28 ก.ย. เวลา 11:18 • สุขภาพ

ภาวะกรดยูริกสูง (Hyperuricemia): ภัยเงียบที่ไม่ใช่แค่เรื่องของโรคเกาต์

หลายคนอาจคุ้นเคยกับคำว่า "กรดยูริก" และมักจะนึกถึง "โรคเกาต์" ที่มีอาการปวดข้ออย่างรุนแรง แต่ในความเป็นจริง ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia) เป็นภาวะที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายได้มากกว่าที่คิด และอาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพอื่นๆ ได้อีกด้วย บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับกรดยูริกอย่างละเอียด ตั้งแต่ที่มา กลไกการเกิดโรค ผลกระทบ และแนวทางการดูแลรักษา
🧑‍⚕️ กรดยูริก (Uric Acid) คืออะไร? ของดีหรือของเสียกันแน่?
กรดยูริก คือสารประกอบอินทรีย์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็น ผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย (end product) ของกระบวนการสลายสารที่เรียกว่า "พิวรีน" (Purine) ในร่างกาย เปรียบเสมือนขี้เถ้าที่เหลือจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง
เป็นสารที่ต้องใช้ในร่างกายหรือของเสีย? 🤨
  • ในภาวะปกติ กรดยูริกทำหน้าที่เป็น สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่สำคัญอย่างหนึ่งในเลือด ช่วยปกป้องเซลล์จากการทำลายของอนุมูลอิสระ
  • อย่างไรก็ตาม เมื่อมีปริมาณ มากเกินไป กรดยูริกจะกลายเป็นของเสียที่ก่อให้เกิดปัญหาตามมา ร่างกายจึงต้องมีกลไกในการขับมันออกเพื่อรักษาสมดุล
มาจากไหน? สัดส่วนเท่าไร? 🤨
แหล่งที่มาของพิวรีนที่จะเปลี่ยนเป็นกรดยูริกในร่างกายมี 2 แหล่งหลัก คือ
  • 1.
    ร่างกายสร้างขึ้นเอง (Endogenous production): ประมาณ 2 ใน 3 ของกรดยูริกในร่างกายมาจากการสลายเซลล์เก่าที่ตายไปตามวงจรชีวิตปกติ เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดง หรือเซลล์เยื่อบุต่างๆ
  • 2.
    ได้รับจากภายนอก (Exogenous source): ประมาณ 1 ใน 3 มาจากการรับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูง
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า แม้จะควบคุมอาหารอย่างดี แต่ร่างกายก็ยังคงสร้างกรดยูริกขึ้นมาเองอยู่เสมอ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมบางคนคุมอาหารแล้วแต่ระดับกรดยูริกยังคงสูงอยู่
👩‍⚕️ทำไมระดับกรดยูริกถึงสูง? (สาเหตุของ Hyperuricemia)
ภาวะกรดยูริกสูงเกิดจากความไม่สมดุลระหว่าง "การสร้าง" และ "การกำจัด" ซึ่งสามารถอธิบายสาเหตุหลักได้ 2 กลไก
1️⃣ การกำจัดออกน้อยลง (Underexcretion) - พบได้บ่อยที่สุด (~90% ของผู้ป่วย)
กลไก: โดยปกติแล้ว ไตจะเป็นอวัยวะหลักในการขับกรดยูริกออกจากร่างกายทางปัสสาวะ (~70%) ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ ไตมีความสามารถในการขับกรดยูริกได้ลดลง ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของโปรตีนขนส่ง (Transporter) ที่ท่อไต เช่น URAT1 หรือ GLUT9
  • พันธุกรรม (Genetic): เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดประสิทธิภาพการทำงานของโปรตีนขนส่งเหล่านี้
  • โรคประจำตัว: โรคไตเรื้อรัง (CKD) ทำให้ความสามารถในการกรองและขับของเสียลดลง
  • ยาบางชนิด: เช่น ยาขับปัสสาวะกลุ่ม Thiazides, ยาแอสไพรินในขนาดต่ำ (low-dose aspirin)
  • ภาวะอื่นๆ: ภาวะขาดน้ำ, ภาวะเลือดเป็นกรด (Lactic acidosis)
2️⃣ การสร้างมากเกินไป (Overproduction) - พบได้น้อยกว่า (~10% ของผู้ป่วย)
กลไก: ร่างกายมีกระบวนการสลายพิวรีนที่มากกว่าปกติ ทำให้มีกรดยูริกเกิดขึ้นในปริมาณมหาศาล
  • พันธุกรรม: โรคทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับเอนไซม์ในกระบวนการสร้างพิวรีน เช่น Lesch-Nyhan syndrome (พบได้ยากมาก
  • ภาวะที่มีการสลายเซลล์สูง (High cell turnover): เช่น โรคมะเร็ง (โดยเฉพาะมะเร็งเม็ดเลือด), โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) ที่รุนแรง, หรือช่วงที่ผู้ป่วยมะเร็งได้รับเคมีบำบัด (Chemotherapy) ซึ่งมีการทำลายเซลล์มะเร็งจำนวนมาก
  • อาหารและเครื่องดื่ม: การบริโภคอาหารที่มีพิวรีนสูงมากๆ และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลฟรุกโตส (Fructose) สูง ซึ่งจะไปกระตุ้นกระบวนการสร้างกรดยูริก
⚠️ ผลเสียและภาวะแทรกซ้อนจาก Hyperuricemia
  • โรคเกาต์ (Gout): เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากผลึก MSU ไปสะสมที่ ข้อต่อ กระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวเข้ามาทำลาย ก่อให้เกิดกระบวนการอักเสบที่รุนแรงและเฉียบพลัน ทำให้มีอาการ ปวด บวม แดง ร้อนบริเวณข้อ มักเป็นที่ข้อโคนนิ้วหัวแม่เท้าเป็นที่แรก
  • นิ่วในทางเดินปัสสาวะ (Uric Acid Stones): ผลึกยูเรตสามารถจับตัวกันเป็นก้อนนิ่วในไตหรือทางเดินปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการปวดท้องรุนแรง ปัสสาวะเป็นเลือด หรือทางเดินปัสสาวะอุดตัน
  • โรคไตจากกรดยูริก (Urate Nephropathy): การสะสมของผลึกในเนื้อเยื่อไตโดยตรง อาจทำให้การทำงานของไตเสื่อมลงอย่างช้าๆ จนกลายเป็นโรคไตเรื้อรังได้
  • ปุ่มโทฟัส (Tophi): หากปล่อยให้กรดยูริกสูงเป็นเวลานาน ผลึกจะสะสมกันเป็นก้อนขนาดใหญ่ เรียกว่า "ปุ่มโทฟัส" ใต้ผิวหนัง บริเวณข้อศอก นิ้วมือ นิ้วเท้า หรือใบหู ซึ่งสามารถแตกออกมาเป็นสารสีขาวคล้ายชอล์กได้
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด: งานวิจัยในปัจจุบันพบว่า ภาวะ Hyperuricemia มีความสัมพันธ์กับการเกิด โรคความดันโลหิตสูง, โรคหลอดเลือดหัวใจ, และภาวะเมแทบอลิกซินโดรม (Metabolic Syndrome) โดยเชื่อว่ากรดยูริกที่สูงจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบในหลอดเลือดและภาวะเครียดออกซิเดชัน (Oxidative stress)
🥙 อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
หัวใจสำคัญคือการลดอาหารที่มี "พิวรีนสูง" และสารที่กระตุ้นการสร้างหรือลดการขับกรดยูริก
กลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงเด็ดขาด (พิวรีนสูงมาก) ⛔️
  • เครื่องในสัตว์ทุกชนิด: ตับ, ไต, หัวใจ, สมอง, เซ่งจี๊
  • น้ำต้มกระดูก, น้ำซุปเนื้อ, ซุปก้อน
  • ปลาซาร์ดีน, ปลาแอนโชวี, หอยบางชนิด
  • ยีสต์ และผลิตภัณฑ์จากยีสต์
กลุ่มที่ควรจำกัดปริมาณ (พิวรีนปานกลาง) ⚠️
  • เนื้อสัตว์ใหญ่: เนื้อวัว, เนื้อหมู, เนื้อแกะ
  • สัตว์ปีก: เป็ด, ไก่ (โดยเฉพาะส่วนหนังและปีก)
  • ปลาและอาหารทะเลอื่นๆ: ปลาทู, ปลากะพง, กุ้ง, ปู
เครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยง ⚠️
  • แอลกอฮอล์ทุกชนิด โดยเฉพาะเบียร์: เบียร์แย่ที่สุดเพราะนอกจากแอลกอฮอล์จะขัดขวางการขับกรดยูริกแล้ว ในเบียร์ยังมีพิวรีนจากยีสต์เป็นส่วนประกอบด้วย
  • เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลฟรุกโตสสูง (High-Fructose Corn Syrup): เช่น น้ำอัดลม, น้ำผลไม้กล่อง เพราะฟรุกโตสจะกระตุ้นกระบวนการสร้างกรดยูริกในร่างกายโดยตรง
💊ต้องเริ่มใช้ยารักษาเมื่อไร?
การตัดสินใจเริ่มใช้ยาลดกรดยูริกขึ้นอยู่กับอาการและระดับความเสี่ยงของผู้ป่วยแต่ละราย โดยมีแนวทางคร่าวๆ ดังนี้
กลุ่มที่จำเป็นต้องใช้ยา (ข้อบ่งชี้ชัดเจน) 🏥
  • 1.
    ผู้ป่วยโรคเกาต์ที่มีอาการกำเริบชัดเจน: โดยเฉพาะเมื่อมีอาการกำเริบตั้งแต่ 2 ครั้งต่อปีขึ้นไป
  • 2.
    ผู้ป่วยที่มีปุ่มโทฟัส (Tophi)
  • 3.
    ผู้ป่วยที่มีนิ่วกรดยูริก (Uric acid stones)
  • 4.
    ผู้ป่วยโรคเกาต์ที่มีภาวะไตเสื่อมร่วมด้วย
กลุ่มที่อาจพิจารณาให้ยา (Asymptomatic Hyperuricemia - กรดยูริกสูงแต่ไม่มีอาการ) 🏥
  • ในอดีต กลุ่มนี้มักจะไม่ได้รับการรักษาด้วยยา แต่ปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะพิจารณาให้การรักษา หากระดับกรดยูริกสูงมากอย่างต่อเนื่อง (เช่น > 10-12 mg/dL) หรือ ผู้ป่วยมีโรคร่วมที่มีความเสี่ยงสูง เช่น โรคไตเรื้อรัง, โรคความดันโลหิตสูง, หรือโรคหัวใจและหลอดเลือด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว
เป้าหมายของการรักษา คือการลดระดับกรดยูริกในเลือดให้ต่ำกว่า 6 mg/dL หรือต่ำกว่า 5 mg/dL ในกรณีที่มีปุ่มโทฟัส เพื่อให้ผลึกยูเรตค่อยๆ สลายไปและป้องกันการกำเริบของโรค
โดยสรุป ภาวะกรดยูริกสูงเป็นภาวะที่ควรให้ความสำคัญ ไม่ใช่เพียงเพื่อป้องกันโรคเกาต์ แต่ยังเพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคไตและโรคหัวใจและหลอดเลือดในระยะยาว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก แต่หากไม่สามารถควบคุมระดับกรดยูริกได้ การใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์ก็เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา