24 ส.ค. เวลา 01:00 • สุขภาพ

ซิฟิลิส (Syphilis): รู้ลึกทุกระยะ ตั้งแต่เชื้อเข้าสู่ร่างกายจนถึงการรักษา

ซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ถูกขนานนามว่า "นักลอกเลียนผู้ยิ่งใหญ่" (The Great Imitator) เนื่องจากอาการของโรคในแต่ละระยะมีความหลากหลายและคล้ายคลึงกับโรคอื่นๆ ได้มากมาย ทำให้การวินิจฉัยทำได้ยากหากไม่สงสัย แต่ในขณะเดียวกัน ซิฟิลิสเป็นโรคที่สามารถ รักษาให้หายขาดได้ หากตรวจพบและรักษาอย่างรวดเร็ว การทำความเข้าใจโรคนี้อย่างลึกซึ้งจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
🦠 เชื้อซิฟิลิสคืออะไร และติดต่อได้อย่างไร?
เชื้อก่อโรคซิฟิลิสคือแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Treponema pallidum (ทรีโพนีมา พัลลิดัม) ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดเกลียว (Spirochete) ที่มีความบอบบางและไม่สามารถมีชีวิตอยู่นอกร่างกายมนุษย์ได้นาน
  • แหล่งที่พบเชื้อ: เชื้อจะอาศัยอยู่และแบ่งตัวในร่างกายมนุษย์ โดยพบได้ในสารคัดหลั่งและแผลของผู้ป่วย เช่น แผลริมแข็ง (Chancre) หรือผื่นในระยะที่สอง
  • การแพร่เชื้อ: การติดต่อหลักเกิดจากการ สัมผัสโดยตรงกับแผลหรือผื่นของผู้ป่วย ซึ่งมักเกิดขึ้นระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือปาก นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์ได้ (Congenital Syphilis)
  • การรับเชื้อ: เชื้อจะไชเข้าสู่ร่างกายผ่านรอยถลอกหรือแผลขนาดเล็กบนเยื่อบุต่างๆ (เช่น อวัยวะเพศ ช่องปาก ทวารหนัก) หรือผิวหนัง
ข้อควรรู้: ซิฟิลิส ไม่สามารถ ติดต่อผ่านการใช้ห้องน้ำร่วมกัน, ลูกบิดประตู, สระว่ายน้ำ หรือการใช้ภาชนะรับประทานอาหารร่วมกันได้
🔬 กลไกการติดเชื้อและการดำเนินโรคในแต่ละระยะ
เมื่อเชื้อ T. pallidum เข้าสู่ร่างกายได้สำเร็จ มันจะเริ่มแบ่งตัว ณ บริเวณที่รับเชื้อ และในขณะเดียวกัน เชื้อบางส่วนจะกระจายเข้าสู่กระแสเลือดและท่อน้ำเหลืองอย่างรวดเร็ว ทำให้ซิฟิลิสเป็นโรคที่เกิดการติดเชื้อทั่วร่างกาย (Systemic infection) ตั้งแต่ระยะแรกๆ การดำเนินโรคแบ่งออกเป็นระยะต่างๆ ดังนี้
1️⃣ ระยะที่ 1: Primary Syphilis (ระยะแผล)
  • ช่วงเวลา: เกิดขึ้นประมาณ 10-90 วันหลังรับเชื้อ (เฉลี่ย 21 วัน)
  • กลไกและพยาธิสภาพ: เชื้อที่แบ่งตัว ณ จุดรับเชื้อจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือดขนาดเล็ก (Endarteritis) และมีเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน (เช่น Plasma cells, Lymphocytes) มารวมตัวกัน ทำให้เกิดเป็นตุ่มนูนแดงและกลายเป็นแผลในที่สุด
อาการ
  • แผลริมแข็ง (Chancre): เป็นอาการเด่นของระยะนี้ ลักษณะคือเป็น แผลเดี่ยวๆ ขอบนูนแข็ง และที่สำคัญคือไม่เจ็บ บริเวณที่พบได้บ่อยคือ อวัยวะเพศ, ทวารหนัก, ริมฝีปาก, หรือในช่องปาก
  • ต่อมน้ำเหลืองโต: อาจพบต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบโต แต่ไม่เจ็บ
สิ่งสำคัญ: แผลริมแข็งนี้จะ หายไปได้เองภายใน 3-6 สัปดาห์ แม้ไม่ได้รับการรักษา ซึ่งทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากเข้าใจผิดว่าหายจากโรคแล้ว แต่ความจริงคือเชื้อได้กระจายเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อเข้าสู่ระยะต่อไป
2️⃣ ระยะที่ 2: Secondary Syphilis (ระยะออกดอก หรือระยะเข้าข้อ)
  • ช่วงเวลา: เกิดขึ้นประมาณ 4-10 สัปดาห์หลังจากเกิดแผลริมแข็ง
  • กลไกและพยาธิสภาพ: เป็นระยะที่เชื้อกระจายไปทั่วร่างกายอย่างสมบูรณ์ (Systemic dissemination) ทำให้เกิดอาการได้หลากหลายระบบจากการตอบสนองของภูมิคุ้มกันทั่วร่างกาย
อาการ 🩺 เป็นระยะที่สามารถ "ลอกเลียน" โรคอื่นได้มากที่สุด อาการที่พบบ่อยได้แก่
  • ผื่น (Rash): เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด (ประมาณ 75-100% ของผู้ป่วยระยะนี้) ลักษณะผื่นไม่คัน อาจเป็นจุดแดง ตุ่มนูน หรือเป็นขุยก็ได้ ลักษณะเด่นคือมักพบผื่นที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า
  • ผื่นนูนคล้ายหงอนไก่ (Condyloma Lata): พบบริเวณอับชื้น เช่น อวัยวะเพศ หรือรักแร้ (พบได้ 10-20%)
  • ผมร่วงเป็นหย่อมๆ (Moth-eaten alopecia)
  • อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่: เช่น มีไข้, ปวดศีรษะ, ปวดเมื่อยตามตัว, ต่อมน้ำเหลืองโตทั่วตัว
สิ่งสำคัญ: อาการในระยะที่สองนี้จะ หายไปได้เองเช่นกัน แม้ไม่ได้รับการรักษา ทำให้ผู้ป่วยเข้าสู่ "ระยะแฝง"
ระยะแฝง: Latent Syphilis 🔎
  • ช่วงเวลา: เริ่มต้นหลังจากอาการระยะที่ 2 หายไป
  • กลไกและพยาธิสภาพ: เป็นระยะที่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกาย แต่ถูกควบคุมโดยระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ผู้ป่วย ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ แสดงออกมาเลย แต่ยังสามารถตรวจเลือดพบการติดเชื้อได้
การแบ่งระยะ
  • Early Latent: แฝงอยู่ในช่วง 1 ปีแรกหลังติดเชื้อ ยังสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้
  • Late Latent: แฝงอยู่นานเกิน 1 ปี โอกาสแพร่เชื้อให้ผู้อื่นต่ำมาก (ยกเว้นการถ่ายทอดสู่ทารกในครรภ์)
3️⃣ ระยะที่ 3: Tertiary Syphilis (ระยะทำลาย)
  • ช่วงเวลา: เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ 10 ถึง 30 ปีหลังการติดเชื้อครั้งแรก
  • กลไกและพยาธิสภาพ: เป็นผลจากการอักเสบเรื้อรังที่ร่างกายตอบสนองต่อเชื้อที่ยังหลงเหลืออยู่ ทำให้เกิดการทำลายอวัยวะต่างๆ อย่างรุนแรงและถาวร
อาการ: พบได้ในผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาประมาณ 15-30% แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก
  • Gummatous Syphilis: เกิดก้อนทำลายเนื้อเยื่อที่เรียกว่า "กัมมา" (Gumma) ขึ้นตามอวัยวะต่างๆ เช่น ผิวหนัง, กระดูก, ตับ
  • Cardiovascular Syphilis: เชื้อทำลายหลอดเลือดแดงใหญ่ (Aorta) ทำให้ผนังหลอดเลือดอักเสบ (Aortitis) และอาจโป่งพองเป็นกระเปาะ (Aneurysm) ซึ่งเสี่ยงต่อการแตกและเสียชีวิตได้
  • Neurosyphilis: เชื้อเข้าทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดอาการได้หลากหลายตั้งแต่อาการทางจิต, สมองเสื่อม (Dementia), อัมพาต, สูญเสียการทรงตัว (Tabes dorsalis), ไปจนถึงตาบอด
⌛️การดำเนินโรคตามธรรมชาติหากไม่ได้รับการรักษา
หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา ซิฟิลิสจะมีการดำเนินโรคที่น่าสนใจ (ข้อมูลจากยุคก่อนค้นพบยาปฏิชีวนะ)
  • ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยอาจจะ หายได้เอง หรือเชื้อถูกควบคุมโดยภูมิคุ้มกันจนไม่แสดงอาการรุนแรงตลอดชีวิต
  • ประมาณ 1 ใน 3 จะยังคงอยู่ใน ระยะแฝง โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
  • ประมาณ 1 ใน 3 จะเข้าสู่ ระยะที่ 3 (Tertiary Syphilis) และเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
ภาวะทุพพลภาพและเสียชีวิต 😵
  • Morbidity (ภาวะทุพพลภาพ): ผู้ป่วยในระยะที่ 3 มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะทุพพลภาพถาวร เช่น ตาบอด, หูหนวก, อัมพาต, ความผิดปกติทางจิต, หรือโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • Mortality (การเสียชีวิต): อัตราการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับภาวะแทรกซ้อนในระยะที่ 3 อยู่ที่ประมาณ 10-30% ของผู้ป่วยที่ดำเนินโรคมาถึงระยะนี้
🩺 เมื่อไหร่ควรเข้ารับการตรวจ และตรวจด้วยวิธีใด?
ใครที่ควรเข้ารับการตรวจคัดกรอง?
  • ผู้ที่มีอาการที่น่าสงสัย เช่น มีแผลที่อวัยวะเพศ หรือมีผื่นขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ (เป็นการตรวจตามมาตรฐาน)
  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือมีคู่นอนหลายคน
  • ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM)
  • ผู้ติดเชื้อ HIV
  • ผู้ที่มีคู่นอนซึ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นซิฟิลิส
วิธีการตรวจวินิจฉัย
การตรวจเลือดเป็นวิธีมาตรฐาน โดยแบ่งการตรวจเป็น 2 กลุ่มหลัก
1. Nontreponemal Tests (การตรวจคัดกรอง)
  • ตัวอย่าง: VDRL, RPR
  • หลักการ: ตรวจหาแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อสารที่เซลล์ปล่อยออกมาเมื่อถูกเชื้อทำลาย (Cardiolipin) ไม่ใช่การตรวจหาเชื้อโดยตรง
  • ข้อดี: ราคาไม่แพง, ใช้ติดตามการรักษาได้ เพราะค่า (Titer) จะลดลงหลังได้รับการรักษา
  • ข้อเสีย: อาจให้ผลบวกลวง (False Positive) ได้ในภาวะอื่น เช่น การตั้งครรภ์, โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE), หรือการติดเชื้อไวรัสบางชนิด
2. Treponemal Tests (การตรวจเพื่อยืนยัน)
  • ตัวอย่าง: TPHA, TP-PA, FTA-ABS, CMIA
  • หลักการ: ตรวจหาแอนติบอดีที่จำเพาะเจาะจงต่อเชื้อ T. pallidum โดยตรง
  • ข้อดี: มีความจำเพาะสูง ใช้เพื่อยืนยันผลตรวจคัดกรองที่เป็นบวก
  • ข้อเสีย: เมื่อให้ผลบวกแล้ว มักจะ ให้ผลบวกไปตลอดชีวิต แม้จะรักษาหายแล้ว จึงไม่สามารถใช้ติดตามการรักษาได้
กระบวนการโดยทั่วไป: จะเริ่มด้วยการตรวจคัดกรอง (RPR/VDRL) หากให้ผลบวก จะทำการตรวจยืนยันด้วย Treponemal test
💉 ยาหลักในการรักษา (Drug of Choice)
Penicillin G ยังคงเป็นยาขนานเอกและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาซิฟิลิสทุกระยะ เนื่องจากเชื้อ T. pallidum ยังไม่เคยมีรายงานการดื้อต่อยา Penicillin อย่างมีนัยสำคัญทางคลินิก รูปแบบของยาจะแตกต่างกันไปในแต่ละระยะของโรค
การรักษาซิฟิลิสในแต่ละระยะ (Treatment Regimens) 📝
1. ซิฟิลิสระยะปฐมภูมิ, ทุติยภูมิ และระยะแฝงช่วงต้น (Primary, Secondary, and Early Latent Syphilis)
  • นิยามระยะแฝงช่วงต้น (Early Latent): คือการติดเชื้อที่เกิดขึ้นภายใน 1 ปีที่ผ่านมา โดยมีหลักฐานสนับสนุน เช่น มีประวัติการเปลี่ยนจากผลเลือดเป็นบวก (seroconversion), มี titer ของ nontreponemal test เพิ่มขึ้น ≥ 4 เท่า, หรือมีคู่นอนที่เพิ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นซิฟิลิสระยะที่ 1 หรือ 2
  • ยาที่แนะนำ (Recommended Regimen) Benzathine penicillin G 2.4 ล้านยูนิต ฉีดเข้ากล้าม (IM) ครั้งเดียว
  • % Cure Rate: การศึกษาส่วนใหญ่รายงานอัตราการรักษาหาย (Serological cure) ด้วยยาขนานนี้อยู่ที่ ประมาณ 90-100% โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ไม่มีการติดเชื้อ HIV ร่วมด้วย ถือว่ามีประสิทธิภาพสูงมาก
2. ซิฟิลิสระยะแฝงช่วงปลาย, ระยะแฝงไม่ทราบระยะเวลา และระยะตติยภูมิ (Late Latent, Latent of Unknown Duration, and Tertiary Syphilis)
  • นิยาม: คือการติดเชื้อที่นานกว่า 1 ปี หรือไม่สามารถระบุระยะเวลาที่แน่นอนได้ (ต้องตรวจน้ำไขสันหลัง (CSF) เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มี Neurosyphilis)
  • ยาที่แนะนำ (Recommended Regimen) Benzathine penicillin G 7.2 ล้านยูนิต (Total dose) โดยแบ่งฉีด ครั้งละ 2.4 ล้านยูนิต เข้ากล้าม (IM) สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 3 สัปดาห์
  • เหตุผล: การรักษาที่ยาวนานขึ้นจำเป็นเพื่อให้ระดับยาในเลือดคงอยู่นานเพียงพอที่จะกำจัดเชื้อที่แบ่งตัวช้าในระยะท้ายๆ
  • % Cure Rate: ข้อมูลสำหรับระยะนี้มีจำกัดกว่าระยะแรก แต่การใช้ยาตามแนวทางนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพสูงและเป็นมาตรฐานการรักษา การตอบสนองทาง Serology อาจช้ากว่าระยะแรก
3. ซิฟิลิสระบบประสาทและซิฟิลิสตา (Neurosyphilis and Ocular Syphilis)
  • การวินิจฉัย: ต้องได้รับการยืนยันด้วยการเจาะตรวจน้ำไขสันหลัง (CSF analysis) พบ VDRL-CSF reactive หรือมี pleocytosis และ/หรือ elevated protein
  • ยาที่แนะนำ (Recommended Regimen) Aqueous crystalline penicillin G 18-24 ล้านยูนิตต่อวัน โดยแบ่งให้ 3-4 ล้านยูนิต ทุก 4 ชั่วโมง ทางหลอดเลือดดำ (IV) หรือให้แบบ Continuous infusion นาน 10-14 วัน
  • % Cure Rate: การรักษาตามแนวทางนี้มีประสิทธิภาพในการทำให้ CSF parameters กลับมาเป็นปกติ (เช่น cell count) และป้องกันการดำเนินโรคต่อ อย่างไรก็ตาม ความเสียหายทางระบบประสาทที่เกิดขึ้นแล้วอาจไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้สมบูรณ์
การรักษาในประชากรกลุ่มพิเศษ
  • หญิงตั้งครรภ์: ต้องรักษาด้วย Penicillin เท่านั้น ตามระยะของโรค การรักษาด้วยยาอื่น (เช่น Erythromycin) ไม่สามารถผ่านรกไปรักษาทารกในครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ผู้ป่วย HIV: โดยทั่วไปให้การรักษาเหมือนผู้ป่วยที่ไม่มี HIV แต่ผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจมีความเสี่ยงต่อการล้มเหลวในการรักษาสูงกว่า และการตอบสนองทาง Serology (titer ลดลง) อาจช้ากว่า จึงต้องมีการติดตามผลอย่างใกล้ชิด
การรักษาในผู้ป่วยที่แพ้ Penicillin (Penicillin Allergy)
แนวทางปฏิบัติ
  • ยืนยันการแพ้: ควรซักประวัติอย่างละเอียดเพื่อแยกระหว่างอาการแพ้จริง (เช่น Anaphylaxis, Urticaria) กับผลข้างเคียงที่ไม่ใช่การแพ้
  • Desensitization: สำหรับหญิงตั้งครรภ์และผู้ป่วย Neurosyphilis "จำเป็นต้อง" ทำ Desensitization แล้วให้การรักษาด้วย Penicillin เนื่องจากเป็นยาเพียงชนิดเดียวที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพและป้องกัน Congenital Syphilis ได้
ยาทางเลือก (สำหรับผู้ใหญ่ที่ไม่ตั้งครรภ์และไม่ใช่ Neurosyphilis)
  • Doxycycline 100 mg รับประทาน วันละ 2 ครั้ง ระยะ Primary, Secondary, Early Latent: นาน 14 วัน ; ระยะ Late Latent, Tertiary: นาน 28 วัน
  • Ceftriaxone 1-2 g ฉีดเข้ากล้าม (IM) หรือหลอดเลือดดำ (IV) วันละครั้ง นาน 10-14 วัน (มีข้อมูลสนับสนุนมากขึ้นในช่วงหลัง แต่ยังถือเป็นยาทางเลือก)
% Cure Rate ของยาทางเลือก
  • Doxycycline: มีประสิทธิภาพดีในการรักษาซิฟิลิสระยะแรก โดยมี Cure rate อยู่ที่ ประมาณ 90-97% ซึ่งใกล้เคียงกับ Penicillin อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพในระยะท้ายๆ ยังมีข้อมูลน้อยกว่า
  • Ceftriaxone: ข้อมูลแสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพดีเช่นกัน แต่ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อกำหนดขนาดยาและระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุด
⏱️ การติดตามผลหลังการรักษา
หลังได้รับการรักษา (โดยส่วนใหญ่มักเป็นการฉีดยา Penicillin) แพทย์จะนัดติดตามผลเพื่อยืนยันว่าการรักษาได้ผลดีและไม่มีการติดเชื้อซ้ำ
  • วิธีการติดตาม: ใช้การตรวจเลือด Nontreponemal test (RPR หรือ VDRL) เพื่อดูระดับตัวเลขที่เรียกว่า "ไทเทอร์" (Titer)
  • เป้าหมายการรักษาที่สำเร็จ: ระดับไทเทอร์ควรจะ ลดลงอย่างน้อย 4 เท่า (เช่น จาก 1:64 ลดลงเหลือ 1:16) ภายใน 6-12 เดือนหลังการรักษา
  • กรณีที่ไทเทอร์ไม่ลดลงหรือเพิ่มขึ้น: อาจบ่งชี้ถึงการรักษาที่ล้มเหลว หรือการติดเชื้อซ้ำ (Re-infection) ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการประเมินและรักษาใหม่อีกครั้ง
โดยสรุป ซิฟิลิสเป็นโรคที่มีความซับซ้อนแต่สามารถจัดการได้ การตระหนักถึงความเสี่ยง การป้องกันด้วยการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย และการเข้ารับการตรวจเมื่อสงสัย คือกุญแจสำคัญในการหยุดยั้งการดำเนินโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงในระยะยาวได้ครับ
อ่านบน FB ได้ที่นี่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา