Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Doctor Near you (หมอใกล้คุณ)
•
ติดตาม
29 ก.ย. เวลา 10:17 • สุขภาพ
เกาต์ (Gout): เมื่อกรดยูริก (Uric acid) มาเยือนข้อของคุณ
หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อ "โรคเกาต์" หรือ "โรคของราชา" ซึ่งในอดีตมักพบในหมู่ชนชั้นสูงที่มีการกินดื่มอย่างอุดมสมบูรณ์ แต่ปัจจุบันโรคนี้สามารถพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย และเมื่อมีอาการกำเริบแต่ละครั้งก็สร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับโรคเกาต์ในทุกแง่มุม ตั้งแต่สาเหตุ อาการ ไปจนถึงการรักษาและป้องกันครับ
🧑⚕️ เกาต์คืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร?
โรคเกาต์ (Gout) คือโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจากการที่ร่างกายมี กรดยูริก (Uric acid) ในเลือดสูงเป็นเวลานาน จนเกิดการตกผลึกสะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะในข้อและเนื้อเยื่อรอบๆ ข้อ
สาเหตุของกรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia) 📖
กรดยูริกเป็นสารที่เกิดจากการเผาผลาญสารที่ชื่อว่า พิวรีน (Purine) ซึ่งพบได้ในอาหารหลายชนิด (เช่น เครื่องในสัตว์, สัตว์ปีก, อาหารทะเล) และร่างกายก็สร้างขึ้นเองได้เช่นกัน โดยปกติแล้ว ร่างกายจะขับกรดยูริกส่วนเกินออกทางไตพร้อมกับปัสสาวะ ภาวะกรดยูริกในเลือดสูงเกิดจากความไม่สมดุล 2 ประการนี้ คือ
1.
การสร้างกรดยูริกมากเกินไป (Overproduction): อาจเกิดจากพันธุกรรม หรือการรับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูงมากเกินไป
2.
การขับกรดยูริกออกได้น้อยลง (Underexcretion): เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด โดยไตมีความสามารถในการขับกรดยูริกลดลง ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม โรคประจำตัวอื่นๆ (เช่น โรคไต) หรือยาบางชนิด
การสะสมของผลึกกรดยูริก: ต้องนานและมากแค่ไหน? ⌛️
การมีกรดยูริกในเลือดสูงไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคเกาต์ทันที การตกผลึกของกรดยูริกเป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไปและต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง
●
ระดับความเข้มข้น: โดยทั่วไป เมื่อระดับกรดยูริกในเลือดสูงเกิน 6.8 - 7.0 mg/dL อย่างต่อเนื่อง จะเริ่มมีความเสี่ยงที่กรดยูริกจะอิ่มตัวและตกผลึกเป็น ผลึกโมโนโซเดียมยูเรต (Monosodium Urate - MSU) ซึ่งมีลักษณะคล้ายเข็มแหลมคม
●
ระยะเวลา: ต้องมีภาวะกรดยูริกในเลือดสูงต่อเนื่องเป็น เวลาหลายปี กว่าที่ผลึกจะสะสมในปริมาณที่มากพอที่จะกระตุ้นให้เกิดอาการข้ออักเสบได้ ดังนั้น ผู้ป่วยหลายคนอาจมีกรดยูริกสูงโดยไม่มีอาการใดๆ เลยเป็นสิบปี
🧑⚕️ ลักษณะอาการและระยะของโรคเกาต์
ทำไมถึงปวดที่นิ้วหัวแม่เท้า (1st MTP Joint) บ่อยที่สุด?
ข้ออักเสบเกาต์แบบเฉียบพลันมักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง 💥 โดย 50% ของการกำเริบครั้งแรกเกิดขึ้นที่ ข้อนิ้วหัวแม่เท้า (1st Metatarsophalangeal joint) ซึ่งมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ดังนี้
●
อุณหภูมิต่ำ: กรดยูริกจะตกผลึกได้ง่ายขึ้นในที่ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า นิ้วหัวแม่เท้าเป็นส่วนที่อยู่ปลายสุดของร่างกาย จึงมีอุณหภูมิต่ำกว่าส่วนอื่น
●
แรงกระแทกซ้ำๆ: การเดินหรือยืนทำให้นิ้วหัวแม่เท้าได้รับแรงกระแทกตลอดเวลา ซึ่งแรงกระแทกเล็กๆ น้อยๆ นี้สามารถกระตุ้นให้ผลึกที่เกาะอยู่หลุดออกมาและกระตุ้นการอักเสบได้
●
การเปลี่ยนแปลงของเหลวในตอนกลางคืน: ในช่วงกลางคืน ร่างกายจะดูดซึมน้ำออกจากข้อเล็กน้อย ทำให้ความเข้มข้นของกรดยูริกในข้อสูงขึ้น จึงมักมีอาการกำเริบในช่วงกลางดึกหรือเช้ามืด
อาการที่เกิดขึ้นคือ ปวด บวม แดง ร้อน ที่ข้ออย่างรุนแรงจนทนไม่ไหว แค่ผ้าห่มสัมผัสก็เจ็บแล้ว
📝 ระยะต่างๆ ของโรคเกาต์
โรคเกาต์มีการดำเนินโรคเป็นระยะต่างๆ ดังนี้
1️⃣ ระยะกรดยูริกในเลือดสูงโดยไม่มีอาการ (Asymptomatic Hyperuricemia): เป็นระยะที่มีระดับกรดยูริกในเลือดสูง แต่ยังไม่มีอาการข้ออักเสบใดๆ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะอยู่ในระยะนี้ไปตลอดชีวิตโดยไม่เกิดโรคเกาต์
2️⃣ ระยะข้ออักเสบเกาต์เฉียบพลัน (Acute Gouty Arthritis): คือระยะที่ผลึกยูเรตกระตุ้นให้เกิดการอักเสบรุนแรงในข้ออย่างที่กล่าวไปข้างต้น อาการมักจะหายได้เองใน 7-14 วันแม้ไม่ได้รับการรักษา
3️⃣ ระยะสงบ (Intercritical Period): คือช่วงเวลาที่อยู่ระหว่างการกำเริบแต่ละครั้ง ซึ่งผู้ป่วยจะไม่มีอาการปวดข้อใดๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผลึกยูเรตยังคงสะสมอยู่ในข้ออย่างต่อเนื่อง และอาจมีการอักเสบระดับต่ำๆ เกิดขึ้น
4️⃣ ระยะเรื้อรังและมีปุ่มโทฟัส (Chronic Tophaceous Gout): หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและปล่อยให้โรคดำเนินไปเป็นเวลาหลายปี (เฉลี่ยประมาณ 10 ปี) ผลึกยูเรตจะสะสมมากขึ้นจนกลายเป็นก้อน เรียกว่า ปุ่มโทฟัส (Tophi) ซึ่งสามารถมองเห็นและคลำได้ตามข้อต่างๆ, ใบหู, หรือเอ็นร้อยหวาย ปุ่มเหล่านี้สามารถทำลายกระดูกและข้อ ทำให้เกิดข้อผิดรูปและพิการได้ในที่สุด
💥 ปัจจัยกระตุ้นให้โรคกำเริบ
ป่วยโรคเกาต์มักมีอาการกำเริบหลังเจอกับปัจจัยกระตุ้นบางอย่าง ซึ่งที่พบบ่อยได้แก่
✓
อาหารที่มีพิวรีนสูง: เช่น เครื่องในสัตว์ เนื้อแดง อาหารทะเลบางชนิด ยอดผักบางอย่าง
✓
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์: โดยเฉพาะเบียร์
✓
เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลฟรุกโตสสูง: เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้
✓
การขาดน้ำ (Dehydration)
✓
การบาดเจ็บที่ข้อ หรือหลังการผ่าตัด
✓
ยาบางชนิด: เช่น ยาขับปัสสาวะบางกลุ่ม, แอสไพรินในขนาดต่ำ
ทำไมการดื่มแอลกอฮอล์จึงทำให้เกาต์กำเริบบ่อย? 🍺
แอลกอฮอล์ส่งผลต่อระดับกรดยูริกผ่าน 3 กลไกหลัก
1. เพิ่มการสร้างกรดยูริก
●
เบียร์ มีสารพิวรีนสูงมากที่สุดในบรรดาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากมาจากยีสต์ที่ใช้ในการหมัก
●
กระบวนการที่ตับเผาผลาญแอลกอฮอล์ จะเร่งการสลายสาร ATP ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานของเซลล์ ทำให้ได้กรดยูริกเป็นผลพลอยได้เพิ่มขึ้น
2. ลดการขับกรดยูริก: การเผาผลาญแอลกอฮอล์ทำให้เกิดสารแลคเตท (Lactate) ซึ่งจะไป แข่งขันกับกรดยูริกในการขับออกที่ไต ทำให้ไตขับกรดยูริกได้น้อยลง
3. ภาวะขาดน้ำ: แอลกอฮอล์มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ ความเข้มข้นของกรดยูริกในเลือดจึงสูงขึ้น
💊 การรักษา: บรรเทาอาการเฉียบพลันและควบคุมระยะยาว
การรักษาโรคเกาต์แบ่งออกเป็น 2 เป้าหมายหลักที่ชัดเจน
1️⃣ การรักษาในระยะเฉียบพลัน (Acute Attack)
เป้าหมายคือ ลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดให้เร็วที่สุด ยาที่ใช้บ่อย ได้แก่
✓
ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs): เช่น Naproxen, Indomethacin, Etoricoxib เป็นยาหลักในการรักษา
✓
ยาโคลชิซิน (Colchicine): มีประสิทธิภาพดีที่สุดหากเริ่มใช้ภายใน 24-36 ชั่วโมงแรกที่มีอาการ
✓
ยาสเตียรอยด์ (Corticosteroids): ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยใช้ยา 2 กลุ่มแรกไม่ได้ อาจเป็นในรูปแบบยารับประทานหรือยาฉีดเข้าข้อโดยตรง
สำคัญ ‼️ ในระยะนี้ ห้ามเริ่มยาลดกรดยูริก เพราะการที่ระดับกรดยูริกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอาจทำให้อาการอักเสบแย่ลงได้
2️⃣ การควบคุมโรคไม่ให้กำเริบ (Long-term Management)
เป้าหมายคือ ลดระดับกรดยูริกในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์เป้าหมาย (โดยทั่วไปคือต่ำกว่า 6 mg/dL หรือต่ำกว่า 5 mg/dL ในรายที่มีปุ่มโทฟัส) เพื่อป้องกันการกำเริบในอนาคตและสลายผลึกเก่าที่สะสมอยู่
✓
ยาลดกรดยูริก (Urate-Lowering Therapy - ULT): เป็นหัวใจของการรักษาในระยะยาว
1. กลุ่มยับยั้งการสร้างกรดยูริก (Xanthine Oxidase Inhibitors): เช่น Allopurinol และ Febuxostat เป็นยาที่นิยมใช้มากที่สุด ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ที่ใช้สร้างกรดยูริก
2. กลุ่มเพิ่มการขับกรดยูริก (Uricosurics): เช่น Probenecid ช่วยให้ไตขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะได้มากขึ้น
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 🥙
✓
ควบคุมอาหาร: หลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูง
✓
จำกัดแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลฟรุกโตสสูง
✓
ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้ไตขับกรดยูริกได้ดี
✓
ควบคุมน้ำหนัก
โรคเกาต์เป็นโรคเรื้อรังที่แม้จะสร้างความเจ็บปวด แต่ก็สามารถควบคุมได้เป็นอย่างดีหากมีความเข้าใจในตัวโรคและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ การรักษาที่ถูกต้องไม่เพียงแต่จะช่วยลดความเจ็บปวดจากการกำเริบ แต่ยังช่วยป้องกันการทำลายข้อในระยะยาว ทำให้คุณสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขครับ
การแพทย์
สุขภาพ
อาหาร
1 บันทึก
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
รวมความรู้ทางการแพทย์ทั่วไป
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย