31 ต.ค. เวลา 08:15 • สุขภาพ

มะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma: HCC): ภัยเงียบที่ป้องกันและรักษาได้หากตรวจพบเร็ว

มะเร็งตับเป็นหนึ่งในมะเร็งที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของประชากรโลกและประเทศไทย โดยเฉพาะมะเร็งตับชนิด Hepatocellular carcinoma (HCC) ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด (ประมาณ 90% ของมะเร็งตับทั้งหมด) เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ตับ (Hepatocyte) ที่มีการแบ่งตัวอย่างควบคุมไม่ได้จนกลายเป็นก้อนเนื้องอกร้าย
บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ HCC ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ตั้งแต่สาเหตุ กลไกการเกิดโรค ความเสี่ยง การรักษา ไปจนถึงแนวทางการตรวจคัดกรองที่สำคัญ
🧑‍⚕️ HCC คืออะไร? และสถานการณ์ในปัจจุบันเป็นอย่างไร?
ตับเป็นอวัยวะสำคัญที่มีหน้าที่หลากหลาย ทั้งสร้างสารที่จำเป็นต่อร่างกาย ทำลายสารพิษ และเป็นแหล่งสะสมพลังงาน เมื่อเซลล์ตับเกิดการกลายพันธุ์และแบ่งตัวผิดปกติ จะทำให้เกิดเป็นก้อนมะเร็ง HCC ขึ้น ซึ่งกลไกหลักเกิดจากการอักเสบเรื้อรัง (Chronic inflammation) และการบาดเจ็บของเซลล์ตับซ้ำๆ เป็นเวลานาน ทำให้เซลล์ตับต้องแบ่งตัวเพื่อซ่อมแซมตัวเองอยู่ตลอดเวลา กระบวนการนี้เองที่เพิ่มโอกาสให้เกิดการกลายพันธุ์ของสารพันธุกรรม (DNA) นำไปสู่การเกิดมะเร็งในที่สุด
เราสามารถแบ่งสาเหตุหลักของ HCC ได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1. กลุ่มที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัส (Viral-related HCC) 🦠
  • ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virus - HBV): เป็นสาเหตุหลักของการเกิด HCC ทั่วโลก โดยเฉพาะในทวีปเอเชียและแอฟริกา เชื้อไวรัส HBV สามารถแทรกสารพันธุกรรมของมัน (viral DNA) เข้าไปใน DNA ของเซลล์ตับโดยตรง ซึ่งกระตุ้นยีนที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็ง (Oncogenes) และยับยั้งยีนที่ควบคุมการตายของเซลล์ที่ผิดปกติ (Tumor suppressor genes) ทำให้เซลล์ตับกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้โดยตรง แม้จะยังไม่มีภาวะตับแข็งก็ตาม
  • ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C Virus - HCV): เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญ แต่กลไกจะต่างจาก HBV โดย HCV จะก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในตับอย่างต่อเนื่องเป็นหลัก ซึ่งกระบวนการอักเสบนี้จะค่อยๆ ทำลายเซลล์ตับและนำไปสู่การเกิดพังผืดและภาวะตับแข็ง (Cirrhosis) ในที่สุด ซึ่งภาวะตับแข็งนี่เองที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของการเกิด HCC ในผู้ป่วยกลุ่มนี้
2. กลุ่มที่ไม่สัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัส (Non-viral-related HCC)
  • โรคไขมันคั่งตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (Non-alcoholic fatty liver disease - NAFLD): ปัจจุบันกลายเป็นสาเหตุที่พบบ่อยขึ้นอย่างก้าวกระโดดทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศตะวันตก สัมพันธ์กับภาวะโรคอ้วน เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง ภาวะไขมันที่สะสมในตับปริมาณมากจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง (Nonalcoholic steatohepatitis - NASH) นำไปสู่ภาวะตับแข็งและมะเร็งตับได้เช่นกัน
  • การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมาก (Alcoholic liver disease): แอลกอฮอล์และสารเมตาบอไลต์ของมัน (เช่น Acetaldehyde) เป็นพิษต่อเซลล์ตับโดยตรง ทำให้เกิดการอักเสบและนำไปสู่ภาวะตับแข็ง
  • สารพิษอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin): เป็นสารพิษจากเชื้อราที่มักปนเปื้อนในธัญพืชและถั่วลิสงที่เก็บรักษาไม่ดี สารนี้เป็นสารก่อมะเร็งที่รุนแรงต่อตับ
📊 การเปลี่ยนแปลงของอุบัติการณ์ (Incidence)
เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลย้อนหลังไป 20-30 ปีก่อน จะพบว่าสาเหตุหลักของ HCC ในหลายประเทศรวมถึงไทยคือการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี แต่ในปัจจุบัน แนวโน้มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
  • อุบัติการณ์จาก HBV ลดลง ในหลายพื้นที่ เนื่องจากการให้วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีในทารกแรกเกิดที่มีประสิทธิภาพ และการเข้าถึงยาต้านไวรัสที่ดีขึ้น
  • อุบัติการณ์จาก HCV ลดลง อย่างมากในบางประเทศ หลังจากการพัฒนายาต้านไวรัสชนิดใหม (Direct-acting antivirals - DAAs) ที่สามารถรักษาการติดเชื้อ HCV ให้หายขาดได้
  • อุบัติการณ์จาก NAFLD เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าเป็นกังวล และกลายเป็นสาเหตุหลักในหลายประเทศ สอดคล้องกับอุบัติการณ์ของโรคอ้วนและเบาหวานที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก
📈 ความเสี่ยงของ HCC ในผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ B และ C
ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B หรือ C เรื้อรัง มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับสูงกว่าคนทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ
🏷️ ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ B (Chronic HBV)
  • มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับ HCC โดยรวมสูงกว่าคนทั่วไปประมาณ 15-20 เท่า
อัตราการเกิดต่อปี (Annual incidence)
  • ในผู้ป่วยที่ยังไม่มีภาวะตับแข็ง: ประมาณ 0.5% ต่อปี
  • ในผู้ป่วยที่มีภาวะตับแข็งแล้ว: เพิ่มขึ้นเป็น 2-5% ต่อปี
  • ความเสี่ยงตลอดช่วงชีวิต (Lifetime risk): ประมาณ 10-25%
🏷️ ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ C (Chronic HCV)
ความเสี่ยงจะสูงขึ้นอย่างมากเมื่อผู้ป่วยดำเนินโรคไปจนถึงขั้น ตับแข็ง (Cirrhosis)
อัตราการเกิดต่อปี (Annual incidence)
  • ในผู้ป่วย HCV ที่มีภาวะตับแข็งแล้ว: ประมาณ 3-5% ต่อปี
  • ความเสี่ยงตลอดช่วงชีวิต (Lifetime risk): ในผู้ที่ติดเชื้อ HCV เรื้อรังจนกลายเป็นตับแข็ง อาจสูงถึง 25% ในระยะเวลา 20 ปีหลังการวินิจฉัยตับแข็ง
จะเห็นได้ว่า ภาวะตับแข็ง เป็นปัจจัยร่วมที่สำคัญที่สุดที่เพิ่มความเสี่ยงของ HCC ในผู้ป่วยทั้งสองกลุ่ม
🏥 การรักษา HCC ในปัจจุบัน: เมื่อไหร่ที่สามารถรักษาให้หายขาดได้?
เป้าหมายหลักของการรักษา HCC คือการกำจัดก้อนมะเร็งให้หมดไป ซึ่งการรักษาให้หายขาด (Curative treatment) จะมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงสุดในผู้ป่วยที่ตรวจพบมะเร็งในระยะเริ่มต้น (Early stage) ที่ก้อนยังมีขนาดเล็ก จำนวนไม่มาก และการทำงานของตับยังดีอยู่ โดยมีวิธีการหลักๆ ดังนี้
1. การผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก (Surgical Resection): เป็นการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยที่มีก้อนมะเร็งเพียงก้อนเดียว และเนื้อตับส่วนที่เหลือยังทำงานได้ดีพอที่จะผ่าตัดออกไปบางส่วนได้
2. การปลูกถ่ายตับ (Liver Transplantation): ถือเป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุดในทางทฤษฎี เพราะเป็นการกำจัดทั้งก้อนมะเร็งและโรคตับเดิม (เช่น ตับแข็ง) ไปพร้อมกัน เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีก้อนมะเร็งเข้าเกณฑ์ที่กำหนด (เช่น Milan criteria: ก้อนเดียวขนาดไม่เกิน 5 ซม. หรือไม่เกิน 3 ก้อน แต่ละก้อนขนาดไม่เกิน 3 ซม.) และหาตับบริจาคได้
3. การทำลายก้อนมะเร็งด้วยความร้อน (Ablation Therapy): เป็นการใช้เข็มพิเศษสอดผ่านผิวหนังเข้าไปที่ก้อนมะเร็งแล้วปล่อยพลังงานเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง เช่น การใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency Ablation - RFA) หรือคลื่นไมโครเวฟ (Microwave Ablation - MWA) เหมาะสำหรับก้อนขนาดเล็ก (มักจะไม่เกิน 3 ซม.) ที่ไม่สามารถผ่าตัดได้
หากตรวจพบในระยะที่ลุกลามแล้ว การรักษาจะเป็นแบบประคับประคอง (Palliative) เพื่อชะลอการเติบโตของโรคและเพิ่มคุณภาพชีวิต เช่น การให้ยาเคมีบำบัดผ่านทางหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง (TACE) หรือการใช้ยามุ่งเป้า (Targeted therapy) และภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)
📈 อัตราการเจริญเติบโตของก้อนมะเร็งตับ
อัตราการเติบโตของ HCC หรือที่เรียกว่า Tumor doubling time (ระยะเวลาที่ปริมาตรของก้อนมะเร็งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า) นั้นมีความหลากหลายในผู้ป่วยแต่ละราย โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4-6 เดือน แต่ก็อาจเร็วหรือช้ากว่านี้ได้มาก
  • จากเริ่มต้นถึงขนาด 3 ซม.: โดยทั่วไปมักใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี แต่ในบางรายที่มีความรุนแรงของโรคตับสูงหรือเซลล์มะเร็งมีความดุร้าย (aggressive) อาจใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือน
  • จากขนาด 3 ซม. ถึง 5 ซม.: การเติบโตในช่วงนี้อาจใช้เวลาสั้นลง เนื่องจากก้อนมะเร็งที่ใหญ่ขึ้นมักจะมีการสร้างเส้นเลือดมาเลี้ยงตัวเองได้ดีขึ้น อาจใช้เวลาอีกประมาณ 6-12 เดือน
ตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงค่าประมาณการ ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถตรวจเจอก้อนมะเร็งได้ตั้งแต่ยังมีขนาดเล็กและอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถรักษาให้หายขาดได้
🔎 แนวทางการตรวจคัดกรองมะเร็งตับในกลุ่มเสี่ยง
หัวใจสำคัญที่สุดในการต่อสู้กับมะเร็งตับคือ "การเฝ้าระวังและตรวจคัดกรอง (Surveillance)" ในประชากรกลุ่มเสี่ยง เพื่อค้นหาผู้ป่วยในระยะเริ่มต้นที่ยังไม่มีอาการและสามารถให้การรักษาเพื่อหายขาดได้
สำหรับผู้ป่วย ไวรัสตับอักเสบบีและซีเรื้อรัง ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง มีแนวทางที่แนะนำเป็นมาตรฐานสากล ดังนี้
  • วิธีการตรวจ: การทำ อัลตราซาวด์ช่องท้องส่วนบน (Upper abdominal ultrasound) เป็นเครื่องมือหลักในการตรวจคัดกรอง อาจพิจารณาตรวจร่วมกับ การเจาะเลือดดูค่า อัลฟาฟีโตโปรตีน (Alpha-fetoprotein, AFP) ซึ่งเป็นสารบ่งชี้มะเร็งตับ
  • ความถี่ในการตรวจ: แนะนำให้ตรวจ ทุกๆ 6-12 เดือน
กลุ่มเป้าหมายที่ควรได้รับการตรวจคัดกรอง
  • ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังทุกคน (โดยเฉพาะผู้ชายอายุมากกว่า 40 ปี, ผู้หญิงอายุมากกว่า 50 ปี, มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งตับ หรือมีหลักฐานว่าไวรัสกำลังแบ่งตัว)
  • ผู้ป่วยที่มีภาวะ ตับแข็ง (Cirrhosis) จากทุกสาเหตุ รวมถึงไวรัสตับอักเสบซี แอลกอฮอล์ หรือไขมันคั่งตับ
การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอทุก 6 เดือน จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตรวจพบมะเร็งตับตั้งแต่ระยะเริ่มต้นได้อย่างมีนัยสำคัญ เพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดและมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นได้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา