5 ชั่วโมงที่แล้ว • สุขภาพ

ความลับไขมันในเลือด: เมื่อ LDL-C และ ApoB บอกความเสี่ยงโรคหัวใจไม่ตรงกัน (Concordance & Discordance)

คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการตรวจวัดระดับไขมันในเลือด โดยเฉพาะค่า LDL-C (Low-Density Lipoprotein Cholesterol) หรือที่เรียกกันติดปากว่า "ไขมันเลว" เพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด (Atherosclerotic Cardiovascular Disease - ASCVD)
แต่ในปัจจุบัน วงการแพทย์เริ่มให้ความสำคัญกับการตรวจวัด Apolipoprotein B (ApoB) มากขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะตัวบ่งชี้ความเสี่ยงที่แม่นยำกว่า วันนี้เราจะมาเจาะลึกถึงความแตกต่างของสองค่านี้ และภาวะที่ค่าทั้งสอง "เห็นตรงกัน" และ "เห็นต่างกัน" ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการประเมินความเสี่ยงที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่
⚖️ เพื่อให้เข้าใจง่าย ลองจินตนาการว่าอนุภาคไขมันที่ก่อโรคในหลอดเลือดของเราเป็น "รถบรรทุกสินค้า"
  • LDL-C คือการวัด "น้ำหนักของสินค้า" (คอเลสเตอรอล) บนรถทุกคันรวมกัน: ค่า LDL-C ที่เราตรวจกันโดยทั่วไป คือการประเมินปริมาณคอเลสเตอรอลที่อยู่ในอนุภาค LDL ทั้งหมดในเลือด วิธีนี้เป็นวิธีมาตรฐานที่ใช้กันมานาน เข้าถึงง่าย แต่มีจุดอ่อนสำคัญคือ ไม่ได้บอกเราว่ามี "รถ" อยู่กี่คัน
  • ApoB คือการ "นับจำนวนเรือบรรทุกสินค้า" ทุกลำ: โปรตีน Apolipoprotein B เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ห่อหุ้มอนุภาคไขมันที่ก่อให้เกิดการอุดตันในหลอดเลือด (Atherogenic lipoproteins) เช่น LDL, VLDL และ IDL โดยแต่ละอนุภาคจะมีโปรตีน ApoB เกาะอยู่เพียง 1 โมเลกุลเท่านั้น ดังนั้น การวัดค่า ApoB จึงเปรียบเสมือนการนับจำนวนอนุภาคไขมันตัวร้ายในกระแสเลือด
🧑‍⚕️ แล้วทำไมการนับจำนวน (ApoB) ถึงสำคัญกว่าการชั่งน้ำหนัก (LDL-C)?
เพราะขนาดของ "รถ" (อนุภาค LDL) และปริมาณ "สินค้า" (คอเลสเตอรอล) บนรถแต่ละตันนั้นไม่เท่ากัน ในบางคนอาจมีอนุภาค LDL ขนาดเล็กแต่มีจำนวนมาก (Small dense LDL) ซึ่งแต่ละอนุภาคบรรจุคอเลสเตอรอลได้ไม่เยอะ เมื่อวัดเป็น LDL-C อาจได้ค่าที่ไม่สูงมากนัก แต่เนื่องจากมีจำนวนอนุภาคมาก ความเสี่ยงที่จะแทรกซึมเข้าไปในผนังหลอดเลือดและก่อให้เกิดการอุดตันจึงสูงมาก
ในทางกลับกัน บางคนอาจมีอนุภาค LDL ขนาดใหญ่แต่อัดแน่นไปด้วยคอเลสเตอรอล (Large buoyant LDL) ทำให้เมื่อวัด LDL-C ได้ค่าสูง แต่จำนวนอนุภาค (ApoB) อาจไม่มากเท่า ความเสี่ยงจึงอาจต่ำกว่าได้
ด้วยเหตุนี้ งานวิจัยจำนวนมากจึงชี้ตรงกันว่า ApoB เป็นตัวทำนายความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดได้แม่นยำกว่า LDL-C โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่รับประทานยาลดไขมันกลุ่มสแตติน หรือในผู้ที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน
ข้อจำกัด: แม้ ApoB จะมีความแม่นยำสูง แต่การตรวจวัดยังไม่แพร่หลายเท่า LDL-C และยังไม่ถูกบรรจุเป็นแนวทางการตรวจคัดกรองมาตรฐานสำหรับทุกคน ทำให้การเข้าถึงการตรวจยังมีจำกัดในบางสถานพยาบาล
📈 ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด (MACE) เมื่อ ApoB สูงขึ้น
Major Adverse Cardiovascular Events (MACE) คือกลุ่มเหตุการณ์ร้ายแรงเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด เช่น การเสียชีวิตจากโรคหัวใจ, กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (Heart attack), และโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) มีหลักฐานชัดเจนว่าระดับ ApoB ที่สูงขึ้น สัมพันธ์โดยตรงกับความเสี่ยง MACE ที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว
แม้จะไม่มีตัวเลขค่าความเสี่ยงสัมพัทธ์ (Relative Risk - RR) ต่อหน่วยของ ApoB ที่ตายตัวและใช้ได้กับทุกคน (เนื่องจากขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงพื้นฐานของแต่ละบุคคล) แต่งานวิจัยใน UK Biobank พบว่า ความเสี่ยง MACE จะเริ่มเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้ระดับ ApoB จะเบี่ยงเบนจากค่าที่ควรจะเป็นเมื่อเทียบกับ LDL-C เพียงเล็กน้อย (ตั้งแต่ 2% ขึ้นไป) และความเสี่ยงจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นตามระดับความเบี่ยงเบนที่มากขึ้น
📊 Concordance vs. Discordance: เมื่อผลไขมันสอดคล้องและขัดแย้ง
ความสัมพันธ์ระหว่าง LDL-C และ ApoB สามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ
1️⃣ Concordance (สอดคล้องกัน): คือภาวะที่ระดับ LDL-C และ ApoB ชี้ไปในทิศทางเดียวกันในการประเมินความเสี่ยง
  • Low Concordance: LDL-C ต่ำ และ ApoB ต่ำ (ความเสี่ยงต่ำ
  • High Concordance: LDL-C สูง และ ApoB สูง (ความเสี่ยงสูง)
ในกลุ่มนี้ การใช้ค่า LDL-C เพียงอย่างเดียวมักจะประเมินความเสี่ยงได้ค่อนข้างดี
2️⃣ Discordance (ขัดแย้งกัน): คือภาวะที่ระดับ LDL-C และ ApoB ให้ข้อมูลความเสี่ยงที่ไม่ตรงกัน ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่ากังวลและต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ
  • High Discordance (ความเสี่ยงสูงที่ซ่อนเร้น): LDL-C อยู่ในระดับปกติหรือต่ำ แต่ ApoB สูง นี่คือกลุ่มที่อันตรายที่สุด เพราะผล LDL-C อาจทำให้เราชะล่าใจว่าความเสี่ยงต่ำ ทั้งที่ในความเป็นจริงมีความเสี่ยงสูงจากจำนวนอนุภาคไขมันตัวร้ายที่มากเกินไป
  • Low Discordance (ความเสี่ยงต่ำกว่าที่เห็น): LDL-C สูง แต่ ApoB อยู่ในระดับปกติหรือต่ำ กลุ่มนี้อาจมีความเสี่ยงน้อยกว่าที่ค่า LDL-C บ่งชี้ เนื่องจากมีอนุภาคไขมันขนาดใหญ่แต่มีจำนวนไม่มาก
🧑‍⚕️ กลุ่มใดบ้างที่มักพบภาวะ High Discordance (LDL-C ปกติ, ApoB สูง)?
กลุ่มนี้มักพบในผู้ที่มีลักษณะของ Metabolic Syndrome หรือภาวะที่เกี่ยวข้องกับการดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance) ปัจจัยที่ควรสังเกต (Predictors) ได้แก่
  • ภาวะอ้วนลงพุง (Central Obesity): มีรอบเอวขนาดใหญ่
  • ระดับไตรกลีเซอไรด์สูง (High Triglycerides)
  • ระดับ HDL-C ("ไขมันดี") ต่ำ (Low HDL-C)
  • ความดันโลหิตสูง (Hypertension)
  • ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง หรือเบาหวาน (Hyperglycemia / Diabetes)
หากท่านมีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ แม้ค่า LDL-C จะดูดี ก็อาจมีความเสี่ยงจาก ApoB ที่สูงซ่อนอยู่ได้
📊 ค่า ApoB จะเป็นเท่าไหร่ในภาวะ Discordance?
ค่า ApoB มีความแปรผันได้กว้างมากแม้จะมีระดับ LDL-C เท่ากัน จากข้อมูลการศึกษาพบว่า
  • ภาวะ High Discordance (LDL-C ปกติ/ต่ำ, ApoB สูง): ในกลุ่มนี้ แม้ LDL-C จะอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ แต่ค่า ApoB อาจสูงเกินเกณฑ์เป้าหมายได้มาก เช่น LDL-C อาจอยู่ที่ 110 mg/dL แต่ ApoB อาจสูงถึง 120 mg/dL หรือมากกว่า (เป้าหมาย ApoB ในคนความเสี่ยงสูงมักจะอยู่ที่ < 80 mg/dL)
  • ภาวะ Low Discordance (LDL-C สูง, ApoB ปกติ/ต่ำ): ในทางกลับกัน คนที่มี LDL-C สูงถึง 160 mg/dL อาจมีค่า ApoB อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ เช่น 90 mg/dL ได้
📊 ตัวอย่างค่า ApoB ที่ระดับ LDL-C ต่างๆ (โดยประมาณ)
ข้อมูลจากงานวิจัยแสดงให้เห็นช่วงของค่า ApoB ที่เป็นไปได้ ณ ระดับ LDL-C หนึ่งๆ โดย 95% ของประชากรจะมีค่า ApoB อยู่ในข่วงต่อไปนี้
ตัวอย่างกรณี High Discordance (ApoB สูงกว่าที่คาดการณ์จาก LDL-C) 📈
  • เมื่อ LDL-C = 100 mg/dL: ค่า ApoB ที่ถือว่าสูงผิดปกติ (เช่น อยู่ในกลุ่ม 97.5th percentile) อาจสูงถึง ประมาณ 99 mg/dL หรือมากกว่า
  • เมื่อ LDL-C = 130 mg/dL: ค่า ApoB ที่สูงผิดปกติ อาจอยู่ในช่วง ประมาณ 109-115 mg/dL หรือมากกว่า
  • เมื่อ LDL-C = 160 mg/dL: ค่า ApoB ที่สูงผิดปกติ อาจสูงถึง ประมาณ 125-130 mg/dL หรือมากกว่า
ตัวอย่างกรณี Low Discordance (ApoB ต่ำกว่าที่คาดการณ์จาก LDL-C) 📉
  • เมื่อ LDL-C = 160 mg/dL: ค่า ApoB ที่ถือว่าต่ำผิดปกติ (เช่น อยู่ในกลุ่ม 2.5th percentile) อาจต่ำเพียง ประมาณ 90-95 mg/dL
  • เมื่อ LDL-C = 200 mg/dL: ค่า ApoB ที่ต่ำผิดปกติ อาจอยู่ที่ ประมาณ 110-115 mg/dL
  • เมื่อ LDL-C = 240 mg/dL: ค่า ApoB ที่ต่ำผิดปกติ อาจอยู่ที่ ประมาณ 130-135 mg/dL
ตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างเพื่อแสดงให้เห็นถึงความแปรผันที่เกิดขึ้นได้ การแปลผลที่แม่นยำจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ของผู้ป่วยแต่ละรายร่วมด้วย
สรุป: การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง LDL-C และ ApoB มีความสำคัญอย่างยิ่ง ApoB ให้ภาพความเสี่ยงที่แท้จริงจาก "จำนวน" ของอนุภาคไขมันตัวร้ายได้ดีกว่า LDL-C ซึ่งบอกเพียง "น้ำหนัก" ของคอเลสเตอรอล โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงของ Metabolic Syndrome การตระหนักถึงภาวะ High Discordance (LDL-C ปกติแต่ ApoB สูง) จะช่วยให้ไม่ประเมินความเสี่ยงของตนเองต่ำเกินไป และนำไปสู่การป้องกันและรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างทันท่วงทีในอนาคต
📜 เอกสารอ้างอิง
• Navar, A. M., et al. (2024). ApoB test may be more accurate measure of heart disease risk. UT Southwestern Medical Center.
• Controlling for apolipoprotein B is the best way to assess the causal role of lipids in atherosclerotic cardiovascular disease. Consensus.
• Jeyarajah, E. J., et al. (2024). Discordance Among Apolipoprotein B, Non–High-Density Lipoprotein Cholesterol, and Triglycerides for Cardiovascular Prevention. Journal of the American College of Cardiology.
• Shikha, S., et al. (2016). Discordance Between Apolipoprotein B and LDL-Cholesterol in Young Adults Predicts Coronary Artery Calcification: The CARDIA Study. Journal of the American College of Cardiology.
• Tada, H., et al. (2021). Discordance Between Apolipoprotein B and Low-Density Lipoprotein Cholesterol and Progression of Coronary Artery Calcification in Middle Age. Circulation Journal.
📊 ความสัมพันธ์พื้นฐานระหว่าง LDL และ ApoB
  • โครงสร้างของ LDL: ลองจินตนาการว่า LDL คือ "ยานพาหนะ" ที่ใช้ขนส่งคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด บนพื้นผิวของยานพาหนะแต่ละคัน (each LDL particle) จะมีโปรตีนเกาะอยู่หนึ่งตัวเสมอ ซึ่งโปรตีนนั้นคือ Apolipoprotein B-100 (ApoB)
  • ApoB คือตัวนับจำนวนอนุภาค: เนื่องจาก LDL แต่ละอนุภาคมี ApoB เพียง 1 โมเลกุล การวัดระดับ ApoB ในเลือดจึงเปรียบเสมือนการ "นับจำนวน" อนุภาคของไขมันที่ไม่ดีทั้งหมด (atherogenic lipoproteins) ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่ LDL แต่ยังรวมถึง VLDL (Very-low-density lipoprotein), IDL (Intermediate-density lipoprotein) และ Lp(a) (Lipoprotein(a)) ด้ว
  • LDL-C คือการวัดปริมาณคอเลสเตอรอล: ในทางกลับกัน ค่า LDL-C ที่เราตรวจกันโดยทั่วไป เป็นการ "วัดปริมาณคอเลสเตอรอล" ที่บรรจุอยู่ ภายใน อนุภาค LDL ทั้งหมด ไม่ได้นับจำนวนอนุภาคโดยตรง
  • ความสัมพันธ์โดยประมาณ: แม้จะไม่มีสูตรแปลงค่าที่ตายตัว แต่โดยทั่วไปแล้ว ค่า LDL-C ที่ 70 mg/dL จะสอดคล้องกับค่า ApoB ประมาณ 80 mg/dL และ LDL-C ที่ 55 mg/dL จะสอดคล้องกับ ApoB ประมาณ 65-70 mg/dL
  • ภาวะ Discordance: ในผู้ป่วยที่มี Triglyceride สูง (เช่น > 150 mg/dL) หรือเป็นเบาหวาน การใช้เป้าหมาย ApoB (หรือ Non-HDL-C) จะสะท้อนความเสี่ยงได้ดีกว่า LDL-C เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีอนุภาคไขมันชนิดเล็กและหนาแน่น (small, dense LDL) สูง ซึ่งทำให้ค่า ApoB สูงแม้ LDL-C อาจดูไม่สูงมากนัก
📊 ความสัมพันธ์ของ ApoB และ MACE risk
มีการศึกษาจำนวนมากที่ทำการประเมินความสัมพันธ์เชิงปริมาณ (Quantitative Relationship) ระหว่างระดับ ApoB ที่เพิ่มขึ้นกับความเสี่ยงต่อ Major Adverse Cardiovascular Events (MACE) ผลการศึกษาเหล่านี้มีความสอดคล้องกันอย่างยิ่งว่า ApoB เป็นตัวทำนายความเสี่ยงที่มีลักษณะเป็น 'Dose-Response' กล่าวคือ ยิ่งค่า ApoB สูงขึ้น ความเสี่ยงต่อ MACE ก็จะเพิ่มขึ้นตามกันไปอย่างเป็นสัดส่วน
📜 The INTERHEART Study
• Reference: Yusuf S, et al. The Lancet. 2004.
หนึ่งในการศึกษาที่ทรงอิทธิพลที่สุด เป็นการศึกษาแบบ Case-Control ใน 52 ประเทศทั่วโลก
วิธีการ: เปรียบเทียบระดับ ApoB ในผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Acute MI) กับกลุ่มควบคุมที่มีสุขภาพดี โดยแบ่งระดับ ApoB ออกเป็น 5 กลุ่ม (Quintiles)
ผลการศึกษา
  • เมื่อเทียบกับกลุ่มที่มี ApoB ต่ำที่สุด (Quintile 1) กลุ่มที่มี ApoB สูงที่สุด (Quintile 5) มีความเสี่ยงต่อการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายสูงขึ้น 3.25 เท่า (Odds Ratio [OR] = 3.25)
  • อัตราส่วน ApoB/ApoA1 เป็นตัวทำนายความเสี่ยงที่แข็งแกร่งที่สุด โดยกลุ่มที่มีอัตราส่วนสูงสุดมีความเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มต่ำสุดถึง 4.9 เท่า
สรุป : จากการศึกษานี้ ผู้ที่มีจำนวนอนุภาคไขมันร้าย (ApoB) สูงสุด มีความเสี่ยงต่อหัวใจวายเฉียบพลันมากกว่า 3 เท่าเมื่อเทียบกับผู้ที่มีน้อยที่สุด
📜 The Emerging Risk Factors Collaboration (ERFC)
• Reference: The Emerging Risk Factors Collaboration. JAMA. 2012.
เป็นการวิเคราะห์อภิมานที่รวบรวมข้อมูลจาก 37 การศึกษาในระยะยาว (Prospective Studies)
วิธีการ: ประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (CHD) ต่อการเพิ่มขึ้นของค่า ApoB 1 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (per 1 Standard Deviation increase) ซึ่ง 1 SD ของ ApoB จะอยู่ที่ประมาณ 25 mg/dL
ผลการศึกษา
  • ทุกๆ การเพิ่มขึ้นของ ApoB 1 SD (ประมาณ 25 mg/dL) จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ 24% (Hazard Ratio [HR] = 1.24)
  • ความเสี่ยงนี้ยังคงมีนัยสำคัญแม้จะปรับแก้ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ แล้วก็ตาม และพบว่า ApoB ทำนายความเสี่ยงได้ดีกว่า LDL-C
สรุป : ทุกๆ 25 mg/dL ของค่า ApoB ที่เพิ่มขึ้น จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจประมาณ 24%
📜 การศึกษาแบบ Mendelian Randomization
• Reference: Ference BA, et al. JAMA Cardiology. 2018.
วิธีการ: วิเคราะห์ผู้ที่มีพันธุกรรมที่ทำให้ระดับ ApoB ต่ำตลอดชีวิต
ผลการศึกษา
  • การลดลงของ ApoB ทุกๆ 10 mg/dL ที่เกิดจากพันธุกรรม จะสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจถึง 23% (OR = 0.77)
  • ผลลัพธ์นี้สอดคล้องกับผลการลดความเสี่ยงที่ได้จากยาลดไขมันกลุ่ม PCSK9 inhibitors ซึ่งลดระดับ ApoB ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สรุป : หลักฐานทางพันธุกรรมยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงของ ApoB แม้เพียงเล็กน้อย (10 mg/dL) ก็ส่งผลอย่างมหาศาลต่อความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดในระยะยาว
📝 บทสรุปทางคลินิก
จากหลักฐานทั้งหมดนี้สามารถสรุปได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง ApoB และความเสี่ยง MACE นั้นมีความชัดเจน แข็งแกร่ง และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยทั่วไปแล้ว เราสามารถประมาณการได้ว่า
  • ทุกๆ การเพิ่มขึ้นของ ApoB ประมาณ 20-25 mg/dL ความเสี่ยงต่อ MACE จะเพิ่มขึ้นประมาณ 20-30%
ตัวเลขนี้เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้แนวทางเวชปฏิบัติในปัจจุบันเน้นการลดระดับ ApoB (และ LDL-C) ให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงมาก
📊 สัดส่วนของ Concordance และ Discordance
สัดส่วนของผู้ที่มีภาวะ Concordance และ Discordance จะแตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างกลุ่มประชากรทั่วไปที่มีและไม่มีภาวะ Metabolic Syndrome (MetS) หรือโรคทางเมตาบอลิก
แม้ว่าตัวเลขที่แน่นอนจะแตกต่างกันไปบ้างในแต่ละการศึกษา เชื้อชาติ และเกณฑ์ที่ใช้นิยาม แต่เราสามารถสรุปภาพรวมจากงานวิจัยขนาดใหญ่ (เช่น NHANES - National Health and Nutrition Examination Survey) ได้ดังนี้
⛹️‍♂️กลุ่มที่ไม่มีโรคทางเมตาบอลิก (Metabolically Healthy Population)
ในกลุ่มคนที่มีสุขภาพเมตาบอลิกดี (ไตรกลีเซอไรด์ปกติ, ไม่มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน) จะมีลักษณะดังนี้
  • Concordance (สอดคล้องกัน): ~80 - 85% นี่คือกลุ่มส่วนใหญ่ ซึ่งค่า LDL-C สามารถสะท้อนค่า ApoB และความเสี่ยงได้ค่อนข้างดี
  • Discordance (ไม่สอดคล้องกัน): ~15 - 20%
High Discordance (เสี่ยงสูง): ~10% (มีค่า ApoB สูงกว่าที่ควรจะเป็นเมื่อเทียบกับ LDL-C)
Low Discordance (เสี่ยงต่ำ): ~5-10% (มีค่า ApoB ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเมื่อเทียบกับ LDL-C)
ข้อสังเกต 🤨 แม้แต่ในกลุ่มที่สุขภาพดี ก็ยังมีคนประมาณ 1 ใน 10 ที่มีความเสี่ยงซ่อนเร้น (High Discordance) ซึ่งอาจถูกมองข้ามไปหากดูแค่ค่า LDL-C
🫃กลุ่มที่มีโรคทางเมตาบอลิก (Population with Metabolic Syndrome)
ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะ Metabolic Syndrome หรือเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งมีภาวะดื้อต่ออินซูลินเป็นแกนกลาง สัดส่วนจะกลับกันอย่างน่าตกใจ
  • Concordance (สอดคล้องกัน): ~30 - 40% มีเพียงประมาณ 1 ใน 3 ของคนกลุ่มนี้เท่านั้นที่ค่า LDL-C จะสะท้อนความเสี่ยงได้ตรงไปตรงมา
  • Discordance (ไม่สอดคล้องกัน): ~60 - 70%
High Discordance (เสี่ยงสูง): ~50 - 60% ❗️นี่คือประเด็นสำคัญที่สุด คนกลุ่มนี้ "ส่วนใหญ่" จะมีจำนวนอนุภาคไขมันร้าย (ApoB) สูงเกินกว่าที่ค่า LDL-C บ่งชี้ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานยังคงมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจสูงแม้จะควบคุม LDL-C ได้ตามเป้าแล้วก็ตาม
Low Discordance (เสี่ยงต่ำ): ~5-10% (พบได้น้อยมาก)
สรุปและนัยสำคัญทางคลินิก 🩺
  • ในคนสุขภาพดี: การใช้ LDL-C เพียงอย่างเดียวอาจพลาดความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ในคนไข้ประมาณ 10%
  • ในคนไข้ Metabolic Syndrome/เบาหวาน: การพึ่งพาค่า LDL-C เพียงอย่างเดียวจะประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าความเป็นจริง (Underestimate Risk) ในคนไข้มากกว่าครึ่งหนึ่ง
ข้อมูลนี้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ทรงพลังและสนับสนุนว่า "ทำไมการตรวจวัด ApoB (หรือ Non-HDL-C) จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง" โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางเมตาบอลิก เพื่อให้สามารถประเมินความเสี่ยงที่แท้จริงและให้การรักษาได้เหมาะสมที่สุด
📊 การประมาณ / อนุมาน ApoB จากหลักฐานทางสถิติ
  • Lowest discordance in general
อัตราส่วนระหว่าง ApoB ต่อ LDL-C (ApoB/LDL-C Ratio) จะค่อนข้างคงที่และมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 0.7 - 0.8
📜 การศึกษาที่แสดงสมการความสัมพันธ์โดยตรง (Regression Equation)
งานวิจัยที่วิเคราะห์ข้อมูลประชากรขนาดใหญ่ เช่น NHANES (National Health and Nutrition Examination Survey) จะสร้างสมการถดถอย (Regression Equation) เพื่อทำนายค่า ApoB จาก LDL-C
• Reference: Contois JH, McConnell JP, Sethi AA, et al. Apolipoprotein B and cardiovascular disease risk: position statement from the AACC Lipoproteins and Vascular Diseases Division Working Group on Best Practices. Clinical Chemistry. 2009;55(3):407-419.
• ความสำคัญ: เป็นรายงานสำคัญที่รวบรวมข้อมูลจำนวนมาก ในรายงานลักษณะนี้จะแสดงสมการความสัมพันธ์ เช่น ApoB ≈ (0.8 × LDL-C) + ค่าคงที่ (ตัวเลขอาจแตกต่างกันเล็กน้อยในแต่ละประชากร) จะเห็นได้ว่า ค่าสัมประสิทธิ์ (slope) ของ LDL-C จะอยู่ที่ประมาณ 0.8 ซึ่งหมายความว่าโดย "เฉลี่ย" แล้ว ApoB จะมีค่าประมาณ 80% ของ LDL-C (บวกด้วยค่าคงที่เล็กน้อย) ดังนั้นในกลุ่มที่ดีที่สุด (Lowest Discordance) อัตราส่วนนี้จะต่ำลงมาอยู่ที่ประมาณ 0.7-0.75
📜 การศึกษาในกลุ่มประชากรสุขภาพดี
• Reference: Sniderman AD, Thanassoulis G, Glavinovic T, et al. Apolipoprotein B Particles and Cardiovascular Disease: A Narrative Review. JAMA Cardiol. 2019;4(12):1287-1295.
• ความสำคัญ: Dr. Sniderman เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลกเรื่อง ApoB ในบทความทบทวนลักษณะนี้จะมีการสรุปข้อมูลจากงานวิจัยจำนวนมาก และมักจะระบุไว้ว่าในคนที่มีสุขภาพเมตาบอลิกดี (ไตรกลีเซอไรด์ต่ำ) อนุภาค LDL จะมีขนาดใหญ่และอุดมด้วยคอเลสเตอรอล ซึ่งส่งผลให้มีอัตราส่วน ApoB/LDL-C < 1.0 และมักจะอยู่ในช่วง 0.7-0.8
📜 การศึกษาที่วิเคราะห์ค่าเฉลี่ยในแต่ละช่วงของ LDL-C
• Reference: Law MR, Wald NJ, Rudnicka AR. Quantifying effect of statins on low density lipoprotein cholesterol, ischaemic heart disease, and stroke: systematic review and meta-analysis. BMJ. 2003;326(7404):1423.
• ความสำคัญ: แม้จะเป็นการศึกษาเรื่อง Statin แต่ข้อมูลพื้นฐาน (Baseline data) ของการทดลองขนาดใหญ่มักจะแสดงค่าเฉลี่ยของ ApoB และ LDL-C ซึ่งเมื่อนำมาคำนวณอัตราส่วนในกลุ่มควบคุม (Placebo group) ก็จะพบความสัมพันธ์ในช่วง 0.7-0.8 เช่นกัน
  • Highest discordance
ในภาวะ Highest Discordance หรือความไม่สอดคล้องกันที่รุนแรงที่สุด อัตราส่วนสูงสุดที่เป็นไปได้ของ ApoB / LDL-C สามารถสูงถึงประมาณ 1.8 - 2.0 หรือมากกว่านั้นในกรณีที่พบได้ยากมากๆ
อย่างไรก็ตาม ในทางคลินิกสำหรับผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มีภาวะเมตาบอลิกรุนแรง อัตราส่วนที่มักจะพบเห็นในกลุ่ม High Discordance จะอยู่ในช่วง 1.2 - 1.5
  • LCHF , LMHR
กลุ่มผู้ที่ทาน LCHF (Low-Carb, High-Fat) / Ketogenic diet โดยเฉพาะกลุ่มที่เรียกว่า "Lean Mass Hyper-responders" (LMHR) ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ ผอม/ลีน (Low BMI), มีมวลกล้ามเนื้อเยอะ และมีค่า LDL-C สูงขึ้นมากหลังเริ่มทานอาหารแบบ LCHF สัดส่วนของ ApoB/LDL-C จะอยู่ในช่วงที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะ "Lowest Discordance"
โดยทั่วไปแล้ว สัดส่วน ApoB/LDL-C ในกลุ่ม LMHR จะอยู่ที่ประมาณ < 0.7 ซึ่งต่ำกว่าในประชากรทั่วไปที่มักจะมีค่าเฉลี่ยประมาณ 0.8 หรือสูงกว่านั้นในกลุ่ม Metabolic Syndrome
ข้อมูลตัวเลขจาก Case Series และการรวบรวมข้อมูลจากกลุ่ม Citizen Science ที่ให้ค่าเฉลี่ยและช่วงของอัตราส่วนนี้ไว้ค่อนข้างชัดเจน
จากข้อมูลที่มีอยู่ ค่าเฉลี่ยของอัตราส่วน ApoB/LDL-C ในกลุ่ม Lean Mass Hyper-responder (LMHR) จะอยู่ที่ประมาณ 0.5 ถึง 0.6 ซึ่งต่ำมาก
ข้อมูลจากงานวิจัยและ Case Series 📄
หนึ่งในแหล่งข้อมูลสำคัญมาจาก Case Series ที่รวบรวมและวิเคราะห์โดยทีมวิจัย ซึ่งรวมถึง David Feldman, Adrian Soto-Mota, และ Nicholas Norwitz โดยมีข้อมูลตัวอย่างจากกลุ่ม LMHR 100 คน พบว่า
• ค่าเฉลี่ย LDL-C: 272 mg/dL
• ค่าเฉลี่ย ApoB: 137 mg/dL
เมื่อคำนวณ อัตราส่วนเฉลี่ย (Mean Ratio) จะได้ ~0.5
ช่วงของอัตราส่วน (Range)
โดยทั่วไปแล้ว ค่าอัตราส่วน ApoB/LDL-C ในกลุ่มนี้มักจะอยู่ในช่วง 0.4 ถึง 0.7 ซึ่งแทบไม่พบค่าที่เกิน 0.8 เลย
Predictor LMHR pattern 🤔
1. The LMHR Lipid Triad
  • LDL-C สูงมาก (Very High LDL-C): มักจะสูงเกิน 200 mg/dL และในบางรายอาจสูงถึง 400-500 mg/dL
  • HDL-C สูงมาก (Very High HDL-C): มักจะสูงเกิน 80 mg/dL
  • Triglycerides ต่ำมาก (Very Low Triglycerides): มักจะต่ำกว่า 70 mg/dL และบ่อยครั้งที่ต่ำกว่า 50 mg/dL
เมื่อมีครบทั้ง 3 องค์ประกอบนี้ จะส่งผลโดยตรงทำให้อัตราส่วน ApoB/LDL-C ต่ำมาก (ประมาณ 0.5-0.6) โดยอัตโนมัติ
2. ลักษณะทางกายภาพและเมตาบอลิก
ลีนและ/หรือมีมวลกล้ามเนื้อเยอะ (Lean and/or Muscular): เป็นที่มาของชื่อ "Lean Mass" คนกลุ่มนี้มักมีดัชนีมวลกาย (BMI) อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือต่ำ และมีเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายต่ำ
  • HOMA-IR ต่ำ (บ่งชี้ว่าร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีมาก)
  • hs-CRP ต่ำ (บ่งชี้ว่าไม่มีการอักเสบในร่างกาย)
  • ความดันโลหิตปกติ
  • ระดับน้ำตาลในเลือดปกติ
ข้อมูลเพิ่มเติมและข้อควรพิจารณา 🔬
ประเด็นเรื่องความเสี่ยง: คำถามที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันคือ "ภาวะ LDL-C และ ApoB ที่สูงมากในกลุ่ม LMHR นี้ อันตรายหรือไม่?
  • ฝั่งที่เชื่อว่าเสี่ยงต่ำ: ให้เหตุผลว่าอนุภาค LDL เป็นชนิดขนาดใหญ่, มีภาวะเมตาบอลิกที่ดีเยี่ยม, และไม่มีการอักเสบ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยของความเสี่ยงต่ำ
  • ฝั่งที่เชื่อว่ายังคงเสี่ยงสูง: ยึดตามหลักฐานดั้งเดิมที่ว่า "จำนวนอนุภาค ApoB ที่สูงในระยะยาว" คือปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยไม่คำนึงถึงขนาดอนุภาคหรือสภาวะเมตาบอลิก
การวิจัยในปัจจุบัน (Oct 2025) ขณะนี้กำลังมีการศึกษาทางคลินิกอย่างเป็นทางการ (The LMHR Study) เพื่อติดตามและประเมินความเสี่ยงของคนกลุ่มนี้โดยตรงผ่านการทำ CT scan เพื่อดูคราบหินปูนในหลอดเลือด (Coronary Artery Calcium - CAC) ซึ่งจะให้คำตอบที่ชัดเจนขึ้นในอนาคต

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา