2 พ.ย. เวลา 08:15 • สุขภาพ

ตับแข็ง (Cirrhosis): เมื่อตับไม่ได้นิ่มเหมือนเดิม

หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า "ตับแข็ง" และนึกถึงภาพตับที่กลายเป็นหิน แต่ในความเป็นจริงแล้วภาวะนี้คืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และส่งผลกระทบต่อร่างกายของเราในแง่มุมไหนบ้าง? บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับภาวะตับแข็งให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
🧑‍⚕️ ตับแข็งคืออะไร? ไม่ใช่แค่ "แข็ง" แต่คือ "แผลเป็น"
ตับแข็ง (Cirrhosis) คือภาวะท้ายสุดของโรคตับเรื้อรังชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี, การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากเป็นเวลานาน, หรือภาวะไขมันพอกตับ เมื่อตับของเราเกิดการอักเสบเรื้อรัง ร่างกายจะพยายามซ่อมแซมตัวเองโดยการสร้างพังผืด (Fibrosis) ขึ้นมา เปรียบเสมือนการเกิดแผลเป็นบนผิวหนัง
ในระยะแรก พังผืดอาจยังไม่ส่งผลกระทบมากนัก แต่เมื่อการอักเสบยังคงดำเนินต่อไป พังผืดจะถูกสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ทำลายโครงสร้างปกติของตับ เนื้อตับปกติจะถูกแทนที่ด้วย "ก้อนตับแข็ง" (Regenerative nodules) ที่ล้อมรอบด้วยแถบพังผืดหนา โครงสร้างที่ผิดเพี้ยนไปนี้เองที่ทำให้ตับไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ และเป็นที่มาของปัญหาต่างๆ ที่จะตามมา
🧑‍⚕️ความแตกต่างในอาการแสดง
แม้จะเรียกว่าตับแข็งเหมือนกัน แต่ผู้ป่วยแต่ละรายอาจมีอาการเด่นที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าผลกระทบนั้นเกิดกับส่วนใดของตับมากกว่ากัน
  • กลุ่มที่เด่นทางความดันในหลอดเลือดตับสูง (Portal Hypertension-Dominant)
ในกลุ่มนี้ ปัญหาหลักเกิดจากพังผืดและก้อนตับแข็งไปขัดขวางการไหลเวียนของเลือดที่มาจากลำไส้และม้าม (Portal vein) ที่จะไหลผ่านตับ ทำให้ความดันในหลอดเลือดนี้สูงขึ้นอย่างมาก เปรียบเสมือนการบีบท่อประปาให้แคบลงจนแรงดันน้ำสูงขึ้น ผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจยังมีค่าการทำงานของตับ (เช่น ค่า Albumin, Bilirubin, INR) ค่อนข้างปกติในระยะแรก แต่จะแสดงอาการจากความดันสูงเป็นหลัก เช่น ท้องมาน หรือเส้นเลือดขอดในหลอดอาหาร
  • กลุ่มที่เด่นทางชีวเคมี (Biochemical/Hepatocellular Failure-Dominant)
ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีปัญหาหลักมาจากการที่เซลล์ตับ (Hepatocytes) ถูกทำลายไปเป็นจำนวนมากจนไม่สามารถทำหน้าที่ต่างๆ ได้เพียงพอ ทำให้ค่าการทำงานของตับผิดปกติอย่างชัดเจน เช่น โปรตีนอัลบูมินในเลือดต่ำ (ทำให้บวม), การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (เลือดออกง่าย), และมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง (ดีซ่าน)
ในความเป็นจริง ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการทั้งสองแบบผสมผสานกันไป แต่การเข้าใจถึงความเด่นของแต่ละกลไกช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาที่จำเพาะเจาะจงกับปัญหาหลักของผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น
⚠️ ภาวะแทรกซ้อน: เมื่อตับส่งสัญญาณอันตราย
เมื่อตับไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ จะเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นทั่วร่างกาย โดยแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลักตามกลไกการเกิดโรค
1️⃣ ปัญหาที่เกิดจากความดันสูง (Pressure-Related Complications) เป็นผลโดยตรงจากภาวะ Portal Hypertension
  • เส้นเลือดขอดในหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร (Esophagogastric Varices): เมื่อเลือดไหลผ่านตับไม่ได้ จึงพยายามหาทางเบี่ยง (Collateral circulation) ไปยังหลอดเลือดอื่นที่เล็กและเปราะบางกว่า โดยเฉพาะในหลอดอาหารและส่วนบนของกระเพาะอาหาร หลอดเลือดเหล่านี้จะโป่งพองออกเหมือนเส้นเลือดขอดที่ขา และพร้อมที่จะแตกออกได้ทุกเมื่อ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่อันตรายถึงชีวิต
  • ท้องมาน (Ascites): คือภาวะที่มีน้ำในช่องท้อง เกิดจากหลายกลไกประกอบกัน
1. แรงดันที่สูงขึ้น (Increased Hydrostatic Pressure): ความดันในหลอดเลือดตับที่สูงจะ "ดัน" ของเหลวในเลือดให้ซึมออกมาอยู่ในช่องท้อง
2. โปรตีนในเลือดต่ำ (Decreased Oncotic Pressure): ตับที่แข็งไม่สามารถสร้างโปรตีนอัลบูมิน (Albumin) ซึ่งทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำดูดซับน้ำไว้ในหลอดเลือดได้ เมื่ออัลบูมินต่ำ น้ำจึงรั่วออกจากหลอดเลือดได้ง่ายขึ้น
3. การกระตุ้นระบบฮอร์โมน (RAAS Activation): ร่างกายรับรู้ว่ามีของเหลวรั่วออกไป ทำให้เข้าใจผิดว่าปริมาณเลือดในร่างกายลดลง จึงกระตุ้นระบบฮอร์โมนที่ไต (Renin-Angiotensin-Aldosterone System) ให้ดูดซึมเกลือและน้ำกลับเข้าร่างกายมากขึ้น ยิ่งทำให้ภาวะท้องมานรุนแรงขึ้นไปอีก
2️⃣ ปัญหาที่เกิดจากการทำงานล้มเหลว (Function-Related Complications)
เป็นผลมาจากการที่เซลล์ตับถูกทำลายจนไม่สามารถทำหน้าที่สังเคราะห์และกำจัดของเสียได้
การขาดโปรตีนที่สำคัญ
  • อัลบูมิน (Albumin): ดังที่กล่าวไปข้างต้น การขาดอัลบูมินทำให้เกิดอาการบวมตามร่างกายและท้องมาน
  • ปัจจัยการแข็งตัวของเลือด (Clotting Factors): ตับเป็นแหล่งผลิตโปรตีนที่ช่วยให้เลือดแข็งตัวที่สำคัญแทบทั้งหมด เมื่อตับทำงานไม่ได้ ผู้ป่วยจึงมีภาวะเลือดออกง่ายและหยุดยาก สังเกตได้จากค่า INR ที่สูงขึ้น
การจัดการสารพิษบกพร่อง
  • ภาวะสมองเสื่อมจากโรคตับ (Hepatic Encephalopathy): สารพิษตัวสำคัญคือ แอมโมเนีย (NH3) ซึ่งส่วนใหญ่สร้างจากแบคทีเรียในลำไส้ ปกติตับจะทำหน้าที่เปลี่ยนแอมโมเนียให้เป็นยูเรีย (Urea) เพื่อขับออกทางปัสสาวะ แต่ในผู้ป่วยตับแข็ง แอมโมเนียไม่ถูกกำจัดและยังสามารถลัดผ่านตับเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรงผ่านทางเบี่ยงต่างๆ และขึ้นไปสู่สมอง รบกวนการทำงานของเซลล์สมอง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการสับสน ซึม พูดจาเลอะเลือน จนถึงขั้นหมดสติได้
  • ดีซ่าน (Jaundice): เกิดจากการที่ตับไม่สามารถกำจัดสารสีเหลืองที่เรียกว่า "บิลิรูบิน (Bilirubin)" ซึ่งเป็นของเสียจากการแตกตัวของเม็ดเลือดแดงได้ ทำให้สารนี้คั่งในร่างกายจนผิวหนังและตาขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
🧑‍⚕️การแบ่งระยะของตับแข็ง: เราอยู่จุดไหน?
การประเมินความรุนแรงหรือ "ระยะ" ของตับแข็งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพยากรณ์โรคและการวางแผนการรักษา โดยทั่วไปเราแบ่งเป็น 2 ระยะใหญ่ๆ คือ
1️⃣ ระยะสงบ (Compensated Cirrhosis): เป็นระยะที่ตับมีความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว แต่ยังสามารถทำงานชดเชยได้เพียงพอ ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการใดๆ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น อ่อนเพลีย ผู้ป่วยในระยะนี้มีพยากรณ์โรคค่อนข้างดี
2️⃣ระยะกำเริบ (Decompensated Cirrhosis): เป็นระยะที่ตับไม่สามารถชดเชยการทำงานได้อีกต่อไป และเริ่มปรากฏภาวะแทรกซ้อนที่ชัดเจนอย่างน้อย 1 อย่างขึ้นไป เช่น ท้องมาน, เลือดออกจากเส้นเลือดขอด, ดีซ่าน, หรือภาวะสมองเสื่อม การเข้าสู่ระยะนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญซึ่งบ่งบอกว่าโรคมีความรุนแรงมากขึ้นและพยากรณ์โรคแย่ลงอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ ในทางการแพทย์ยังมีการใช้ระบบคะแนนเพื่อประเมินความรุนแรงและจัดลำดับการปลูกถ่ายตับ เช่น
  • Child-Pugh Score: เป็นระบบคะแนนแบบดั้งเดิมที่ใช้ปัจจัย 5 อย่าง (ค่าบิลิรูบิน, อัลบูมิน, INR, ความรุนแรงของท้องมานและภาวะสมองเสื่อม) เพื่อแบ่งผู้ป่วยเป็น Class A, B, C
  • MELD (Model for End-Stage Liver Disease) Score: เป็นระบบคะแนนที่ใช้ค่าจากห้องปฏิบัติการเป็นหลัก (Bilirubin, INR, Creatinine) และมีการปรับปรุงโดยใช้ค่าโซเดียม (MELD-Na) เพื่อความแม่นยำในการพยากรณ์โรคและใช้เป็นเกณฑ์หลักในการจัดลำดับคิวผู้ป่วยที่รอรับการปลูกถ่ายตับ
โดยสรุป ภาวะตับแข็งเป็นภาวะที่ซับซ้อนและส่งผลกระทบต่อทั่วทั้งร่างกาย การทำความเข้าใจกลไกการเกิดโรคและภาวะแทรกซ้อนต่างๆ จะช่วยให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลรักษาตับตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้โรคดำเนินไปสู่ระยะสุดท้ายที่ยากต่อการรักษาได้
🧑‍⚕️ การตรวจคัดกรองภาวะตับแข็ง ทำได้อย่างไรบ้าง?
การตรวจคัดกรองมีเป้าหมายเพื่อหา "พังผืดในตับ" ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยทั่วไปแพทย์จะประเมินจากหลายส่วนประกอบกัน
1. การตรวจเลือด (Blood Tests) 🩸
เป็นการตรวจเบื้องต้นที่สำคัญ เพื่อดูการทำงานของตับ ค่าที่น่าสนใจคือ
  • เอนไซม์ตับ (AST, ALT): บอกถึงการอักเสบของตับ
  • การทำงานของตับ: เช่น ค่าอัลบูมิน (Albumin), ค่าการแข็งตัวของเลือด (INR), บิลิรูบิน (Bilirubin)
  • จำนวนเกล็ดเลือด (Platelet count): หากตับเริ่มแข็งและมีความดันในหลอดเลือดตับสูง (Portal Hypertension) ม้ามจะมีขนาดใหญ่ขึ้นและทำงานหนักขึ้น ; ทำลายเกล็ดเลือดมากขึ้น ทำให้เกล็ดเลือดมีค่าต่ำลง ซึ่งเป็นสัญญาณหนึ่งของภาวะตับแข็ง
2. การตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้อง (Abdominal Ultrasound)
เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อดูภาพตับ แพทย์จะสามารถประเมินขนาดของตับ ลักษณะของเนื้อตับ (ผิวเรียบหรือขรุขระ) และยังสามารถตรวจหาภาวะแทรกซ้อนในระยะเริ่มต้นได้ เช่น ม้ามโต หรือมีน้ำในช่องท้อง
3. การตรวจวัดความยืดหยุ่นของตับ (Liver Elastography)
เป็นการตรวจที่สำคัญและได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน เพราะสามารถ "วัดระดับพังผืด" ในตับได้โดยตรงและให้ผลเป็นตัวเลขที่ชัดเจน เครื่องมือที่รู้จักกันดีที่สุดคือ FibroScan
FibroScan เป็นเทคโนโลยีที่ใช้หลักการของคลื่นเสียง (transient elastography) เพื่อวัด "ความแข็ง" ของเนื้อตับ ซึ่งค่าความแข็งนี้จะแปรผันโดยตรงกับปริมาณพังผืดที่สะสมอยู่
หลักการทำงานแบบง่ายๆ
  • เครื่องจะส่งคลื่นสั่นสะเทือน (vibration) ความเร็วต่ำผ่านผิวหนังเข้าไปยังเนื้อตับ
  • หัวตรวจจะวัดความเร็วของคลื่นที่วิ่งผ่านเนื้อตับ
  • ตับที่นิ่ม (ปกติ): คลื่นจะเดินทางได้ช้า
  • ตับที่แข็ง (มีพังผืดมาก): คลื่นจะเดินทางได้เร็วมาก
  • คอมพิวเตอร์จะประมวลผลความเร็วนี้ออกมาเป็นค่าความแข็งของตับ มีหน่วยเป็น กิโลพาสคาล (kPa)
ข้อดีของ FibroScan ✅
  • ไม่เจ็บ: ไม่ต้องใช้เข็มเจาะ เหมือนการทำอัลตราซาวนด์ทั่วไป
  • รวดเร็ว: ใช้เวลาตรวจเพียง 5-10 นาที และทราบผลได้ทันที
  • ปลอดภัย: ไม่มีรังสีที่เป็นอันตราย
  • แม่นยำ: สามารถบอกระดับความรุนแรงของพังผืดในตับได้ดี ช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาและติดตามผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อบ่งชี้: ใครบ้างที่ควรตรวจ FibroScan?🤨
การตรวจนี้ไม่ใช่สำหรับทุกคน แต่มีประโยชน์อย่างยิ่งในผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดพังผืดในตับ ได้แก่
  • ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีและซีเรื้อรัง: เพื่อประเมินความรุนแรงของโรคและติดตามการรักษา
  • ผู้ป่วยไขมันพอกตับ (NAFLD/NASH): เพื่อคัดกรองว่ามีภาวะตับอักเสบและพังผืดเกิดขึ้นแล้วหรือยัง ซึ่งเป็นกลุ่มที่พบได้บ่อยมากในปัจจุบัน
  • ผู้ที่มีผลเลือดการทำงานของตับผิดปกติเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ผู้ป่วยโรคตับจากสาเหตุอื่นๆ: เช่น โรคภูมิคุ้มกันทำลายตับ เพื่อติดตามความรุนแรงของโรค
การตรวจพบพังผืดในตับตั้งแต่ระยะเริ่มต้นและทำการรักษาที่สาเหตุ จะช่วยชะลอหรือหยุดยั้งการดำเนินโรคไม่ให้ลุกลามไปสู่ภาวะตับแข็งระยะสุดท้ายได้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา