1 ก.ค. 2023 เวลา 09:00

คนเราประกอบด้วยธาตุ 4 ขันธ์ 5 คือการเห็นขันธ์ 5 ว่าเป็นคนในยุคนี้

ลำดับต่อไปนี้จะแสดงธรรมตามคำกล่าวที่ว่า คนเรานั้นประกอบด้วยธาตุ 4 ขันธ์ 5 นี่คือความเห็นว่าขันธ์ 5 เป็นร่างกายคน เหตุที่จะมาต้องแสดงธรรมในข้อธรรมที่ว่า คนเรานั้นประกอบด้วยธาตุ 4 ขันธ์ 5 นี่คือความเห็นว่าขันธ์ 5 เป็นร่างกายคนดังนี้
ก็สืบเนื่องจากโดยลำดับที่ผ่านมานั้น ได้แสดงธรรมในพระพุทธเจ้าให้ได้รับทราบมาโดยลำดับว่า ธรรมอันเป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น คือธรรมที่ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาท อันมีองค์ธรรมที่เป็นปัจจยาการต่อกันอยู่ดังนี้คือ
อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้นมีได้ด้วยประการฉะนี้
เมื่อพระองค์ท่านได้แสดงบทธรรมที่เชื่อว่าปฏิจจสมุปบาท อันเป็นธรรมโดยรายละเอียดนี้โดยถ้วนรอบแล้ว และตรัสต่อท้ายว่าความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้นมีได้ด้วยประการฉะนี้แล้ว พระองค์ท่านก็ตรัสต่อท้ายว่า สังขิตเตน ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา ว่าโดยย่อ อุปปาทานขันธ์ทั้ง5 เป็นตัวทุกข์
1
อุปาทานขันธ์ 5 มีองค์ธรรมที่เป็นปัจจยาการต่อกันอยู่ 5 องค์ธรรม เป็นปฏิจจสมุปบาทต่อกันอยู่ 5 องค์ธรรมคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ 5 เป็นบททำย่อของปฏิจจสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาทนี้เมื่อทราบรายละเอียดในฐานะพระอริยะแล้ว จะเห็นได้ในองค์ธรรมย่อของขันธ์ 5 นี้ได้เหมือนกันทุกประการ ขันธ์ 5 เป็นบทธรรมย่อของปฏิจจสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาทโดยย่อคือขันธ์ 5 ไม่เกิดก่อนเกิดหลังแต่เป็นธรรมอันเดียวกัน
ในยุคหลังพุทธกาลมานี้ หมู่มวลชาวพุทธไม่สามารถรู้จริงไม่สามารถแทงตลอดในธรรมที่ชื่อว่า ปฏิจจสมุปบาทนี้ได้ พอเห็นองค์ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสต่อท้ายว่า สังขิตเตน ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง 5 เป็นตัวทุกข์ดังนี้ ทำให้หมู่ชาวพุทธหลังพุทธกาลมานี้ ได้สำคัญมาว่าขันธ์ 5 นี้เป็นร่างกายคนขันธ์ ขันธ์ 5 อันประกอบไปด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้ หมู่ชาวพุทธเห็นว่าเป็นร่างกายของคน หรือเป็นร่างกายของมนุษย์ เหตุจากไม่สามารถรู้จริงแทงตลอดในธรรมอันเป็นเบื้องต้น คือปฏิจจสมุปบาทนี้
ดังที่ได้แสดงให้ได้รับทราบมาโดยลำดับว่าหลังพุทธกาลมานี้ หมู่มวลชาวพุทธนี้ ได้เห็นขันธ์ 5 นี้ ว่าเป็นร่างกายของคน คือต้นเหตุจากการเห็นผิดในปฏิจจสมุปบาท ลำดับต่อมาเมื่อเห็นว่าขันธ์ 5 เป็นร่างกายคนแล้ว หมู่ชาวพุทธหลังพุทธกาลมานี้ ก็แยกขันธ์ 5 ออกเป็นรูปกับนาม นี่ก็เกิดจากความเห็นผิดในธรรมที่ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาท ซึ่งขันธ์ 5 แยกเป็นรูปเป็นนามไม่ได้ เพราะขันธ์ 5 นี้เป็นปัจจยาการต่อกัน เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อเห็นผิดดังนี้แล้วแล้ว ก็ดูเหมือนว่าตนเองได้มั่นใจว่า ขันธ์ 5 นี่หละเป็นร่างกายคน ขันธ์ 5 นี้หละแยกเป็นรูปกับนามได้ดังนี้ จากครูบาอาจารย์โดยทั่วๆไปในหลังพุทธกาลมานี้ จะเห็นเหมือนกันดังนี้ และเพื่อชี้ชัดลงไปอีกก็จะพูดด้วยความสบายปากว่า คนเรานั้นประกอบไปด้วยธาตุ 4 ขันธ์ 5
ซึ่งคนเรานั้นไม่ได้ประกอบไปด้วยธาตุ 4 ไม่ใช่ คนไม่ได้ประกอบไปด้วยธาตุ 4 และคนไม่ใช่ขันธ์ 5 นี่คือความเห็นผิด จะนำเอาธรรม 3 อย่างนี้ มาแสดงรวมๆให้ได้เห็น ว่าหมู่ชาวพุทธของพวกเรานั้น หลังพุทธกาลมานี้ไม่สามารถรู้จริง ไม่สามารถแทงตลอดในธรรมที่ชื่อว่า ปฏิจจสมุปบาทนี่หละ และก็ไม่รู้ในขันธ์ 5 นี่แหละ
แล้วหลังจากนั้นน่ะพอธรรมอันเป็นเหตุดับทุกข์จริงๆอ่ะ ก็จะไม่สามารถเข้าถึงธรรมที่ชื่อว่าสติปัฏฐาน 4 นี้ได้ ยกตัวอย่างเช่นเวลาหมู่คนชาวพุทธ เวลาปฏิบัติธรรมก็คือการนั่งสมาธิ ก็จะบอกว่าเมื่อนั่งสมาธิไปก็จะเฝ้าดูกายของตนเองนี่กายในกาย เขาทั้งหลายไม่ทราบว่า กายในกายนี้คือรูปเวทนาในเวทนานี้ตรงกันแต่ก็จะดูอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งสัญญาในสติปัฏฐาน 4 ก็ไม่มี ก็จะไปเห็นจิตในจิตซึ่งมาจากสังขารนี้ หมู่ชาวพุทธก็ไม่สามารถทราบได้ว่ามายังไง
ตัวธรรมในธรรมนี้ก็ไม่ทราบว่ามาจากวิญญาณนี้ ก็เลยเป็นความยากไปหมด จากเบื้องต้นที่ไม่เห็นปฏิจจสมุปบาท และเห็นขันธ์ 5 เป็นร่างกายคน แยกขันธ์ 5 นี้เป็นรูปกับนามและหลังจากนั้นก็พูดสำทับด้วยสบายปากว่า คนเรานั้นประกอบด้วยธาตุ 4 ขันธ์ 5 ดังนี้ นี่คือความเห็นผิด นี่คือความเห็นผิดในหมู่ชาวพุทธเรา
ดังที่ได้ยกให้ได้รับทราบมาโดยลำดับว่า คนเรานั้นไม่ได้ประกอบไปด้วยธาตุ 4 ไม่ได้ประกอบไปด้วยธาตุ 4 แต่ขอไม่แสดงธาตุที่มีอยู่ให้ทราบตรงนี้ แต่ขันธ์ 5 นี่เป็นปัจจัยการต่อกันเป็น คือ เกิดรูป เกิดเวทนา เกิดสัญญา เกิดสังขาร เกิดวิญญาณไปเลย ไม่มีมาขั้นตรงรูปกับเวทนา
จะแสดงให้ได้รับทราบอีกครั้งหนึ่งว่า เวลาที่หมู่ชาวพุทธของพวกเรา ในหลังพุทธกาลมานี้ ท่านได้เห็นผิดในขันธ์ 5 ท่านมักจะยกตัวอย่างทันทีว่าขันธ์ 5 คือร่างกายของคนเรานี่หละ ท่านจะยกตัวอย่างอย่างนี้ เบื้องต้นท่านจะยกตัวอย่างว่าขันธ์ 5 คือร่างกายของคนเรา ง่ายที่สุดขันธ์ 5 นี่ท่านอุปมาเหมือนฝ่ามือท่านจะยกฝ่ามือท่านขึ้น
แล้วท่านจะแยกออกเอานิ้วโป้ง นิ้วโป้งมือ ว่าตัวนี้เป็นรูปนะ ท่านจะว่าอย่างนี้ ตรงนี้เป็นรูป ซึ่งเจ้ารูปคือร่างกายของคนเรา ก็จะ มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ อยู่ในนี้ท่านจะว่าอย่างนี้ เมื่อตาของเราใช่ไหมท่านจะว่าอย่างนี้ เมื่อผัสสะรูปแล้วก็จะเกิดเวทนา เมื่อเกิดเวทนาแล้วก็จะเกิดสัญญาคือความจำได้หมายรู้ แล้วก็จะเกิดสังขารคือความคิดปรุงแต่งต่อไป ก็จะเกิดวิญญาณขึ้นท่านว่าอย่างนี้
นี้คือข้อบ่งชี้ว่าหมู่ชาวพุทธเราเห็นว่าขันธ์ 5 นี้คือร่างกายของคนเรา การที่เห็นว่าขันธ์ 5 เป็นร่างกายของคนเรานี้ท่านก็จะจับแยกทันทีว่า แยกเป็นรูปกับนาม แยกขันธ์ 5 ออก เจ้ารูปใช่ไหมร่างกายของคนเรานี่มีรูป รูปนี้เป็นส่วนที่เป็นมหาภูตรูป 4 ท่านจะว่าอย่างนี้ ประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ไฟ ลม 4 อย่าง จากคำว่ารูป 4 นี่แหละทำให้มีคำกล่าวที่ว่า คนเรานั้นประกอบไปด้วยธาตุ 4 โดยท่านระบุว่ารูปของคนเรานี่ ประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งตรงนี้ล่ะผิด คนเราไม่ได้ประกอบไปด้วยธาตุ 4
เมื่อชี้ชัดลงไปอย่างนี้ นี่เป็นส่วนที่เป็นวัตถุ
เป็นวัตถุเป็นมหาภูตรูป 4 ท่านว่าอย่างนี้
แล้วหลังจากนั้นท่านก็แยกอีกส่วนหนึ่งเป็นนามท่านว่าอย่างนี้ 4 องค์ธรรมที่เป็นนามก็คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้ท่านว่าเป็นนาม ซึ่งได้แสดงให้ดูแล้วว่า สังขารกับวิญญาณไม่ใช่นาม ไม่ใช่นามเลย
เพราะฉะนั้น ทำให้หมู่ชาวพุทธของพวกเราเชื่อมั่นว่า ขันธ์ 5 เป็นร่างกายคน ขันธ์ 5 แยกเป็นรูปกับนามได้ และชี้ชัดลงไปว่าคนเราประกอบไปด้วยธาตุ 4 ขันธ์ 5 ซึ่งเป็นความเห็นที่ผิดทั้งหมดผิดทั้งหมดเลย
พระพุทธเจ้าประกาศอริยสัจ 4 เอาไว้ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค หมู่ชาวพุทธไม่สามารถที่จะรู้จริง ไม่สามารถที่จะแทงตลอดในธรรมเบื้องต้นคือปฏิจจสมุปบาทได้ ก็ไม่สามารถที่จะเห็นอริยสัจ 4 นี้ได้เลย เมื่อไม่เห็นอริยสัจ 4 นี้ จากการเห็นผิดเบื้องต้นคือเห็นว่าขันธ์ 5 เป็นร่างกายของคน ขันธ์ 5 แยกเป็นรูปกับนาม หรือกล่าวสำทับว่าคนเรานั้นประกอบไปด้วยธาตุ 4 ขันธ์ 5 ดังนั้น
หมู่ชาวพุทธจึงไม่สามารถเข้าถึงอริยสัจ 4 ได้เลย จึงบัญญัติธรรมขึ้นใหม่ คือ นั่งสมาธิบ้าง ซึ่งได้แสดงแล้วว่านั่งสมาธินี้ไม่มีในพุทธศาสนา จึงเดินจงกรมบ้าง เรื่องนี้ได้แสดงเป็นบางส่วนแล้ว เดินจงกรมแบบถ้าประดิษฐ์ก็ไม่มีในพุทธศาสนา หมู่ชาวพุทธจึงเดินธุดงค์บ้าง คำว่าเดินธุดงค์นี้ ไม่มีในพุทธศาสนาและพระศาสดาห้าม ห้ามประพฤติ ห้ามปฏิบัติเรื่องการเดินธุดงค์นี้
แล้วหลังจากนั้นหมู่ชาวพุทธก็รวมกันปฏิบัติธรรมคราวละ 3 วัน 5 วัน 7 วันหรือต่างๆบ้าง ซึ่งพระศาสดาก็ตำหนิเรื่องนี้ไม่ให้ทำ หมู่ชาวพุทธจึงมีการสวดอ้อนวอนหวังความเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งพระศาสดาก็ห้ามเรื่องนี้
ตอนนี้ให้ได้รับทราบในข้อธรรมที่ว่าจากคำกล่าวที่ว่า คนเรานั้นประกอบไปด้วยธาตุ 4 ขันธ์ 5 นั้น เป็นความเห็นที่ผิดเพราะท่านได้เห็นชัดลงไปว่าขันธ์ 5 คือร่างกายของคน จากเบื้องต้นที่ว่า การเห็นขันธ์ 5 เป็นร่างกายคนนี้ เห็นผิดเพราะเห็นผิดในปฏิจจสมุปบาท
จากการแยกขันธ์ 5 เป็นรูปกับนามนี้ ก็เป็นการแยกที่ผิดเพราะเห็นผิดในปฏิจจสมุปบาท และมากล่าวสำทับว่า คนเรานั้นประกอบด้วยธาตุ4 ขันธ์ 5 เป็นคำกล่าวที่ผิด และขันธ์ 5 นี้เราทราบชัดว่าขันธ์ 5 ไม่ใช่ร่างกายมนุษย์เลย และจากการที่ท่านแสดงดังกล่าวนี้ ยกตัวอย่างว่ารูปคือร่างกายมนุษย์
เมื่อรูปไปกระทบสัมผัสสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปกระทบโผฏฐัพพารมณ์ใดๆข้างนอก หรือสฬายตนะอายตนะภายนอกจะเกิด เวทนา เกิดสัญญา เกิดสังขาร เกิดวิญญาณดังนี้นั้นน่ะ ท่านเห็นผิดทั้งสิ้น จากการเห็นผิดที่เดียว ที่เห็นผิดในปฏิจจสมุปบาทนี่แหละ ทั้งหมดทั้งมวลจะผิดไปหมด ชี้ให้ได้เห็นดังนี้
ดังนั้นใครที่เห็นว่าขันธ์ 5 เป็นร่างกายคน คนนั้นเห็นผิด ใครที่แยกขันธ์ 5 เป็นรูปกับนาม คนนั้นเห็นผิด ใครที่กล่าวว่า คนเราประกอบไปด้วยธาตุ 4 ขันธ์ 5 คนนั้นก็เห็นผิด เห็นผิดในธรรมของพระพุทธเจ้า ที่เชื่อว่าปฏิจจสมุปบาทนี่แหละ
และคนนั้นจะไม่บรรลุธรรมเลย จะไม่บรรลุธรรมเลยแม้จะปฏิบัติธรรมอยู่ด้วยความพากเพียรเท่าไร อย่าว่าแต่ชาตินี้เลย จะอีกกี่แสนชาติ กี่กัปกี่กัลป์ถ้ายังเห็นติดอยู่อย่างนี้ จะไม่บรรลุธรรมโดยเด็ดขาด
* รายละเอียดเพิ่มเติมในธรรมส่วนอื่นๆ สามารถรับฟังได้ที่นี้ *
PODCAST แนะนำ 👇
แนวทางสู่โสดาบัน✔

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา