12 ส.ค. เวลา 03:00 • สุขภาพ

ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B): ภัยเงียบที่ป้องกันได้

ไวรัสตับอักเสบบี หรือ HBV (Hepatitis B Virus) คือเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคตับอักเสบทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรังทั่วโลก จัดเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญเนื่องจากผู้ติดเชื้อจำนวนมากไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่เชื้อจะค่อยๆ ทำลายตับอย่างเงียบๆ และนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงในระยะยาวได้ เช่น ตับแข็ง และมะเร็งตับ บทความนี้จะเจาะลึกทุกแง่มุมของ HBV ตั้งแต่การติดเชื้อ กลไกของโรค ไปจนถึงการป้องกันและแนวทางการรักษาในปัจจุบันและอนาคต
🦠 ไวรัสตับอักเสบบีคืออะไร และติดต่อได้อย่างไร?
HBV เป็นไวรัสชนิด DNA (Hepadnaviridae family) ที่มีความสามารถในการบุกรุกและแบ่งตัวในเซลล์ตับ (Hepatocytes) โดยเฉพาะ เชื้อนี้มีความทนทานสูง สามารถคงอยู่ในสิ่งแวดล้อมภายนอกร่างกายได้นานถึง 7 วัน
ช่องทางการติดต่อหลัก (Routes of Transmission) 🩸
การติดเชื้อ HBV ไม่ได้เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน แต่จะติดต่อผ่านทางการสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ที่มีเชื้ออยู่ ได้แก่
1️⃣ การติดต่อจากแม่สู่ลูก (Perinatal Transmission) : เป็นช่องทางที่พบบ่อยที่สุดทั่วโลกและเป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อเรื้อรัง ทารกจะได้รับเชื้อจากมารดาขณะคลอด (สัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่ง ของมารดาที่มีเชื้อไวรัสอยู่ ในขณะคลอด)
2️⃣ การสัมผัสเลือดโดยตรง (Parenteral Transmission)
  • การใช้เข็มฉีดยาหรืออุปกรณ์สัก/เจาะร่างกายร่วมกัน
  • การถูกเข็มตำในบุคลากรทางการแพทย์ (Needlestick injury)
  • การรับเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือดที่ปนเปื้อน (พบน้อยมากในปัจจุบันเนื่องจากมีระบบการคัดกรองที่มีประสิทธิภาพ)
3️⃣ การมีเพศสัมพันธ์ (Sexual Transmission): สามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อโดยไม่ได้ป้องกัน
4️⃣ การสัมผัสใกล้ชิดในครัวเรือน (Household Contact): การใช้ของใช้ส่วนตัวที่อาจปนเปื้อนเลือดร่วมกัน เช่น แปรงสีฟัน มีดโกน
🩸 เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกาย กลไกในระดับเซลล์
เมื่อไวรัสเข้าสู่เซลล์ตับ (Hepatocyte) จีโนมของไวรัส (relaxed circular DNA, rcDNA) จะถูกส่งเข้าไปยังนิวเคลียส และถูกเปลี่ยนแปลงไปเป็นโครงสร้างที่เสถียรมากเรียกว่า Covalently Closed Circular DNA (cccDNA) ซึ่ง cccDNA นี้จะทำหน้าที่เป็นแม่แบบ (template) ในการสร้างไวรัสตัวใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง และเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้การรักษาให้หายขาดทำได้ยาก
👨‍⚕️ Acute vs. Chronic Infection และความอันตรายในวัยเด็ก
เมื่อเชื้อ HBV เข้าสู่ร่างกาย จะเดินทางไปยังตับและเริ่มกระบวนการแบ่งตัวภายในเซลล์ตับ ผลลัพธ์ของการติดเชื้อจะแตกต่างกันอย่างมาก ขึ้นอยู่กับ "อายุ" และ "ความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน" ของผู้ได้รับเชื้อ ณ เวลานั้น
การติดเชื้อเฉียบพลัน (Acute Infection) ⚡️
  • กลุ่มเป้าหมาย: มักเกิดในผู้ใหญ่ที่มีระบบภูมิคุ้มกันสมบูรณ์
  • กลไก: ระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Cytotoxic T-lymphocytes (CTLs) จะจดจำเซลล์ตับที่ติดเชื้อได้ว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม และเข้าทำลายเซลล์เหล่านั้นอย่างรวดเร็ว การทำลายเซลล์ตับจำนวนมากนี้เองที่ทำให้เกิดอาการตับอักเสบเฉียบพลัน (ตัวเหลือง ตาเหลือง อ่อนเพลีย ค่าเอนไซม์ตับสูง)
ผลลัพธ์
  • ในผู้ใหญ่กว่า 95% การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงนี้จะสามารถกำจัดไวรัสออกจากร่างกายได้สำเร็จ (HBsAg clearance) และสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา ทำให้ไม่กลายเป็นการติดเชื้อเรื้อรัง
การติดเชื้อเรื้อรัง (Chronic Infection) ⏳
  • กลุ่มเป้าหมาย: มักเกิดในทารกแรกเกิดและเด็กเล็ก
  • กลไก: ทารกที่ได้รับเชื้อจากมารดาขณะคลอด ระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า "Immune Tolerance" คือระบบภูมิคุ้มกันมองไม่เห็นว่าไวรัสเป็นสิ่งแปลกปลอม จึงไม่มีการโจมตีเซลล์ตับที่ติดเชื้ออย่างจริงจัง ไวรัสจึงสามารถแบ่งตัวและคงอยู่ในร่างกายได้อย่างอิสระโดยไม่ถูกกำจัด
ผลลัพธ์
  • ทารกแรกเกิด: มากกว่า 90% ของทารกที่ติดเชื้อจะกลายเป็นผู้ติดเชื้อเรื้อรัง
  • เด็กอายุ 1-5 ปี: ประมาณ 25-50% จะกลายเป็นผู้ติดเชื้อเรื้อรัง
  • ผู้ใหญ่: น้อยกว่า 5% จะกลายเป็นผู้ติดเชื้อเรื้อรัง
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมการได้รับเชื้อในวัยเด็กจึงอันตรายกว่า เพราะมีโอกาสสูงมากที่จะกลายเป็นการติดเชื้อเรื้อรัง ซึ่งจะนำไปสู่ความเสี่ยงระยะยาวต่อไป
⚠️ ความเสี่ยงของผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง
ผู้ที่ติดเชื้อ HBV เรื้อรังจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรงสูงกว่าคนปกติอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าในช่วงแรกอาจไม่มีอาการใดๆ เลยก็ตาม การอักเสบของตับในระดับต่ำๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสิบปี จะกระตุ้นให้เกิดพังผืด (Fibrosis) สะสมในเนื้อตับ
ความเสี่ยงที่สำคัญ ‼️
1️⃣ ตับแข็ง (Cirrhosis): ประมาณ 15-40% ของผู้ติดเชื้อเรื้อรังที่ไม่ได้รับการรักษา จะเกิดภาวะตับแข็งในช่วงชีวิต
2️⃣ มะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma - HCC)
  • ผู้ติดเชื้อ HBV เรื้อรังมีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับสูงกว่าคนปกติประมาณ 100 เท่า
  • HBV ถือเป็น Direct Oncogenic Virus กล่าวคือ ตัวไวรัสเองสามารถส่งเสริมการเกิดมะเร็งได้โดยตรง โดยชิ้นส่วนของสารพันธุกรรมไวรัส (HBx protein) สามารถเข้าไปแทรกในจีโนมของเซลล์ตับ (Genomic integration) และกระตุ้นยีนที่เกี่ยวข้องกับการกลายพันธุ์ของเซลล์ให้เป็นเซลล์มะเร็งได้ ดังนั้น ผู้ป่วยบางรายสามารถเป็นมะเร็งตับได้โดยที่ยังไม่มีภาวะตับแข็ง
👨‍⚕️ ทำไมปัจจุบันจึงยังไม่สามารถรักษา HBV ให้หายขาดได้?
เป้าหมายสูงสุดของการรักษาคือการกำจัดเชื้อให้หมดไปจากร่างกาย หรือที่เรียกว่า "Sterilizing Cure" แต่ด้วยยาต้านไวรัสที่มีในปัจจุบัน เรายังไม่สามารถไปถึงจุดนั้นได้
หัวใจของปัญหาคือ "cccDNA" 🧬
ดังที่กล่าวไปข้างต้น cccDNA ที่ฝังตัวอยู่อย่างเสถียรในนิวเคลียสของเซลล์ตับ คืออุปสรรคที่สำคัญที่สุด
  • ยาต้านไวรัสกลุ่ม Nucleos(t)ide Analogues (NAs) เช่น Entecavir, Tenofovir ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน สามารถยับยั้งเอนไซม์ Reverse Transcriptase ของไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ไวรัสไม่สามารถสร้างอนุภาคใหม่ได้ ส่งผลให้ปริมาณไวรัสในเลือด (HBV DNA) ลดลงจนตรวจไม่พบ และการอักเสบของตับลดลง
  • อย่างไรก็ตาม ยาเหล่านี้ ไม่สามารถกำจัด cccDNA ที่มีอยู่แล้วได้
  • ดังนั้น หากหยุดยา cccDNA ที่ยังคงอยู่ก็จะกลับมาทำหน้าที่เป็นแม่แบบเพื่อสร้างไวรัสใหม่อีกครั้ง ทำให้โรคกลับมากำเริบได้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
เป้าหมายการรักษาในปัจจุบันและอนาคต 🎯
เป้าหมายที่เป็นไปได้และเป็นที่ยอมรับในปัจจุบันคือ "Functional Cure" ซึ่งหมายถึงภาวะที่
1. ตรวจไม่พบ HBV DNA ในเลือด
2. ตรวจไม่พบ HBsAg ในเลือด (HBsAg sero-clearance)
3. เกิดขึ้นอย่างคงทนแม้จะหยุดยาต้านไวรัสไปแล้วก็ตาม
💉วัคซีน: เกราะป้องกันที่ดีที่สุด
วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีเป็นหนึ่งในความสำเร็จทางการแพทย์ที่ยิ่งใหญ่และเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการควบคุมโรค
  • ประสิทธิภาพ (Efficacy): ในเด็กและผู้ใหญ่ที่สุขภาพแข็งแรง การฉีดวัคซีนครบ 3 เข็ม สามารถสร้างภูมิคุ้มกัน (ระดับ Anti-HBs ≥ 10 mIU/mL) ได้สูงถึง มากกว่า 95%
ระยะเวลาในการป้องกัน (Duration of Protection) ⌛️
  • ข้อมูลจากการศึกษาติดตามผลระยะยาวพบว่า ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นหลังการฉีดวัคซีนครบชุดในวัยเด็กมีความคงทนยาวนาน อย่างน้อย 20-30 ปี และอาจจะตลอดชีวิต ในคนส่วนใหญ่ที่มีการตอบสนองต่อวัคซีนที่ดี
  • กลไกป้องกันอาศัย "Immunological Memory" แม้ว่าระดับแอนติบอดี (Anti-HBs) ที่วัดได้ในเลือดอาจจะลดลงตามกาลเวลาจนต่ำกว่า 10 mIU/mL แต่ร่างกายยังคงมี Memory B-cells ที่พร้อมจะสร้างแอนติบอดีขึ้นมาอย่างรวดเร็วเมื่อได้รับเชื้อเข้ามา
การฉีดกระตุ้น (Booster Dose) 🚀
  • สำหรับประชากรทั่วไป: องค์กรอนามัยโลก (WHO) และ CDC ของสหรัฐอเมริกา ไม่แนะนำให้มีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเป็นประจำสำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันปกติที่เคยได้รับวัคซีนครบชุดในวัยเด็ก
  • สำหรับกลุ่มเสี่ยง: อาจพิจารณาตรวจระดับภูมิคุ้มกันและฉีดเข็มกระตุ้นในบางกลุ่ม เช่น
  • บุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยงสัมผัสเชื้อสูง
  • ผู้ป่วยไตวายที่ต้องฟอกไต
  • ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • ผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อวัคซีนในชุดแรก (Non-responders)
ไวรัสตับอักเสบบีเป็นโรคติดเชื้อที่มีกลไกซับซ้อนและเป็นภัยเงียบที่ร้ายแรง การติดเชื้อในวัยเด็กมีความเสี่ยงสูงที่จะกลายเป็นพาหะเรื้อรังและนำไปสู่ตับแข็งและมะเร็งตับในที่สุด
แม้ปัจจุบันเราจะยังไม่มียาที่รักษาให้หายขาดได้เนื่องจากความคงทนของ cccDNA แต่ยาต้านไวรัสที่มีอยู่ก็สามารถควบคุมโรคและลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม อาวุธที่ดีที่สุดของเราคือ "การป้องกัน" ผ่านการฉีดวัคซีน ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ตลอดชีวิต
การให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการต่อสู้กับโรคนี้ต่อไป

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา