9 ต.ค. เวลา 08:15 • สุขภาพ

แนวทางการปรับอาหารเพื่อควบคุมเบาหวาน: ไม่ใช่แค่ 'ลด' แต่คือการ 'ปรับ' ให้พอดีกับร่างกาย

หัวใจสำคัญของการจัดการโรคเบาหวานไม่ได้อยู่ที่การ "งด" หรือ "เลิก" อาหารกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไปโดยสิ้นเชิง แต่อยู่ที่ การทำความเข้าใจและปรับการบริโภคให้เหมาะสม กับความสามารถของร่างกายในการจัดการกับน้ำตาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นสารอาหารที่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดโดยตรงที่สุด
🧑‍⚕️ หัวใจหลัก: รับคาร์โบไฮเดรต (Carb) ให้พอดีกับศักยภาพร่างกาย
ในคนปกติ ตับอ่อนสามารถหลั่งอินซูลินได้อย่างเพียงพอและทันท่วงทีเพื่อจัดการกับน้ำตาลที่เข้ามาในกระแสเลือด แต่สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน กลไกนี้มีความบกพร่อง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างอินซูลินได้น้อยลง หรือภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้ร่างกายไม่สามารถจัดการกับน้ำตาลปริมาณมากในเวลาอันสั้นได้
ดังนั้น หลักการสำคัญคือ การรับประทานคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่ร่างกายยังพอจัดการได้ เพื่อไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินควบคุม (Postprandial Hyperglycemia)
🧑‍⚕️ เลือก 'คาร์บ' อย่างฉลาด: ใช้หลัก Glycemic Index และ Glycemic Load
ไม่ใช่คาร์โบไฮเดรตทุกชนิดจะส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดเหมือนกัน เราสามารถใช้เครื่องมือ 2 อย่างในการเลือกรับประทานได้ คือ
1️⃣ ดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index - GI): คือค่าที่บ่งบอกว่าคาร์โบไฮเดรตในอาหารชนิดนั้นๆ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ เร็วและสูงแค่ไหน เมื่อเทียบกับน้ำตาลกลูโคส
  • อาหาร GI สูง (>70): ถูกย่อยและดูดซึมเร็ว ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว เช่น ขนมปังขาว, ข้าวขาว, น้ำอัดลม, มันฝรั่งอบ
  • อาหาร GI ต่ำ (<55): ถูกย่อยและดูดซึมช้าๆ ทำให้น้ำตาลในเลือดค่อยๆ สูงขึ้นอย่างช้าๆ และสม่ำเสมอ เช่น ข้าวกล้อง, ธัญพืชไม่ขัดสี, ถั่วต่างๆ, ผักใบเขียว
2️⃣ ไกลซีมิกโหลด (Glycemic Load - GL): เป็นค่าที่นำ ปริมาณคาร์โบไฮเดรต ในอาหารมื้อนั้นมาคำนวณร่วมกับค่า GI ซึ่งจะสะท้อนผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้สมบูรณ์กว่า เพราะคำนึงถึง "ปริมาณ" ที่รับประทานเข้าไปด้วย
ตัวอย่าง: แตงโมมี GI สูง (ประมาณ 72) แต่ถ้าทานในปริมาณ 1 ถ้วย ซึ่งมีคาร์โบไฮเดรตเพียง 10 กรัม จะมีค่า GL = (72 x 10) / 100 = 7.2 ซึ่งถือว่าต่ำมาก
แนวทางปฏิบัติ: ควรเลือกรับประทาน อาหารที่มีค่า GI ต่ำเป็นหลัก และ ควบคุมปริมาณการทาน เพื่อให้ค่า GL ในแต่ละมื้อไม่สูงจนเกินไป
ข้อควรระวัง: อย่าจำกัดคาร์โบไฮเดรตจน 'น้อย' เกินไป
แม้การควบคุมคาร์โบไฮเดรตจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่การจำกัดที่เข้มงวดเกินไปอาจนำไปสู่ปัญหาได้ โดยเฉพาะ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) ซึ่งอันตรายอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่ใช้ยาเบาหวานกลุ่ม Sulfonylureas หรือฉีดอินซูลิน
สมองของเราต้องการกลูโคสเป็นพลังงานหลักในการทำงาน 🧠 โดยทั่วไปแล้ว ร่างกายต้องการคาร์โบไฮเดรต ขั้นต่ำประมาณ 130 กรัมต่อวัน เพื่อให้การทำงานของระบบประสาทและสมองเป็นไปอย่างปกติ การได้รับคาร์โบไฮเดรตน้อยกว่านี้ต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ไม่มีสมาธิ และส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้
เคล็ดลับลดน้ำตาลหลังมื้อ: ขยับร่างกายสักนิด 🚶‍♂️
หนึ่งในวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมระดับน้ำตาลหลังมื้ออาหาร (Postprandial Glucose) คือ การมีกิจกรรมทางกายเบาๆ หลังรับประทานอาหารประมาณ 15-30 นาที
กลไก: ขณะที่ร่างกายเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อจะดึงน้ำตาลกลูโคสจากกระแสเลือดไปใช้เป็นพลังงานโดยตรง โดยที่ไม่ต้องอาศัยอินซูลิน (Insulin-independent pathway) ซึ่งช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดที่กำลังสูงขึ้นหลังมื้ออาหารได้อย่างมีนัยสำคัญ
ตัวอย่างกิจกรรม: ไม่จำเป็นต้องเป็นการออกกำลังกายหนัก เพียงแค่ เดินเล่น 10-15 นาที, ทำงานบ้านเบาๆ หรือแกว่งแขน ก็ให้ผลดีอย่างชัดเจน
กลยุทธ์ระยะยาว: เพิ่มโปรตีนและสร้างกล้ามเนื้อเพื่อการควบคุมที่ยั่งยืน 💪
เพื่อผลดีในระยะยาว การปรับสัดส่วนอาหารโดย เพิ่มโปรตีน และลดคาร์โบไฮเดรตบางส่วนลง ร่วมกับการ ออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน (Resistance Training) เป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม
เหตุผล
  • เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ (Muscle Mass): กล้ามเนื้อเปรียบเสมือน "เตาเผา" หรือ "แหล่งเก็บ" น้ำตาลที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย ยิ่งมีมวลกล้ามเนื้อมาก ร่างกายก็ยิ่งมีความสามารถในการนำน้ำตาลไปเก็บในรูปของไกลโคเจนและนำไปใช้ได้ดีขึ้น ทำให้ความไวต่ออินซูลิน (Insulin Sensitivity) ดีขึ้น
  • โปรตีนช่วยให้อิ่มนาน: การรับประทานโปรตีนที่เพียงพอช่วยลดความอยากอาหารและควบคุมปริมาณการกินโดยรวมได้ดีขึ้น
  • รักษามวลกล้ามเนื้อ: ในช่วงที่ควบคุมน้ำหนัก การได้รับโปรตีนที่เพียงพอจะช่วยป้องกันการสลายของมวลกล้ามเนื้อได้
แนวทางปฏิบัติ: เพิ่มแหล่งโปรตีนคุณภาพดีในมื้ออาหาร เช่น เนื้อปลา, อกไก่, ไข่, เต้าหู้, ถั่วต่างๆ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้ออย่างน้อย 2-3 วันต่อสัปดาห์
โดยสรุป
การควบคุมเบาหวานผ่านการปรับอาหารคือการสร้างสมดุลที่เหมาะสม รู้จักเลือกชนิดและปริมาณคาร์โบไฮเดรต ใช้กิจกรรมทางกายให้เป็นประโยชน์ และวางแผนสร้างพื้นฐานร่างกายที่แข็งแรงในระยะยาวด้วยการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การควบคุมระดับน้ำตาลที่ดีและยั่งยืน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา