14 พ.ย. เวลา 07:14 • สุขภาพ

Lp(a): "ภัยเงียบทางพันธุกรรม" ที่คุณอาจไม่เคยตรวจ

หลายท่านคงคุ้นเคยกับการตรวจไขมันในเลือด ไม่ว่าจะเป็น คอเลสเตอรอลรวม, LDL (ไขมันเลว), HDL (ไขมันดี) และไตรกลีเซอไรด์ แต่คุณทราบหรือไม่ว่า ยังมี "ไขมันแฝง" อีกตัวหนึ่งที่ทรงพลังและมักถูกมองข้าม ซึ่งซ่อนอยู่ในพันธุกรรมของเรา นั่นคือ Lp(a) (ไลโปโปรตีน-เอ)
วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ Lp(a) ว่ามันคืออะไร และทำไมมันถึงสำคัญ
🧑‍⚕️ Lp(a) คืออะไร? และต่างจากไขมันอื่นอย่างไร?
Lp(a) มักถูกเรียกว่าเป็น "ไขมันเลวชนิดพิเศษ"
โครงสร้าง: ให้ลองนึกภาพ LDL (ไขมันเลว) ที่เราคุ้นเคย แปะติดอยู่กับโปรตีนอีกตัวที่ชื่อว่า 'Apolipoprotein(a)' หรือ 'apo(a)' ซึ่งโปรตีนตัวนี้เองที่ทำให้มันมีคุณสมบัติที่แตกต่างออกไป
ความแตกต่างสำคัญ
  • กำหนดโดยพันธุกรรม: นี่คือจุดที่ต่างที่สุด! ในขณะที่ค่า LDL หรือไตรกลีเซอไรด์ จะขึ้นๆ ลงๆ ตามอาหารการกิน การออกกำลังกาย หรือน้ำหนักตัว แต่ค่า Lp(a) กว่า 90% ถูกกำหนดโดยยีน (Gene) ที่เราได้รับมาจากพ่อแม่ มันจึงมักจะคงที่เกือบตลอดชีวิต
  • ไม่รวมในโปรแกรมตรวจปกติ: การตรวจไขมันทั่วไป (Lipid profile) จะไม่รายงานค่า Lp(a) ต้องเป็นการสั่งตรวจแบบจำเพาะเจาะจงเท่านั้น
💔 Lp(a) มีผลต่อร่างกายอย่างไร?
Lp(a) ไม่ได้เป็นแค่ไขมันเลวธรรมดา แต่มันร้ายกาจกว่านั้นใน 3 กลไกหลัก
1. เร่งการอุดตัน (Atherosclerosis): เหมือน LDL มันจะเข้าไปสะสมในผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งและตีบตัน
2. กระตุ้นการเกิดลิ่มเลือด (Pro-thrombotic): นี่คือความพิเศษของมัน โปรตีน apo(a) ที่เกาะอยู่ มีโครงสร้างคล้ายกับสารที่ช่วยในการสลายลิ่มเลือด ทำให้มันไป "ขัดขวาง" กระบวนการสลายลิ่มเลือดตามธรรมชาติ ร่างกายจึงเกิดลิ่มเลือดอุดตันได้ง่ายขึ้น
3. กระตุ้นการอักเสบ (Inflammation): มันกระตุ้นให้ผนังหลอดเลือดเกิดการอักเสบ ซึ่งยิ่งเร่งกระบวนการตีบตัน
ผลลัพธ์: ผู้ที่มี Lp(a) สูง จะมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Heart Attack), โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) และ โรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ (Aortic Stenosis) แม้ว่าค่าไขมัน LDL ตัวอื่นจะดู "ปกติ" ก็ตาม
📈 คนไทยมีค่า Lp(a) สูงแค่ไหน?
แม้ว่าข้อมูลการศึกษาขนาดใหญ่ในประชากรไทยโดยตรงอาจยังมีไม่มากเท่าในประชากรตะวันตก แต่จากข้อมูลการศึกษาในเอเชียและแนวโน้มทั่วโลก คาดการณ์ว่า ประมาณ 1 ใน 5 ของประชากรทั่วไป (หรือ 20%) มีระดับ Lp(a) สูง
ปัญหาก็คือ คนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ "ไม่รู้ตัว" เพราะค่า Lp(a) ไม่ได้ถูกตรวจเป็นประจำ และพวกเขาก็อาจไม่ได้มีค่า LDL ที่สูงจนน่าตกใจ
🩺 ใครบ้างที่ควรตรวจ Lp(a)?
เนื่องจากค่านี้ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง การตรวจ Lp(a) จึงมักแนะนำให้ ตรวจเพียงครั้งเดียวในชีวิต ก็เพียงพอที่จะประเมินความเสี่ยงทางพันธุกรรมได้
กลุ่มที่ "ควร" ปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาตรวจ Lp(a) ได้แก่
  • ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ: โดยเฉพาะเมื่อคนในครอบครัว (พ่อ/พี่ชายน้องชาย) เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจก่อนอายุ 55 ปี หรือ (แม่/พี่สาวน้องสาว) เป็นก่อนอายุ 65 ปี
  • ผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ/สมองแล้ว: โดยเฉพาะในคนที่อายุน้อย หรือในคนที่เกิดโรคซ้ำ แม้จะคุมไขมัน LDL ได้ดีแล้ว
  • ผู้ที่มีค่า LDL สูงผิดปกติ: โดยเฉพาะผู้ที่สงสัยว่าเป็นโรคไขมันสูงทางพันธุกรรม (Familial Hypercholesterolemia)
  • ผู้ที่เป็นโรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ โดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน
💡 หากตรวจพบว่ามีค่าสูง... จะทำอย่างไร?
นี่คือส่วนที่ท้าทายที่สุด ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การคุมอาหาร ออกกำลังกาย หรือยาลดไขมันกลุ่ม Statin (ยาลดไขมันที่ใช้บ่อยที่สุด) "แทบไม่มีผล" ในการลดค่า Lp(a)
เนื่องจากมันถูกควบคุมโดยพันธุกรรมเป็นหลัก แต่ข่าวดีคือ เรายังมีวิธีจัดการกับความเสี่ยงนี้
กลยุทธ์หลักคือ: "การลดปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ทุกชนิดให้เข้มงวดที่สุด"
เมื่อเรารู้ว่าเรามีความเสี่ยงทางพันธุกรรม (Lp(a) สูง) ที่เราแก้ไขไม่ได้ เราจึงต้องหันไป "กด" ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่เราแก้ไขได้ ให้ต่ำกว่าคนทั่วไป
  • คุม LDL ให้ต่ำที่สุด: นี่คือเป้าหมายที่สำคัญที่สุด แพทย์อาจพิจารณาให้ยาลดไขมันอย่างเข้มข้น (เช่น Statin ในขนาดสูง, Ezetimibe หรือยากลุ่ม PCSK9 inhibitors) เพื่อกดค่า LDL ให้ต่ำกว่าเป้าหมายของคนปกติ
  • ควบคุมความดันโลหิต ให้อยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม
  • ควบคุมเบาหวาน และระดับน้ำตาลในเลือดอย่างจริงจัง
  • หยุดสูบบุหรี่ โดยเด็ดขาด
  • รักษาน้ำหนักตัว ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
  • ยาแอสไพริน: ในบางกรณี แพทย์อาจพิจารณาให้ยาแอสไพรินเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดลิ่มเลือด (ต้องปรึกษาแพทย์เท่านั้น)
ข่าวดีในอนาคต (Novel Therapies)
ปัจจุบันกำลังมีการวิจัยยาชนิดใหม่ๆ (เช่น ยาในกลุ่ม Antisense oligonucleotides หรือ siRNAs) ที่ออกแบบมาเพื่อ "ปิดสวิตช์" ยีนที่สร้าง Lp(a) โดยตรง ซึ่งผลการศึกษาระยะแรกพบว่าสามารถลด Lp(a) ได้อย่างมีนัยสำคัญ และกำลังรอผลการศึกษาว่าสามารถลดการเกิดโรคหัวใจได้จริงหรือไม่
สรุป 📝
Lp(a) คือปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจที่มาจากพันธุกรรม ซึ่งไม่สามารถตรวจพบได้ในการตรวจไขมันปกติ การทราบค่า Lp(a) (โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง) จะช่วยให้แพทย์และตัวคุณ วางแผนป้องกันและจัดการความเสี่ยงโรคหัวใจองค์รวมได้ดียิ่งขึ้น
หากคุณมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจตั้งแต่อายุยังน้อย ลองปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการตรวจ Lp(a) สักครั้งในชีวิตครับ
Lipoprotein(a) หรือ Lp(a) คืออนุภาคไลโปโปรตีนชนิดหนึ่งในพลาสมา ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายกับ LDL (Low-Density Lipoprotein) แต่มีความแตกต่างที่สำคัญคือ Lp(a) มีโปรตีนจำเพาะที่เรียกว่า Apolipoprotein(a) หรือ apo(a) มาจับกับ Apolipoprotein B-100 (apoB) ของอนุภาค LDL-like ด้วยพันธะไดซัลไฟด์
ระดับของ Lp(a) ในเลือดนั้นถูกกำหนดโดยพันธุกรรมเป็นหลัก (มากกว่า 90%) โดยเฉพาะจากยีน LPA ซึ่งควบคุมการสร้าง apo(a) และแทบไม่เปลี่ยนแปลงตามอาหาร การออกกำลังกาย หรือวิถีชีวิต (ซึ่งต่างจาก LDL-C)
🧬 โครงสร้างและกลไกการก่อโรค (Structure & Pathophysiology)
ความสำคัญทางคลินิกของ Lp(a) มาจากโครงสร้าง 2 ส่วนของมัน ซึ่งทำให้มันมีกลไกการก่อโรคแบบ "ทวิภาคี" (Dual-pathway)
1. ส่วนที่คล้าย LDL (Atherogenic properties)
• เนื่องจากมีส่วนประกอบหลักคล้าย LDL (มี apoB และ Cholesterol ester) Lp(a) จึงสามารถแทรกซึมเข้าไปในผนังหลอดเลือด (intima) และก่อให้เกิดกระบวนการ Athersclerosis ได้เช่นเดียวกับ LDL-C
• นอกจากนี้ Lp(a) ยังเป็นตัวพา (carrier) ที่สำคัญของ Oxidized phospholipids (OxPLs) ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการอักเสบ (pro-inflammatory) ในผนังหลอดเลือดอย่างรุนแรง
2. ส่วน Apo(a) (Prothrombotic / Antifibrinolytic properties)
• นี่คือส่วนที่เป็นเอกลักษณ์ของ Lp(a) โดยโปรตีน apo(a) มีโครงสร้าง (homology) คล้ายคลึงกับ Plasminogen มาก (โดยเฉพาะส่วน Kringle domains)
• ด้วยความคล้ายคลึงนี้ apo(a) จึงไปแข่งขันกับ Plasminogen ในการจับกับ Fibrin หรือตัวรับบนเซลล์ Endothelium
• ผลลัพธ์คือ มันขัดขวางการเปลี่ยน Plasminogen ไปเป็น Plasmin (เอนไซม์ที่ใช้สลายลิ่มเลือด)
• ดังนั้น Lp(a) จึงมีฤทธิ์ Antifibrinolytic (ต้านการสลายลิ่มเลือด) และ Prothrombotic (ส่งเสริมการเกิดลิ่มเลือด) ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือดเฉียบพลัน
📈 ความสำคัญทางคลินิก (Clinical Significance)
Lp(a) ถูกจัดเป็น Independent and Causal Risk Factor (ปัจจัยเสี่ยงเชิงสาเหตุที่เป็นอิสระ) ต่อโรคหลักๆ ดังนี้
1. Atherosclerotic Cardiovascular Disease (ASCVD)
• เพิ่มความเสี่ยงต่อ Myocardial Infarction (MI), Ischemic Stroke และ Peripheral Artery Disease (PAD) โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ดูเหมือนคุม LDL-C ได้ดีแล้ว แต่ยังมี recurrent event
• มีความสำคัญอย่างยิ่งในผู้ป่วย Premature ASCVD (เกิดโรคในอายุน้อย) หรือผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจรุนแรง
2. Calcific Aortic Valve Stenosis (CAVS)
• Lp(a) (และ OxPLs ที่มันพามา) เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญอันดับต้นๆ ที่สัมพันธ์กับการเกิดและการลุกลามของภาวะลิ้นหัวใจ Aortic ตีบชนิดมีหินปูนเกาะ โดยกลไกผ่านการอักเสบและการสะสมของแคลเซียมที่ลิ้นหัวใจ
📄 การวัดผลและการแปลผล
• หน่วย: มี 2 หน่วยหลักคือ mg/dL (วัดมวล) และ nmol/L (วัดความเข้มข้นของอนุภาค)
• หน่วยที่แนะนำ: ปัจจุบัน Guideline (เช่น EAS) แนะนำให้ใช้ nmol/L มากกว่า เพราะสะท้อนจำนวนอนุภาค (particle number) ซึ่งสัมพันธ์กับความเสี่ยงได้ดีกว่า เนื่องจากมวลของ Lp(a) (mg/dL) มีความแปรปรวนสูงตามขนาดของ apo(a) (ซึ่งแปรผันตาม KIV-2 repeats ที่กำหนดโดยพันธุกรรม)
• จุดตัดความเสี่ยงสูง (High-Risk Threshold): โดยทั่วไปถือว่า > 50 mg/dL หรือประมาณ > 125 nmol/L ถือว่ามีความเสี่ยงสูงมาก
📊 สถิติการกระจายตัวในประชากร (Population Distribution)
ประเด็นสำคัญที่สุดคือ ระดับ Lp(a) ในประชากรมีการกระจายตัวที่ เบ้ขวาอย่างรุนแรง (Highly skewed distribution) ไม่ใช่การกระจายตัวแบบโค้งปกติ (Normal distribution)
• ค่าเฉลี่ย (Mean) vs ค่ามัธยฐาน (Median): ด้วยเหตุนี้ "ค่าเฉลี่ย" จึงมักถูกดึงให้สูงขึ้นโดยกลุ่มคนส่วนน้อยที่มีค่าสูงมากๆ (high tail) ทำให้ "ค่ามัธยฐาน" เป็นตัวแทนของประชากรส่วนใหญ่ได้ดีกว่า
• ค่ามัธยฐาน (Median) ทั่วโลก: ประชากรส่วนใหญ่ (ประมาณ 70-80%) มีระดับ Lp(a) ค่อนข้างต่ำ โดยมีค่ามัธยฐานอยู่ที่ประมาณ 8-10 mg/dL (ประมาณ 20-25 nmol/L)
• สถิติสำคัญ: ประมาณ 1 ใน 5 ถึง 1 ใน 4 ของประชากรโลก (20-25%) มีระดับ Lp(a) ที่ถือว่าสูงในระดับที่เป็นความเสี่ยง ( >50 mg/dL หรือ >125 nmol/L)
📊 ความแปรผันตามเชื้อชาติ (Ethnic Variation)
เนื่องจาก Lp(a) ถูกกำหนดโดยพันธุกรรมเป็นหลัก ค่ามัธยฐานจึงแตกต่างกันอย่างชัดเจนในแต่ละเชื้อชาติ
• ประชากรเชื้อสายแอฟริกัน (African ancestry): มีระดับ Lp(a) สูงที่สุด โดยมีค่ามัธยฐานสูงถึง 25-30 mg/dL
• ประชากรยุโรป (Caucasians): ค่ามัธยฐานประมาณ 8-10 mg/dL
• ประชากรเอเชียตะวันออก (East Asians) (รวมถึงไทย): มักมีระดับ Lp(a) ต่ำที่สุด โดยมีค่ามัธยฐานประมาณ 5-8 mg/dL (แม้ว่าจะมีค่ามัธยฐานต่ำ แต่สัดส่วนคนที่มีค่าสูงมากๆ ก็ยังคงพบได้)
• ประชากรเอเชียใต้ (South Asians): มีแนวโน้มสูงกว่าประชากรยุโรป
📈 ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นตามระดับ (Risk Stratification)
ความสัมพันธ์ระหว่าง Lp(a) กับความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ (ASCVD) นั้นเป็นแบบ Curvilinear (หรือ Log-linear) กล่าวคือ
• ที่ระดับต่ำ: ความเสี่ยงค่อนข้างคงที่
• ที่ระดับสูง: ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (Exponentially)
Guideline ส่วนใหญ่ (เช่น European Atherosclerosis Society - EAS) ใช้จุดตัด (Thresholds) ในการประเมินความเสี่ยง ดังนี้
  • ระดับ Lp(a) < 30 mg/dL (< 75 nmol/L) Baseline low risk ; RR ~ 1.0 (ต่าอ้างอิง)
  • ระดับ Lp(a) 30 - 50 mg/dL (75 - 125 nmol/L) borderline risk ; RR ~ 1.1 - 1.2 เท่า
  • ระดับ Lp(a) > 50 mg/dL (> 125 nmol/L) high risk ; RR ~ 1.3 - 1.5 เท่า
  • ระดับ Lp(a) > 100 mg/dL (> 250 nmol/L) very high risk ; RR ~ 1.6 - 2.0 เท่า
  • ระดับ Lp(a) > 180 mg/dL (> 430 nmol/L) extremely high risk ; RR ~ 2.0 - 4.0 เท่า (เทียบเคียงความเสี่ยงระดับ Familial Hypercholesterolemia)
📝 ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติมทางคลินิก
1. ความเสี่ยงเป็นแบบต่อเนื่อง (Continuous Risk): แม้จะมีจุดตัดที่ 50 mg/dL แต่ความเสี่ยงนั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งสูง ยิ่งเสี่ยง
2. Mendelian Randomization: การศึกษาเชิงสาเหตุ (Mendelian randomization studies) ยืนยันว่า ทุกๆ 50 mg/dL ของ Lp(a) ที่เพิ่มขึ้น สัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยง MACE (Major Adverse Cardiovascular Events) ประมาณ 20-25%
3. ความเสี่ยงแบบทวีคูณ (Multiplicative Effect): ความเสี่ยงจาก Lp(a) จะยิ่งสูงขึ้นแบบทวีคูณ (ไม่ใช่แค่บวก) เมื่อมีปัจจัยเสี่ยงอื่นร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง LDL-C สูง หรือมี Systemic inflammation
4. Calcific Aortic Valve Stenosis (CAVS): สำหรับ CAVS ความสัมพันธ์จะชัดเจนและรุนแรงยิ่งกว่า ASCVD โดยผู้ที่มี Lp(a) สูงสุด (เช่น > 100 mg/dL) อาจมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป 2-3 เท่า
🤨ใครบ้างที่ควรได้รับการตรวจ Lp(a)?
แนวทางปฏิบัติ (Guidelines) ในปัจจุบันมีความเห็นแตกต่างกันเล็กน้อยระหว่าง "การตรวจทุกคน" (Universal screening) กับ "การตรวจเฉพาะกลุ่มเสี่ยง" (Targeted screening) แต่กลุ่มที่ควรตรวจอย่างยิ่ง (High-priority) มีความเห็นตรงกัน
  • กลุ่มที่ Guideline ส่วนใหญ่ (เช่น ACC/AHA, ESC) เห็นพ้องต้องกันว่า ควรตรวจ
1. ผู้ที่มีประวัติส่วนตัวเป็น ASCVD ก่อนวัยอันควร (Premature ASCVD)
• ผู้ชาย < 55 ปี, ผู้หญิง < 65 ปี
2. ผู้ที่มีประวัติครอบครัวสายตรง (First-degree relatives) เป็น ASCVD ก่อนวัยอันควร
• แม้ว่าตัวผู้ป่วยจะยังไม่มีอาการ หรือค่า Lipid อื่นๆ ปกติ
3. ผู้ป่วย ASCVD ที่มีเหตุการณ์ซ้ำ (Recurrent CV events)
• แม้ว่าจะได้รับการรักษาด้วย Statin และคุม LDL-C ได้ตามเป้าหมายแล้ว (เพื่อหา Residual risk)
4. ผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงจากพันธุกรรม (Familial Hypercholesterolemia - FH)
• เนื่องจากผู้ป่วย FH ประมาณ 30-50% จะมี Lp(a) สูงร่วมด้วย ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงแบบทวีคูณ
5. ผู้ที่มีประวัติครอบครัวสายตรง ตรวจพบว่ามี Lp(a) สูง
• เพื่อทำ Cascade screening
6. ผู้ป่วยภาวะลิ้นหัวใจ Aortic ตีบชนิดมีหินปูนเกาะ (Calcific Aortic Valve Stenosis - CAVS)
• เนื่องจาก Lp(a) เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของ CAVS
  • แนวทางที่กว้างขึ้น (Emerging Consensus)
EAS (European Atherosclerosis Society) 2022 และ NLA (National Lipid Association) 2024
• แนะนำให้ ตรวจคัดกรอง Lp(a) อย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต สำหรับผู้ใหญ่ทุกคน (All adults, at least once)
• เหตุผล: เพื่อระบุตัวประชากรประมาณ 20-25% ที่มีความเสี่ยงสูงทางพันธุกรรมนี้ ซึ่งจะไม่ถูกตรวจพบด้วยการคัดกรองไขมันมาตรฐาน (Standard lipid panel)
Risk Enhancer (ตามแนวทาง ACC/AHA)
• ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง 10-year ASCVD risk อยู่ในระดับ Borderline (5-7.4%) หรือ Intermediate (7.5-19.9%)
• การตรวจ Lp(a) สามารถใช้เป็น "Risk Enhancer" เพื่อช่วยในการตัดสินใจ (Shared decision-making) ว่าควรเริ่มการรักษา (เช่น Statins) หรือไม่ หรือควรรักษาเข้มงวดเพียงใด
  • โดยทั่วไป: "ตรวจเพียงครั้งเดียวในชีวิต" (Once in a lifetime)
เนื่องจากระดับ Lp(a) ถูกกำหนดโดยพันธุกรรม (ยีน LPA) เป็นหลัก (>90%) และระดับของมันจะคงที่อย่างมาก (Largely stable) ตลอดช่วงชีวิตผู้ใหญ่ การตรวจซ้ำจึงไม่จำเป็น และไม่เปลี่ยนแปลงการจัดการผู้ป่วย
ข้อยกเว้น หรือ ข้อควรพิจารณาที่อาจตรวจซ้ำ (Exceptions)
1. การตรวจในวัยเด็ก (Childhood): หากตรวจในเด็ก ระดับ Lp(a) อาจยังเพิ่มขึ้นได้จนถึงวัยผู้ใหญ่ (จึงอาจพิจารณาตรวจซ้ำเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่)
2. ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน (Menopause): ระดับ Estrogen ที่ลดลงในช่วง Perimenopause และ Postmenopause สัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของ Lp(a) ได้ (อาจเพิ่มขึ้น 10-20%)
3. ภาวะทุติยภูมิ (Secondary Causes):
• เช่น โรคไต (Nephrotic syndrome, CKD) หรือภาวะ Hypothyroidism ที่ไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้ Lp(a) สูงขึ้นชั่วคราว และอาจลดลงเมื่อรักษาโรคหลัก
สรุปทางคลินิก: สำหรับผู้ป่วยผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ การตรวจวัด Lp(a) เพียงครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะประเมินความเสี่ยงทางพันธุกรรมตลอดชีวิต
💊 การจัดการและแนวทางรักษายุคใหม่ (Management & Novel Therapies)
  • ยาในปัจจุบัน (Current Agents)
• Statins: ไม่ลด Lp(a) และในบางการศึกษาอาจเพิ่มระดับ Lp(a) เล็กน้อย (แม้ว่า net benefit จากการลด LDL-C จะยังคงสำคัญที่สุด)
• Ezetimibe: Neutral effect
• Niacin: ลดได้ประมาณ 20-30% แต่จากผลการศึกษา (AIM-HIGH, HPS2-THRIVE) พบว่าไม่ช่วยลด CV events และมีผลข้างเคียงมาก ปัจจุบันจึงไม่แนะนำ
• PCSK9 inhibitors (Evolocumab, Alirocumab): ลด Lp(a) ได้ประมาณ 20-30% ถือเป็น "off-target effect" ที่มีประโยชน์ และเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในปัจจุบันสำหรับผู้ป่วย High risk ที่มี Lp(a) สูงร่วมด้วย
  • ยาในอนาคต (Novel & Emerging Therapies)
เนื่องจาก Lp(a) ถูกกำหนดด้วยพันธุกรรม การรักษายุคใหม่จึงมุ่งเป้าไปที่การยับยั้งการสร้าง apo(a) ที่ระดับ mRNA ในตับโดยตรง (Precision Medicine)
1. Antisense Oligonucleotides (ASO)
• Pelacarsen (TQJ230): เป็น ASO ที่ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง เพื่อไปจับกับ LPA mRNA โดยเฉพาะ ทำให้การสังเคราะห์โปรตีน apo(a) ลดลง
• ผลลัพธ์: สามารถลด Lp(a) ได้สูงถึง 80-90%
• Status: กำลังอยู่ในการศึกษา Phase 3 CV outcome trial (CVOT) ขนาดใหญ่ ชื่อ Lp(a)-HORIZON ซึ่งกำลังรอผลลัพธ์ (คาดว่า 2025)
2. Small Interfering RNA (siRNA)
• Olpasiran (AMG 890): ใช้กลไก RNA interference เพื่อยับยั้ง LPA mRNA
• ผลลัพธ์: Phase 2 (OCEAN(a)-DOSE) แสดงให้เห็นการลดลงของ Lp(a) >90%
• Status: กำลังอยู่ในการศึกษา Phase 3 CVOT (OCEAN(a)-Outcomes)
• Lepodisiran (SLN360): เป็น siRNA อีกตัวที่กำลังมาแรง ให้ผลลัพธ์ลด Lp(a) >90% เช่นกัน
การพัฒนายากลุ่มใหม่นี้ถือเป็นความหวังสำคัญอย่างยิ่งในการจัดการความเสี่ยงที่เหลืออยู่ (residual risk) จาก Lp(a) ซึ่งยาในปัจจุบันไม่สามารถจัดการได้
โฆษณา