1 ก.ย. เวลา 11:18 • สุขภาพ

เชื้อสเตรปโตคอคคัส ซูอิส (Streptococcus suis): อันตรายถึงตายจากหมูดิบ

หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อ "โรคไข้หูดับ" ผ่านทางข่าวอยู่บ่อยครั้ง แต่ทราบหรือไม่ว่าโรคนี้เกิดจากอะไร และอันตรายร้ายแรงเพียงใด บทความนี้จะพาทุกท่านไปรู้จักกับเชื้อ สเตรปโตคอคคัส ซูอิส (Streptococcus suis) ภัยเงียบที่มาพร้อมกับเนื้อหมูดิบและการปรุงที่ไม่สุกดีพอ
🦠 เชื้อ Streptococcus suis คืออะไร?
Streptococcus suis (เรียกสั้นๆ ว่า S. suis) คือเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในระบบทางเดินหายใจของสุกร โดยเฉพาะในโพรงจมูกและต่อมทอนซิล สุกรส่วนใหญ่ที่มีเชื้อนี้อาจไม่แสดงอาการป่วยใดๆ จึงเป็นเหมือน "พาหะ" ที่สามารถแพร่เชื้อสู่คนได้
😵 คนติดเชื้อได้อย่างไร?
การติดเชื้อจากสุกรสู่คนมี 2 ช่องทางหลักๆ คือ
1. การบริโภคเนื้อและเลือดสุกรดิบ: นี่คือสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในประเทศไทย เมนูยอดนิยมอย่าง ลาบดิบ หลู้ดิบ ก้อยดิบ แหนมดิบ หรือการปิ้งย่างที่เนื้อยังแดงๆ สุกไม่ทั่วถึง มีความเสี่ยงสูงมากที่เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเดินอาหาร
2. การสัมผัสเชื้อผ่านบาดแผล: ผู้ที่มีอาชีพใกล้ชิดกับสุกร เช่น เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร, คนชำแหละเนื้อสุกร, สัตวแพทย์ หรือผู้ที่ปรุงอาหาร หากมีบาดแผลตามร่างกาย เชื้อโรคที่ปนเปื้อนอยู่ในเนื้อสุกรหรือสิ่งแวดล้อมก็สามารถเข้าสู่กระแสเลือดผ่านทางบาดแผลนั้นได้
👩‍⚕️ อาการน่ากังวล สัญญาณเตือนของ "โรคไข้หูดับ"
หลังจากได้รับเชื้อประมาณ 1-3 วัน ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการ คือ
  • มีไข้สูง หนาวสั่น
  • ปวดศีรษะอย่างรุนแรง
  • ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เชื้อจะลุกลามเข้าสู่กระแสเลือดและเยื่อหุ้มสมอง ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ได้แก่
  • เยื่อหุ้มสมองอักเสบ: ผู้ป่วยจะมีอาการคอแข็งทื่อ สับสน ซึมลง หรือชักได้
  • การสูญเสียการได้ยิน (หูดับ): นี่คืออาการที่เป็นเอกลักษณ์ของโรคนี้ โดยอาจเกิดขึ้นแบบถาวรหรือไม่ก็ได้ ทำให้เป็นที่มาของชื่อ "โรคไข้หูดับ"
  • ติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis): เป็นภาวะวิกฤตที่อาจนำไปสู่ภาวะช็อก ความดันโลหิตตก และการทำงานของอวัยวะต่างๆ ล้มเหลว จนเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว
⚠️ ใครคือกลุ่มเสี่ยง?
  • 1.
    ผู้ที่นิยมรับประทานเนื้อสุกรดิบหรือปรุงสุกๆ ดิบๆ
  • 2.
    ประกอบอาชีพที่สัมผัสกับสุกรหรือผลิตภัณฑ์จากสุกรโดยตรง
  • 3.
    ผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำ (มักพบว่าผู้ป่วยมีประวัติการดื่มสุราร่วมกับการทานของดิบ)
  • 4.
    ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือเคยตัดม้ามออกไป
🛡️ป้องกันได้ง่ายๆ แค่ "ปรุงสุก" และ "ป้องกันการสัมผัส"
แม้จะดูน่ากลัว แต่เราสามารถป้องกันการติดเชื้อ S. suis ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยหลักการง่ายๆ ดังนี้
  • รับประทานสุกเสมอ: ปรุงเนื้อสุกรให้สุกทั่วถึงด้วยความร้อนที่อุณหภูมิสูงกว่า 70 องศาเซลเซียส เนื้อต้องไม่เป็นสีชมพู และไม่มีเลือดซึมออกมา
  • แยกอุปกรณ์: ควรแยกเขียงและมีดสำหรับหั่นเนื้อดิบและอาหารที่ปรุงสุกแล้วออกจากกัน เพื่อป้องกันการปนเปื้อน
  • ล้างมือให้สะอาด: ล้างมือด้วยสบู่และน้ำทุกครั้งหลังสัมผัสเนื้อสุกรดิบ
  • ป้องกันบาดแผล: หากมีแผลที่มือ ควรใส่ถุงมือเพื่อป้องกันการสัมผัสเชื้อโดยตรง
  • เลือกซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ: เลือกซื้อเนื้อสุกรจากตลาดสดหรือซูเปอร์มาร์เก็ตที่ได้มาตรฐาน
หากสงสัยว่าติดเชื้อ โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ หรือมีประวัติสัมผัสสุกร แล้วมีไข้สูง ปวดศีรษะ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที พร้อมแจ้งประวัติความเสี่ยงให้แพทย์ทราบ การวินิจฉัยและรักษาที่รวดเร็วคือหัวใจสำคัญในการลดความรุนแรงและป้องกันการเสียชีวิต
📊 S. suis จากการสุ่มตรวจในไทย (Burden from Screening)
ข้อมูลการสุ่มตรวจเพื่อหา "ภาระโรค" ที่แท้จริงในกลุ่มประชากรที่ไม่มีอาการ (Asymptomatic) ในไทยยังมีจำกัด แต่ข้อมูลจากการศึกษาในกลุ่มเฉพาะและในสุกรให้ภาพที่ชัดเจนขึ้น
🐷 ในสุกร (แหล่งรังโรคหลัก)
  • อัตราการเป็นพาหะ (Carriage Rate) สูงมาก: การศึกษาในประเทศไทยหลายฉบับพบว่าสุกรในฟาร์มและโรงฆ่าสัตว์เป็นพาหะของเชื้อ S. suis ในอัตราที่สูง โดยเฉพาะในโพรงจมูกและต่อมทอนซิล
  • จากการศึกษาในภาคตะวันออกและตะวันตกของไทย พบเชื้อ S. suis ในลูกสุกรและสุกรขุนประมาณ 33-36% ส่วนในแม่สุกรและสุกรในโรงฆ่าพบเชื้อน้อยกว่า (ประมาณ 10-14%)
  • ความชุกของการเป็นพาหะ S. suis ในประชากรสุกรโดยรวมจากหลายข้อมูลอยู่ที่ประมาณ 30% - 65%
  • ค่าประมาณการที่ดีที่สุด (Best Estimate): อาจกล่าวได้ว่า สุกรประมาณ 1 ใน 3 ถึง 1 ใน 2 ตัว ในระบบการผลิตของไทย เป็นพาหะของเชื้อ S. suis ชนิดใดชนิดหนึ่งในระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะในต่อมทอนซิล
  • แม้สุกรส่วนใหญ่จะเป็นพาหะ แต่สายพันธุ์ที่ก่อโรครุนแรงในคนอย่างซีโรไทป์ 2 (Serotype 2) จะพบในอัตราที่น้อยกว่า แต่ก็ยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญ (ประมาณ 3-5%)
  • ความชุกของ Serotype 14 ซึ่งเป็นอีกสายพันธุ์ที่พบว่าก่อโรคในมนุษย์ น่าจะอยู่ที่ประมาณ น้อยกว่า 2%
  • นัยสำคัญ: แม้จะดูเป็นตัวเลขที่ต่ำ แต่ก็หมายความว่าในสุกรทุกๆ 100 ตัว จะมีประมาณ 2-5 ตัวที่เป็นพาหะของเชื้อสายพันธุ์ที่อันตรายที่สุดต่อมนุษย์ ซึ่งเมื่อพิจารณาจำนวนสุกรทั้งหมดในระบบอุตสาหกรรมแล้ว ถือเป็นความเสี่ยงทางสาธารณสุขที่สำคัญอย่างยิ่ง
บทสรุปเชิงประมาณการ (Overall Estimation) 📝
หากเรานำข้อมูลทั้งหมดมาสร้างเป็นภาพจำลองของสุกร 100 ตัวในระบบการผลิตของไทย จะได้ภาพประมาณการดังนี้
  • ประมาณ 30-65 ตัว: จะเป็นพาหะของเชื้อ S. suis ชนิดใดชนิดหนึ่ง
  • ประมาณ 2-5 ตัว: จะเป็นพาหะของ Serotype 2
  • ประมาณ 1-2 ตัว: จะเป็นพาหะของ Serotype 14
  • ที่เหลืออีกประมาณ 25-58 ตัว: จะเป็นพาหะของซีโรไทป์อื่นๆ ที่ไม่ค่อยก่อโรคในคน (เช่น Serotype 7, 8, 9, 19, 23)
💁‍♂️ ในมนุษย์ (การเป็นพาหะ)
  • การศึกษาหาเชื้อในคนเลี้ยงสุกรที่ไม่แสดงอาการในประเทศไทย ไม่ค่อยพบการเป็นพาหะ ในลำคอ ซึ่งบ่งชี้ว่าการติดเชื้อในคนมักเป็นการติดเชื้อแบบเฉียบพลัน (Acute Infection) จากการสัมผัสหรือบริโภคโดยตรง มากกว่าการเป็นพาหะเรื้อรัง
🗺️ เปรียบเทียบความชุกและซีโรไทป์ของ S. suis ในสุกรระหว่างประเทศ
ไทย 🇹🇭
  • All serotype 30-65% ; serotype 2 ประมาณ 2-5%
  • ความเสี่ยงสูงจากพฤติกรรมการบริโภค (อาหารดิบ) ทำให้ Serotype 2 เป็นปัญหาสาธารณสุขที่รุนแรง
เวียดนาม 🇻🇳
  • All serotype 40-60% ; serotype 2 ประมาณ 8-14%
  • สถานการณ์คล้ายไทยมาก เป็นอีกหนึ่ง Hotspot ของโลกทั้งในคนและในสุกร มีพฤติกรรมการบริโภคที่เสี่ยงเช่นกัน
จีน 🇨🇳
  • All serotype >40% ; serotype 2 พบได้บ่อยและมีการระบาดเป็นบางครั้ง
  • เป็นประเทศที่มีการผลิตสุกรใหญ่ที่สุดในโลก และเคยมีการระบาดครั้งใหญ่ในคนจาก Serotype 2
ยุโรป 🇪🇺
  • All serotype >50-70% ; serotype 2 ประมาณ <1-2%
  • การติดเชื้อในคนพบน้อยมาก และมักเป็น โรคจากการประกอบอาชีพ (Occupational disease) ไม่ใช่จากอาหาร
อเมริกาเหนือ 🇺🇸🇨🇦
  • All serotype >50% ; serotype 2 พบได้ แต่คนละสายพันธุ์ย่อย (ST25, ST28)
  • Serotype 2 ที่พบมีศักยภาพก่อโรครุนแรงในคนต่ำกว่าสายพันธุ์ในเอเชีย และไม่มีพฤติกรรมการบริโภคดิบ ทำให้แทบไม่มีรายงานการป่วยในคนทั่วไป
📝 ข้อสรุปเชิงเปรียบเทียบ
1️⃣ การเป็นพาหะในสุกรเป็นเรื่องปกติทั่วโลก (Global Commensal)
  • จะเห็นได้ว่าอัตราการเป็นพาหะของเชื้อ S. suis โดยรวมนั้น สูงในทุกภูมิภาคที่มีอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรขนาดใหญ่ ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย การพบเชื้อในฟาร์มจึงเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้และเป็นปกติ
2️⃣ ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดคือ "เรื่องราวของซีโรไทป์" (The Serotype Story)
  • กลุ่มประเทศเอเชีย (ไทย, เวียดนาม, จีน): เป็นกลุ่มประเทศที่ "Serotype 2" มีการหมุนเวียนในประชากรสุกรในระดับที่ "มีนัยสำคัญทางสาธารณสุข" แม้จะไม่ใช่ซีโรไทป์ที่เด่นที่สุดในสุกรเสมอไป แต่ก็มีปริมาณมากพอที่จะก่อให้เกิดการติดเชื้อในคนได้อย่างต่อเนื่อง
  • กลุ่มประเทศยุโรป: เป็นกลุ่มที่ "Serotype 9" เป็นซีโรไทป์เด่นในสุกรอย่างชัดเจน ส่วน Serotype 2 พบได้น้อยมาก ทำให้ความเสี่ยงที่คนจะสัมผัสเชื้อสายพันธุ์อันตรายนั้นต่ำกว่ามาก
3️⃣ พฤติกรรมการบริโภคคือปัจจัยตัดสิน (Consumption Habits are Decisive)
  • นี่คือตัวแปรที่อธิบายได้ดีที่สุดว่าทำไม S. suis จึงเป็นปัญหาใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • ในไทยและเวียดนาม ซึ่งมีองค์ประกอบครบ 3 อย่างคือ
1. แหล่งรังโรคขนาดใหญ่ (ประชากรสุกรจำนวนมาก)
2. การหมุนเวียนของสายพันธุ์อันตราย (Serotype 2) ในระดับที่ต่อเนื่อง
3. ช่องทางการติดเชื้อที่เปิดกว้าง (พฤติกรรมการบริโภคเนื้อสุกรดิบ เช่น ลาบ หลู้)
  • ในขณะที่ยุโรปและอเมริกาเหนือ แม้จะมีองค์ประกอบข้อที่ 1 แต่ขาดองค์ประกอบข้อที่ 2 และ 3 อย่างชัดเจน ทำให้ห่วงโซ่การติดเชื้อสู่คนทั่วไปถูกตัดขาดไป
สรุป: สถานการณ์ของประเทศไทยมีความคล้ายคลึงกับเวียดนามและจีน ซึ่งแตกต่างจากประเทศตะวันตกอย่างชัดเจน ปัญหาหลักของเราไม่ได้อยู่ที่ว่า "สุกรมีเชื้อหรือไม่" แต่อยู่ที่ "ประชากรสุกรของเรามีเชื้อสายพันธุ์ที่อันตรายต่อคนปะปนอยู่ และเรามีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการรับเชื้อนั้นเข้ามา"
📊 โอกาสในการติดเชื้อ (%) และกลุ่มเสี่ยง
การระบุ "โอกาสในการติดเชื้อ" เป็นเปอร์เซ็นต์ที่แน่ชัดต่อการสัมผัสหนึ่งครั้ง (e.g., per meal of raw pork) เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากในทางระบาดวิทยา อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากรายงานผู้ป่วยสามารถระบุปัจจัยและกลุ่มเสี่ยงได้อย่างชัดเจน
ทางการบริโภค 🍽️
  • มีความสัมพันธ์สูงสุด: จากข้อมูลการสอบสวนโรคในประเทศไทย ผู้ป่วยติดเชื้อ S. suis ส่วนใหญ่ (อาจสูงถึง 90% หรือมากกว่า) มีประวัติการบริโภคเนื้อสุกรหรือเลือดดิบๆ หรือปรุงสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบดิบ, หลู้, ก้อย, แหนมดิบ
ทางการสัมผัส 🔪
  • เป็นช่องทางที่พบน้อยกว่า แต่มีความสำคัญในกลุ่มเฉพาะ โดยเชื้อสามารถเข้าทางบาดแผล รอยถลอก หรือเยื่อบุตาได้
กลุ่มเสี่ยงสูง (High-Risk Groups) ⚠️
  • ผู้บริโภคเนื้อสุกรดิบ: เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงสุดและใหญ่ที่สุด
  • เพศชาย: อัตราส่วนผู้ป่วยเพศชายต่อเพศหญิงสูงมาก (ประมาณ 3:1 ถึง 5:1) ซึ่งมักสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดื่มสุราและรับประทานอาหารดิบในวงสังสรรค์
  • ผู้ที่มีอาชีพเกี่ยวข้องกับสุกร: เช่น เกษตรกร, คนงานในโรงฆ่าสัตว์, ผู้ชำแหละเนื้อสุกร มีความเสี่ยงผ่านการสัมผัสเชื้อทางบาดแผล
  • กลุ่มอายุ: พบผู้ป่วยมากที่สุดในวัยกลางคนและผู้สูงอายุ (อายุ 45 ปีขึ้นไป)
  • ผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำ: การดื่มสุราเป็นปัจจัยเสริมที่พบได้บ่อยในกลุ่มผู้ป่วย
📊 ในกรณีที่ไม่ได้รับการรักษา อัตราการเสียชีวิตเท่าไร
การหาตัวเลขสถิติที่ระบุว่า "อัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาเลย" เป็นเรื่องที่ท้าทายมากในทางการแพทย์ปัจจุบัน เนื่องจากเหตุผลด้านจริยธรรมที่ผู้ป่วยซึ่งมีอาการรุนแรงจะได้รับการรักษาตามมาตรฐาน (Standard of care) เสมอ
อย่างไรก็ตาม เราสามารถอนุมานอัตราการเสียชีวิตโดยอ้างอิงจากความรุนแรงของกลุ่มอาการทางคลินิก และข้อมูลอัตราป่วยตาย (Case Fatality Rate - CFR) แม้ในกลุ่มที่ได้รับการรักษาแล้วได้
การประเมินอัตราการเสียชีวิตตามกลุ่มอาการ
อัตราการป่วย (Morbidity), อัตราการเสียชีวิต (Mortality), และจำนวนผู้ติดเชื้อ 📉
การติดเชื้อ S. suis หากไม่ได้รับการรักษาจะลุกลามอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะใน 2 กลุ่มอาการหลัก ซึ่งพยากรณ์โรคแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
1️⃣ ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดและภาวะช็อก (Sepsis and Septic Shock)
  • เมื่อไม่ได้รับการรักษา: หากผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะ Septic Shock จากเชื้อ S. suis และไม่ได้รับการรักษาใดๆ เลย (คือ ไม่ได้รับยาปฏิชีวนะ, สารน้ำ, หรือยาเพิ่มความดันโลหิต) พยาธิสรีรวิทยาของภาวะช็อกจะดำเนินไปอย่างรวดเร็วจนเกิดภาวะอวัยวะล้มเหลวหลายระบบ (Multi-organ Failure) และเสียชีวิตในที่สุด
  • อัตราการเสียชีวิตโดยอนุมาน: ในกรณีนี้ อัตราการเสียชีวิตจะเข้าใกล้ 100% การรอดชีวิตแทบจะเป็นไปไม่ได้หากไม่ได้รับการแทรกแซงทางการแพทย์อย่างทันท่วงที
  • ข้อมูลสนับสนุน: แม้ในผู้ป่วยที่ ได้รับการรักษา ในโรงพยาบาล ภาวะ Septic Shock จากเชื้อ S. suis ก็ยังมีอัตราการเสียชีวิตสูง จากข้อมูลการศึกษาในประเทศไทย พบว่า CFR ในกลุ่มนี้อาจสูงถึง 15-30% หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วย สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าหากตัดการรักษาออกไป ผลลัพธ์ก็จะรุนแรงกว่านี้มาก
2️⃣ ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis)
  • เมื่อไม่ได้รับการรักษา: เช่นเดียวกับโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นๆ หากไม่ได้รับยาปฏิชีวนะ เชื้อจะเพิ่มจำนวนในน้ำไขสันหลัง ทำให้ความดันในกะโหลกศีรษะสูงขึ้น เกิดภาวะสมองบวม (Cerebral edema) และนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้เสียชีวิตได้ เช่น สมองถูกกด (Brain herniation)
  • อัตราการเสียชีวิตโดยอนุมาน: อัตราการเสียชีวิตจากภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียโดยทั่วไปหากไม่ได้รับการรักษา อยู่ในระดับที่สูงมาก ในกรณีของ S. suis ก็คาดว่าจะเป็นเช่นเดียวกัน
  • ข้อมูลสนับสนุน: อัตราการเสียชีวิตจาก S. suis meningitis ที่ได้รับการรักษาแล้ว อยู่ที่ประมาณ 7-13% ซึ่งถือว่าต่ำกว่ากลุ่ม Septic Shock แต่ก็ยังคงมีนัยสำคัญ และที่สำคัญคือผู้ป่วยที่รอดชีวิตมักจะมีความพิการถาวร (โดยเฉพาะหูหนวก) ในอัตราที่สูงมาก (>50%)
ถึงแม้จะไม่มีตัวเลขจากการศึกษาโดยตรงสำหรับ "ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาเลย" แต่จากข้อมูลพยาธิกำเนิดและความรุนแรงของโรค สามารถสรุปได้ว่า
การติดเชื้อ S. suis ที่แสดงอาการรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะ Septic Shock หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที มีพยากรณ์โรคที่เลวร้ายอย่างยิ่ง และมีโอกาสเสียชีวิตสูงมากเข้าใกล้ 100%
📊 ในกรณีจากข้อมูลทางสถิติ ตามมาตรฐานการรักษาปัจจุบัน
อัตราการป่วยและภาวะทุพพลภาพ (Morbidity) 🤕
  • การสูญเสียการได้ยินถาวร (Permanent Hearing Loss): เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยและเป็นลักษณะเด่นของโรคนี้ จากข้อมูลการศึกษาหลายแห่งพบว่า ผู้ป่วยที่รอดชีวิตจากภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ มากกว่า 50% - 60% จะมีภาวะสูญเสียการได้ยินอย่างถาวร (Bilateral Sensorineural Hearing Loss)
  • ความผิดปกติของการทรงตัว (Vestibular Dysfunction): พบได้ประมาณ 20-25% ในผู้ที่รอดชีวิต
อัตราการเสียชีวิต (Mortality Rate / Case Fatality Rate - CFR) ☠️
  • ในประเทศไทย: อัตราป่วยตายโดยรวมจะอยู่ระหว่าง 5 - 20% ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละปีและพื้นที่
  • อัตราป่วยตายจะสูงขึ้นมากในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เช่น ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดร่วมกับภาวะช็อก (Septic Shock) หรือ Streptococcal Toxic Shock-Like Syndrome (STSLS) ซึ่งอัตราตายอาจสูงถึง 30% หรือมากกว่านั้น
ยอดรวมการติดเชื้อในประเทศไทย 🇹🇭
  • ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอุบัติการณ์ของโรคสูงสุดในโลก
  • จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค ประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยยืนยัน ปีละประมาณ 300 - 600 ราย ตัวอย่างเช่น
- ปี พ.ศ. 2565: มีผู้ป่วย 349 ราย
- ปี พ.ศ. 2566 (ข้อมูลถึง พ.ย.): มีผู้ป่วย 548 ราย เสียชีวิต 26 ราย
  • จังหวัดที่มีอัตราป่วยต่อแสนประชากรสูงสุดมักอยู่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น ลำปาง, พิจิตร, แพร่, นครราชสีมา
ยอดรวมการติดเชื้อทั่วโลก 🌏
  • การรายงานผู้ป่วยทั่วโลกยังถือว่าต่ำกว่าความเป็นจริง (underreported)
  • ประเทศไทยและเวียดนาม เป็นสองประเทศที่มีรายงานผู้ป่วยรวมกันคิดเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดของโลก (มากกว่า 65-70% ของเคสที่รายงานทั้งหมด)
  • ประเทศจีนเคยมีการระบาดใหญ่ในปี พ.ศ. 2548 มีผู้ป่วย 215 ราย
  • โดยรวมแล้ว มีการรายงานเคสทั่วโลกมากกว่า 1,600 เคสในงานวิจัย แต่คาดว่าจำนวนผู้ป่วยจริงสูงกว่านี้มาก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อ่านบน FB ได้ที่นี่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา