14 ก.ย. เวลา 11:18 • สุขภาพ

กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome: PCOS)

กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome หรือ PCOS) เป็นภาวะความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อ (endocrine disorder) ที่พบบ่อยที่สุดในสตรีวัยเจริญพันธุ์ โดยมีลักษณะสำคัญคือภาวะฮอร์โมนแอนโดรเจนเกิน (hyperandrogenism) และการทำงานของรังไข่ที่ผิดปกติ (ovarian dysfunction) ซึ่งนำไปสู่การไม่ตกไข่เรื้อรัง (chronic anovulation) และลักษณะถุงน้ำจำนวนมากในรังไข่เมื่อตรวจด้วยอัลตราซาวด์ (polycystic ovarian morphology)
ภาวะนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงระบบสืบพันธุ์ แต่ยังมีความเชื่อมโยงอย่างมีนัยสำคัญกับความผิดปกติทางเมตาบอลิซึม ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว
🧬 พยาธิสรีรวิทยา (Pathophysiology)
พยาธิกำเนิดของ PCOS มีความซับซ้อนและยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างสมบูรณ์ แต่มีปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้องหลายประการ ได้แก่
  • ภาวะดื้อต่ออินซูลินและภาวะอินซูลินในเลือดสูง (Insulin Resistance & Hyperinsulinemia)
ถือเป็นกลไกสำคัญในผู้ป่วย PCOS ส่วนใหญ่ (ประมาณ 70%) ภาวะดื้อต่ออินซูลินทำให้ร่างกายต้องผลิตอินซูลินในปริมาณที่สูงขึ้นเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติ (compensatory hyperinsulinemia) ซึ่งภาวะอินซูลินสูงนี้เองที่กระตุ้นให้รังไข่ (theca cells) สร้างฮอร์โมนแอนโดรเจนเพิ่มขึ้น และลดการสร้าง Sex Hormone-Binding Globulin (SHBG) จากตับ ส่งผลให้ระดับ free testosterone ในเลือดสูงขึ้น นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อการพัฒนาของฟอลลิเคิลในรังไข่โดยตรง
  • ความผิดปกติของแกนไฮโปทาลามัส-ต่อมใต้สมอง-รังไข่ (Hypothalamic-Pituitary-Ovarian Axis Dysfunction)
ผู้ป่วย PCOS มักมีการหลั่งของ Luteinizing Hormone (LH) ที่มีความถี่สูงและระดับสูงขึ้น (increased LH pulse frequency and amplitude) เมื่อเทียบกับ Follicle-Stimulating Hormone (FSH) ซึ่งอัตราส่วน LH:FSH ที่สูงขึ้นนี้จะยิ่งกระตุ้น theca cells ให้สร้างแอนโดรเจน และรบกวนกระบวนการเจริญของฟอลลิเคิลและการตกไข่
  • ความผิดปกติของการสร้างสเตียรอยด์ในรังไข่ (Intrinsic Ovarian Steroidogenesis Abnormality)
aTheca cells ของผู้ป่วย PCOS มีความสามารถในการสร้างแอนโดรเจน (androgen synthesis) ที่มากกว่าปกติ ซึ่งเป็นผลมาจาก dysregulation ของเอนไซม์ในกระบวนการสร้างสเตียรอยด์ เช่น P450c17
  • ปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
PCOS มีแนวโน้มที่จะเกิดในครอบครัวที่มีประวัติของโรคนี้ และพบว่ามีหลายยีน (candidate genes) ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมฮอร์โมนและการทำงานของอินซูลิน นอกจากนี้ ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น ภาวะอ้วน (obesity) ยังเป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญที่ทำให้แสดงอาการของโรคชัดเจนขึ้น
📊 สถิติและความชุก
ความชุกของ PCOS แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเกณฑ์การวินิจฉัยที่ใช้และกลุ่มประชากรที่ศึกษา โดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 5-20% ของสตรีวัยเจริญพันธุ์ สำหรับข้อมูลในประเทศไทย มีการศึกษาในกลุ่มวัยรุ่นนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง พบความชุกของ PCOS อยู่ที่ 5.29% โดยใช้เกณฑ์ Rotterdam ในขณะที่ข้อมูลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีความหลากหลาย
📖 เกณฑ์การวินิจฉัย (Diagnostic Criteria)
เกณฑ์ที่ได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในปัจจุบันคือ Rotterdam Criteria (2003) ซึ่งกำหนดให้วินิจฉัย PCOS เมื่อผู้ป่วยมีลักษณะอย่างน้อย 2 ใน 3 ข้อต่อไปนี้ หลังจากได้วินิจฉัยแยกโรคอื่น ๆ ที่มีอาการคล้ายคลึงกันออกไปแล้ว
1. ภาวะไม่ตกไข่หรือตกไข่น้อย (Oligo- and/or anovulation): แสดงออกโดยประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ (oligomenorrhea) คือรอบเดือนนานกว่า 35 วัน หรือมีประจำเดือนน้อยกว่า 8-9 ครั้งต่อปี หรือภาวะขาดประจำเดือน (amenorrhea)
2. ภาวะฮอร์โมนแอนโดรเจนเกิน (Hyperandrogenism)
  • Clinical hyperandrogenism: มีอาการแสดงทางคลินิก เช่น ขนดก (hirsutism), สิว (acne) ที่รุนแรง, หรือศีรษะล้านแบบเพศชาย (male-pattern alopecia)
  • Biochemical hyperandrogenism: ตรวจพบระดับฮอร์โมนแอนโดรเจนในเลือดสูงกว่าปกติ เช่น total testosterone หรือ free testosterone
3. ลักษณะถุงน้ำจำนวนมากในรังไข่จากการตรวจอัลตราซาวด์ (Polycystic ovarian morphology - PCOM)
ตรวจพบฟอลลิเคิลขนาดเล็ก (2-9 มม.) ตั้งแต่ 12-20 ฟองขึ้นไปในรังไข่อย่างน้อยหนึ่งข้าง และ/หรือปริมาตรรังไข่ (ovarian volume) มากกว่า 10 มล
อัปเดตล่าสุดจากแนวทางปฏิบัติสากลปี 2023 (International Evidence-Based Guideline 2023)
  • Anti-Müllerian Hormone (AMH): สามารถใช้ระดับ AMH ในเลือดเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง (alternative) แทนการทำอัลตราซาวด์เพื่อวินิจฉัย PCOM ในผู้ใหญ่ได้
  • เกณฑ์อัลตราซาวด์ใหม่: มีการเสนอให้ใช้เกณฑ์จำนวนฟอลลิเคิลต่อรังไข่ (follicle number per ovary - FNPO) ที่ ≥25 ฟอง เมื่อใช้เครื่องอัลตราซาวด์ที่มีความละเอียดสูง
⏳ ความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว (Long-term Health Risks)
PCOS เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะต่าง ๆ ดังนี้
  • Metabolic Syndrome: เพิ่มความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญ
  • เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes Mellitus): มีความเสี่ยงสูงขึ้น 4-7 เท่าเมื่อเทียบกับประชากรทั่วไป โดยมักเกิดตั้งแต่อายุยังน้อย
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Disease): เพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ (dyslipidemia), ความดันโลหิตสูง (hypertension) และภาวะหลอดเลือดทำงานผิดปกติ (endothelial dysfunction)
  • มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrial Cancer): การไม่ตกไข่เรื้อรังทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกสัมผัสกับฮอร์โมนเอสโตรเจนอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีโปรเจสเตอโรนมาต้าน (unopposed estrogen) เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติ (endometrial hyperplasia) และมะเร็ง
  • ภาวะมีบุตรยาก (Infertility): เป็นสาเหตุหลักจากภาวะไม่ตกไข่
  • ภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์: เช่น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes), ครรภ์เป็นพิษ (preeclampsia)
  • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea): สัมพันธ์กับภาวะอ้วนและภาวะดื้อต่ออินซูลิน
  • Non-alcoholic Fatty Liver Disease (NAFLD): พบได้บ่อยในผู้ป่วย PCOS
  • ปัญหาด้านสุขภาพจิต: เพิ่มความเสี่ยงของภาวะวิตกกังวล (anxiety) และภาวะซึมเศร้า (depression)
⚕️แนวทางการรักษา (Management)
การรักษา PCOS เป็นการจัดการแบบองค์รวมและปรับให้เข้ากับความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดการกับอาการแสดงทางคลินิก, ป้องกันภาวะแทรกซ้อนระยะยาว และรักษาภาวะมีบุตรยาก (หากต้องการ)
1️⃣ การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต (Lifestyle Modification) 🏃‍♀️🥙
เป็นการรักษาระดับแรก (first-line therapy) ที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะในผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน
  • การลดน้ำหนัก: แม้ลดน้ำหนักได้เพียง 5-10% ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น ก็สามารถช่วยฟื้นฟูการตกไข่ให้กลับมาเป็นปกติ, ปรับปรุงภาวะดื้อต่ออินซูลิน, และลดระดับแอนโดรเจนได้
  • การออกกำลังกาย: แนะนำให้ออกกำลังกายแบบแอโรบิกระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือแบบหนัก 75 นาทีต่อสัปดาห์
  • การควบคุมอาหาร: เน้นอาหารที่มีใยอาหารสูง, ดัชนีน้ำตาลต่ำ (low glycemic index), และจำกัดอาหารแปรรูปและไขมันอิ่มตัว
2️⃣ การรักษาด้วยยา (Pharmacological Treatment) 💊
สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ต้องการมีบุตร 🤷‍♀️
  • ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (Combined Oral Contraceptives - COCs): เป็น first-line therapy เพื่อคุมรอบประจำเดือนให้สม่ำเสมอ, ลดอาการของภาวะแอนโดรเจนเกิน (สิว, ขนดก) และป้องกันมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
  • Progestins: ใช้เพื่อทำให้มีรอบเดือนมาสม่ำเสมอ (cyclical withdrawal bleeding) เพื่อป้องกัน endometrial hyperplasia ในผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ COCs
  • Metformin: เป็น second-line therapy แนะนำให้ใช้ในผู้ป่วย PCOS ที่มี BMI ≥ 25 kg/m² เพื่อจัดการกับภาวะเมตาบอลิซึม หรือในผู้ที่ทนต่อ COCs ไม่ได้
  • Anti-androgens (e.g., Spironolactone): ใช้รักษาสิวและขนดกที่รุนแรง โดยมักใช้ร่วมกับ COCs เนื่องจากมีความเสี่ยงทำให้ทารกในครรภ์ผิดปกติ (teratogenic)
สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการมีบุตร (Fertility Treatment) 🤰
  • Letrozole: ตามแนวทางปฏิบัติสากลปี 2023 แนะนำให้เป็น first-line agent สำหรับการกระตุ้นการตกไข่ (ovulation induction) เนื่องจากมีอัตราการเกิด live birth สูงกว่าและมีผลข้างเคียงน้อยกว่า clomiphene citrate
  • Clomiphene Citrate: เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
  • Metformin: อาจใช้เป็นยาเสริม (adjunctive therapy) ร่วมกับ letrozole หรือ clomiphene โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะอ้วน
  • Gonadotropins: เป็น second-line therapy หากไม่ตอบสนองต่อยาชนิดรับประทาน
  • เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ (Assisted Reproductive Technology - ART): เช่น In Vitro Fertilization (IVF) สำหรับรายที่ล้มเหลวจากการรักษาข้างต้น
📔 สรุป
PCOS เป็นกลุ่มอาการที่ซับซ้อนซึ่งต้องอาศัยการวินิจฉัยที่แม่นยำ การประเมินความเสี่ยงทางเมตาบอลิซึมอย่างสม่ำเสมอ และการวางแผนการรักษาแบบองค์รวมที่จำเพาะต่อบุคคล เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตและลดภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวของผู้ป่วย
ติดตามใน FB ได้ที่นี่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา