้องหลังนั้น ระดับ PTH และแคลเซียมที่สูงอย่างต่อเนื่องจะค่อยๆ ส่งผลเสียต่อร่างกาย เหมือนน้ำที่ค่อยๆ หยดลงบนหินทุกวัน
เมื่อเวลาผ่านไป ผลกระทบจะชัดเจนขึ้น และผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการต่างๆ ซึ่งมักถูกอธิบายง่ายๆ ว่า "ปวดกระดูก นิ่วในไต ท้องอืด และซึมเศร้า" (Bones, Stones, Groans, and Moans)
🦴 ผลต่อกระดูก (Bones): แคลเซียมถูกดึงออกจากกระดูกตลอดเวลา เหมือนเงินที่ถูกถอนจากธนาคารไม่หยุด ทำให้เกิด
●
ภาวะกระดูกพรุน กระดูกบางลง
●
เสี่ยงต่อกระดูกหักง่ายกว่าคนทั่วไป
●
อาการปวดตามกระดูกและข้อ
🫘 ผลต่อไต (Stones): เมื่อแคลเซียมในเลือดสูง ไตจะพยายามขับแคลเซียมส่วนเกินออกทางปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะมีความเข้มข้นของแคลเซียมสูง นำไปสู่
●
การเกิดนิ่วในไต ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการคลาสสิกของโรคนี้ อาจทำให้มีอาการปวดหลังรุนแรง ปัสสาวะเป็นเลือด
●
ไตทำงานหนักขึ้น และอาจเสื่อมการทำงานได้ในระยะยาว
🤰ผลต่อระบบทางเดินอาหาร (Groans)
●
คลื่นไส้ เบื่ออาหาร
●
ท้องผูก
●
ปวดท้อง ซึ่งอาจสัมพันธ์กับโรคกระเพาะหรือตับอ่อนอักเสบ
😵💫ผลต่อสมองและอารมณ์ (Moans)
●
อ่อนเพลีย ไม่มีแรงง่าย
●
ซึมเศร้า วิตกกังวล
●
สมาธิและความจำแย่ลง รู้สึกสมองไม่ปลอดโปร่ง (Brain fog)
●
ในกรณีที่แคลเซียมสูงมากๆ อาจทำให้สับสนหรือซึมลงได้
สิ่งสำคัญ: ในปัจจุบัน ผู้ป่วยจำนวนมากถูกตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจเลือดประจำปี โดยที่ยังไม่มีอาการใดๆ เลย ซึ่งถือเป็นโชคดีที่ทำให้เราสามารถจัดการกับโรคได้ก่อนที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
❔เมื่อไรควรเริ่มสงสัย และไปพบแพทย์เพื่อตรวจ
คุณควรนึกถึงโรคนี้และปรึกษาแพทย์ หากมีลักษณะดังต่อไปนี้
1. ตรวจสุขภาพแล้วพบว่า "ระดับแคลเซียมในเลือดสูง" นี่คือจุดเริ่มต้นที่พบบ่อยที่สุด
2. มีประวัติเป็น "นิ่วในไต" บ่อยๆ โดยเฉพาะนิ่วชนิดแคลเซียม
3. เป็น "โรคกระดูกพรุน" หรือกระดูกหักง่าย โดยเฉพาะเมื่อได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่อายุไม่มาก
4. มีอาการที่เข้าได้กับข้างต้น เช่น อ่อนเพลียเรื้อรัง ท้องผูก หรือปวดกระดูกที่หาสาเหตุอื่นไม่เจอ
5. มีคนในครอบครัวเคยป่วย เป็นโรคต่อมพาราไทรอยด์หรือมีภาวะแคลเซียมในเลือดสูง
👨🔬 วิธีการตรวจคัดกรองและยืนยันการวินิจฉัย
การวินิจฉัยโรคนี้ตรงไปตรงมาและไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด โดยใช้เพียง การตรวจเลือด เป็นหลัก
ขั้นตอนที่ 1 : 🩸การตรวจเลือดเบื้องต้น คุณหมอจะสั่งตรวจ 2 ค่าที่สำคัญพร้อมกัน คือ
1.
ระดับแคลเซียมในเลือด (Serum Calcium)
2.
ระดับฮอร์โมนพาราไทรอยด์ (intact PTH)
ผลที่บ่งชี้ว่าเป็นโรค PHPT คือ: พบว่ามีระดับแคลเซียมสูง ควบคู่ไปกับระดับฮอร์โมน PTH ที่สูง (หรือสูงอย่างไม่เหมาะสม คือไม่ยอมลดลงทั้งที่แคลเซียมสูงแล้ว)
ขั้นตอนที่ 2: การตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันและประเมินผลกระทบ หากผลเลือดเข้าได้กับ PHPT คุณหมออาจพิจารณาส่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อประเมินความรุนแรงและผลกระทบต่ออวัยวะต่างๆ เช่น
●
ตรวจวัดระดับวิตามิน D
●
ตรวจปัสสาวะ 24 ชั่วโมงเพื่อดูปริมาณแคลเซียมที่ขับออกมา
●
ตรวจวัดความหนาแน่นมวลกระดูก (Bone Density Scan หรือ DXA scan)
●
อัลตราซาวนด์ไตเพื่อตรวจหานิ่ว
📝 บทสรุป
โรค Primary Hyperparathyroid เป็นภาวะที่รักษาให้หายขาดได้ การตระหนักรู้และหมั่นตรวจสุขภาพประจำปีเป็นสิ่งสำคัญ
เพราะการตรวจพบภาวะแคลเซียมในเลือดสูงตั้งแต่เนิ่นๆ จะนำไปสู่การวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม ช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนระยะยาวต่อกระดูก ไต และสุขภาพโดยรวมของคุณได้ หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการหรือปัจจัยเสี่ยงดังที่กล่าวมา อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้องครับ
อ่านบน FB ได้ที่นี่
https://www.facebook.com/share/p/16kDRGkDm8/?mibextid=wwXIfr
สุขภาพ
การแพทย์
ความรู้
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
รวมความรู้ทางการแพทย์ทั่วไป
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย